เด็กคนอื่นๆต่างรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง และเด็กหญิงที่มีอายุประมาณ 8 ถึง 9 ขวบก็กล่าวออกมาทันที “เขาชื่อเทียนค่ะ สมองของเขาไม่ปกติเลยทำให้เขาพูดออกมาไม่ได้ โปรดอย่าดุด่าเขาเลย”
เธอยังเด็กนักแต่สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนี้ได้บังคับให้เธอต้องการเป็นคนที่ฉลาดแกมโกงเพื่อความอยู่รอดของตนเอง เธอไม่ได้แสดงท่าทีอิจฉาใดๆเพียงแต่ชี้ไปทางฟู่เทียนที่ดูมีปัญหาด้านสมองเพื่อช่วยเหลือ นี่เป็นการกระทำที่ชาญฉลาดยิ่งนัก
“อื้ม อื้ม!”
“คุณลุง คุณป้าคะ เขาพูดไม่ได้ค่ะ!”
เด็กคนอื่นๆรีบพูดสนับสนุนเธอทันที
บาร์ตันและเด็กที่พิการคนอื่นที่อยู่กับฟู่เทียนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิงคนนี้ ไม่มีใครคิดว่าเธอจะพูดออกมาแบบนี้ สายตาแห่งความรังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบาร์ตันเมื่อได้ยินเด็กคนอื่นๆกล่าวหาฟู่เทียน อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าที่จะพูดเพื่อช่วยเหลือฟู่เทียนเพราะกลัวว่าจะสร้างความไม่ประทับใจต่อพวกผู้ใหญ่
ฟู่เทียนมองไปทางเด็กหญิง เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอทำให้เขาประทับใจมากที่บ้านเด็กกำพร้านี้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เหมือนจะเป็นเด็กปกติและมีจิตใจที่ดี ตลอดมานั้นเธอมีความสุภาพอย่างยิ่ง แม้แต่บาร์ตันและเด็กที่พิการคนอื่นๆก็ชื่นชอบเธอเป็นส่วนใหญ่
เพราะฟู่เทียนนั้นประทับใจในตัวเธอ เขาจึงจำได้ว่าดูเหมือนเธอจะชื่อ…. ลิซ่า?
ในตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าเขาเองนั้นไร้เดียงสาเกินไป
เมื่อได้ยินคำพูดของลิซ่า สายตาของพวกผู้ใหญ่ก็เผยให้เห็น ‘ความเข้าใจ’ ในทันที เด็กที่มีรูปร่างดีและมีผิวพรรณที่สะอาดสะอ้านแบบนี้จะถูกทิ้งได้ยังไงกัน? พวกเขาส่วนใหญ่มองมายังฟู่เทียนด้วยความสงสาร
ลิซ่าและเด็กคนอื่นๆต่างโล่งใจเมื่อได้เห็นท่าทีของพวกผู้ใหญ่
“คุณลุงคุณป้าครับ”
เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมาจากฝูงชนในทันที เสียงนี้ทำให้เด็กและผู้ใหญ่ทุกๆคนต้องประหลาดใจ ทันใดนั้นปากของเด็กทุกๆคนก็อ้ากว้างออกราวกับได้เห็นผี เพราะนี่เป็นคำพูดของฟู่เทียน!
ตลอด 3 เดือนในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ฟู่เทียนนั้นเงียบมาโดยตลอดเขาเพียงแต่มองแล้วฟังเท่านั้น เรียนรู้คำพูดที่ง่ายๆและการออกเสียง การออกเสียงและภาษาเป็นเหมือนการศึกษาภาคบังคับแม้แต่ในบ้านเด็กกำพร้าที่ซอมซ่อเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนทนากับผู้ใดแต่เขาก็เรียนรู้จากการได้ฟังสิ่งต่างๆ
ทุกๆคนที่อยู่รอบตัวเขาต่างคิดว่าเขานั้นเป็นไอ้โง่ ทุกคนพยายามสื่อสารกับเขาด้วยภาษามือและท่าทาง ไม่มีใครอยากจะคุยกับเขาเพราะเขานั้นมักจะเงียบและฟังเพียงอย่างเดียว
“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร” ฟู่เทียนกล่าวด้วยเสียงอ่อน
เขาไม่ได้บอกตรงๆว่าลิซ่านั้นโกหกเพื่อที่จะเอาคืน เขาไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ผู้ใหญ่ที่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างทันทีพร้อมกับจ้องมองไปทางลิซ่า จากนั้นพวกเขาก็ได้พบสีหน้าที่ประหลาดของทั้งเด็กๆและเจ้าหน้าที่
ในตอนนี้ผู้ใหญ่มากมายก็เริ่มขมวดคิ้ว
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีร่างกายกำยำก็กล่าวขึ้นว่า “ดูหน้าพวกเขาสิ ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะไม่รู้ว่าเธอก็พูดได้ บอกฉันหน่อยได้ไหมว่าเธอปิดบังเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร?”
หนึ่งในข้อห้ามของการรับเลี้ยงนั่นก็คือรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยจากเด็กคนนั้น ไม่มีใครอยากจะรับเด็กที่ชอบโกหกและปิดบังไปเลี้ยง
ฟู่เทียนรู้สึกว่าในที่สุดเขาก็ได้รับความสนใจจากคนพวกนี้และกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไรแต่ผมเป็นคนที่เงียบๆอยู่แล้ว ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาดังนั้นทุกๆคนจึงคิดว่าผมเป็นไอ้โง่”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาความเย็นชาในสายตาของทุกๆคนก็เริ่มสลายไป พวกเขาเข้าใจดีว่าเด็กกำพร้าส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มักจะมีบุคลิกที่ชอบเก็บตัว
“แม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอเป็นคนเงียบๆแต่อย่างน้อยก็น่าจะพูดอะไรบ้างสิ ไม่มีใครเคยได้ยินสิ่งที่เธอพูดเลยหรอ?” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มถามด้วยท่าทางที่สงสัยบนใบหน้าของเธอ
ป้าไดอาน่าเข้ามาขัดจังหวะโดยไม่ให้โอกาสฟู่เทียนได้ตอบอะไรอีก “ในกรณีของเด็กคนนี้เขานั้นรักความสะอาด พวกเราจึงให้เขาแยกออกไปอยู่อีกห้องหนึ่งต่างหาก จึงไม่มีโอกาสที่เขาจะได้พูดคุยกับเด็กคนอื่นๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาบาร์ตันและเด็กคนอื่นๆก็รู้สึกงุนงงไปเล็กน้อย พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมป้าไดอาน่าถึงโกหก ไม่มีบ้านเด็กกำพร้าไหนหรอกที่เด็กๆจะรู้สึกมีความสุขกับห้องของตนเอง
ฟู่เทียนเข้าใจได้ในทันที บ้านเด็กกำพร้าในตอนนี้กับบ้านเด็กกำพร้าที่เขารู้จักในอดีตนั้นก็คล้ายคลึงกัน พวกเขาจะปกปิดข้อบกพร่องของพวกเด็กๆเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการได้รับเป็นบุตรบุญธรรม หากพวกผู้ใหญ่รู้ว่าฟู่เทียนดันเข้ามาอยู่ที่นี่เพียงแค่ 3 เดือนย่อมไม่มีใครกล้าที่จะรับเขาไปเลี้ยงแม้ว่าเขาจะเลิศเลอสักเพียงใด
เด็ก 7 ขวบทุกๆคนนั้นย่อมมีความทรงจำของตนเองแล้วและจำได้ว่าพ่อแม่ของพวกเขาเป็นใคร ไม่มีใครการตีได้ว่าเขาจะกลับไปหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเองเมื่อได้เติบโตขึ้นแล้ว
เมื่อได้เข้าใจเรื่องนี้จิตใจของฟู่เทียนก็ห่อเหี่ยวลงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าลิซ่าและเด็กคนอื่นๆนั้นพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาอยู่ตลอดเวลา ป้าไดอาน่าก็เห็นเช่นกันและมองไปยังลิซ่าและเด็กคนอื่นๆที่กำลังจะพูดเพื่อขู่ให้พวกเขาและเงียบลงไป
ในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ป้าไดอาน่านั้นควบคุมทั้งชีวิตและความตายของพวกเขา ตราบใดที่เธอต้องการจะจัดการพวกเด็กๆจริงๆแล้วละก็ โอกาสที่พวกเขาจะถูกรับไปเลี้ยงนั้นก็ต้องกลายเป็นศูนย์
ฟู่เทียนรู้ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์พิเศษใดๆ เหตุผลที่ป้าไดอาน่าเข้ามาช่วยเหลือเขาก็เพราะเธอต้องการให้ค่าใช้จ่ายของบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้นั้นลดลงไป
“เป็นแบบนั้นเองหรอ…” หญิงอ้วนคนหนึ่งมองมายังใบหน้าที่ซีดขาวของฟู่เทียนด้วยความเห็นอกเห็นใจ “หนู ฉันจะรับเลี้ยงหนูให้ไปอยู่กับลูกๆของฉันเอง”
ด้วยคำพูดของเธอบาร์ตันและเด็กคนอื่นๆต่างรู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาดใจ พวกเขาดูมีความสุขราวกับว่าตนเองนั้นได้ถูกรับไปเลี้ยง
เมื่อฟู่เทียนได้ยินเช่นนี้ เขามองไปที่ใบหน้าของหญิงอ้วนและมือของเธอ เขามองไปที่นิ้วอันขรุขระของเธอจากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่เขากำลังปฏิเสธก็มีเสียงหัวเราะออกมา “ฉันคิดว่าเด็กคนนี้ถูกชะตากับฉันจริงๆ ฉันคิดว่าด้วยสถานะของฉัน ฉันควรจะรับเด็กคนนี้ไว้เป็นลูก”
ทุกคนมองไปยังชายวัยกลางคนที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
หญิงอ้วนก่อนหน้านี้ขมวดคิ้วของเธอและกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “ฉันอยากจะรู้จังว่านายเป็นใคร!?”
ชายวัยกลางคนนั้นยิ้มเล็กน้อยและกล่าวหาว่า “ผมก็เป็นแค่คนสวนของครอบครัวเล็กๆอย่างตระกูลเมล”
พวกเด็กๆนั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาแต่ทุกๆคนที่อยู่รอบๆพวกเขานั้นเริ่มกระซิบกระซาบกัน “ตระกูลเมลหรอ? เป็นตระกูลเมลหรอ?”
“นอกเหนือจากตระกูลเมล เขาเป็นคนสวนของตระกูลเมลงั้นหรอ?”
ในตอนนี้สายตาของทุกๆคนจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าที่วางตัวเล็กน้อย
หญิงอ้วนคนนั้นหน้าซีดลงไปในทันทีจากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“เด็กน้อยเธออยากจะเป็นลูกของฉันไหม?” ชายวัยกลางคนผู้นี้ดูจะพึงพอใจกับท่าทีของทุกๆคนและถามฟู่เทียนด้วยรอยยิ้ม
ด้วยเหตุนี้ลิซ่าและเด็กคนอื่นๆเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตาของพวกเขาทุกๆคนมองไปยังฟู่เทียนด้วยความอิจฉาริษยา หากถูกคนดีๆรับเลี้ยงไปพวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไรกัน?
ฟู่เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากที่ส่ายศีรษะเขาก็ตอบกลับไปว่า “ผมขอโทษครับคุณลุง ขอบคุณที่เลือกผม แต่ผมอยากจะให้พ่อแม่ของผมนั้นเป็นคุณหมอหรืออาชีพอื่นที่จะทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยกว่า”
เขาปฏิเสธ!
ชายวัยกลางคนรู้สึกตกตะลึงไปในทันที เขาไม่คิดว่าฟู่เทียนนั้นจะปฏิเสธ! เขาไปเยี่ยมเยียนบ้านเด็กกำพร้ามามากมายเพื่อมองหาพวกเด็กๆ เด็กคนอื่นจะรู้สึกตื่นเต้นไปในทันทีเมื่อพวกเขารู้ว่าตนเองจะถูกรับไปเลี้ยงโดยคนสวนของตระกูลเมล ไม่มีใครที่ใจเย็นแบบฟู่เทียนหรือกล่าวอะไรแบบนี้ออกมา
ในไม่ช้าชายผู้นี้ก็รู้สึกตัวขึ้นมา
ฟู่เทียนนั้นก็ได้รับรู้ถึงความสำคัญของคนสวนผู้นี้จากสีหน้าท่าทีของผู้ใหญ่คนอื่น เขารู้ว่า “ตระกูลเมล” นั้นย่อมต้องมีอิทธิพลมากมายแน่นอน
แต่ฟู่เทียนไม่อยากที่จะถูกขังเอาไว้ในคฤหาสน์หลังใหญ่