1706 วันที่แล้ว
แปลได้สนุกมากครับ
“คุณหมอหรอ?” ทันใดนั้นหญิงสาวที่อยู่ในชุดสีเทาก็ถามฟู่เทียน “เด็กน้อย ฉันเป็นหมอ เธออยากจะมาเป็นลูกของฉันมั้ย?”
ฟู่เทียนได้สังเกตหญิงสาวผู้นี้ตั้งแต่ที่เธอเริ่มพูดออกมา เดิมทีเขาเพียงแค่ชอบการผจญภัยจึงได้ปฏิเสธคนสวนผู้นี้ไป คนอื่นๆนั้นหวาดกลัวตระกูลเมลพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยถึงฟู่เทียน คุณหมอคนนี้ดูเหมือนจะมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อยเลย
สิ่งที่ฟู่เทียนไม่รู้ก็คืออาชีพแพทย์นั้นหายากยิ่งนักในโลกใบนี้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาชีพประเภทหนึ่งแต่มันก็มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น
เมื่อพูดเรื่องนี้แล้วอาชีพต่างๆก็มีระดับชั้นของมันอยู่ ด้วยสถานะของคนสวนตระกูลเมลย่อมไม่มีคนไหนกล้าที่จะเลือกเด็กคนเดียวกับเขา แต่เมื่อเทียบกับอาชีพแพทย์แล้ว คนสวนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาเหมือนกับช่างเย็บเสื้อผ้าเท่านั้น
ฟู่เทียนนั้นรู้สึกประทับใจหญิงสาวคนนี้ แก้มของเธอนั้นมีริ้วรอยเล็กน้อย รอยตีนกาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอเมื่อตอนที่เธอยิ้ม เธอมองมายังฟู่เทียนราวกับแม่แท้ๆที่ได้มองลูกของตนเอง หัวใจที่เย็นชาของเขาได้หลอมละลายลงไปในทันทีเมื่อได้เห็นสายตานี้ “ผมตกลงครับ”
ใบหน้าของคนสวนวัยกลางคนนั้นเริ่มบิดเบี้ยวเขามองไปยังหญิงสาวคนนี้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาแอบรู้สึกเสียใจสำหรับเรื่องของฟู่เทียน เพราะฟู่เทียนนั้นยังเด็กอยู่และไม่ได้คิดอะไรให้รอบคอบ อาชีพแพทย์นั้นก็ดีแต่ไม่ใช่ลูกของแพทย์ทุกๆคนจะสามารถเรียนรู้จากอาชีพของคนที่เป็นพ่อแม่ได้ อาชีพแพทย์นั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากยิ่งนักและมันต้องใช้ความพยายามอย่างมากจึงจะสำเร็จ หากฟู่เทียนนั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จเขาย่อมมีระดับที่ต่ำยิ่งกว่าคนธรรมดา
คนสวนนั้นต่างออกไป คุณสามารถเริ่มทำอาชีพนี้เมื่อใดก็ได้ตราบใดที่ความจำของคุณนั้นยังดีอยู่ สำหรับคนสวนของตระกูลเมลนั้นชีวิตของฟู่เทียนจะไม่ต้องอยู่ในชุมชนแออัดแห่งนี้อีกต่อไป ในอนาคตเขาจะสามารถสืบทอดที่พักของชาวสวนต่อไปได้ การได้ทำงานกับตระกูลเมลและอาศัยอยู่กับพวกเขานั้นเป็นความฝันของคนหลายๆคน
‘อ้า น่าเสียดาย โชคร้ายจริงๆ!’
คนสวนวัยกลางคนส่ายศีรษะของเขา
ใบหน้าของเด็กๆคนอื่นๆนั้นเริ่มมีสีหน้าที่น่าเกลียดขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ที่มีอาชีพแพทย์ได้รับฟู่เทียนไปเลี้ยง บาร์ตันและเด็กที่พิการคนอื่นๆนั้นก็รู้สึกยินดีแต่พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาเช่นกัน เพราะฟู่เทียนนั้นได้ขโมยโอกาสอันล้ำค่าที่สุดของเด็กทุกๆคนไปจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกเกลียดและอิจฉาในใจ
ฟู่เทียนยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา เขาเป็นเด็กไม่กี่คนในบ้านเด็กกำพร้าที่ถูกรับไปเลี้ยงโดยแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้นความเงียบสงบของเขาและผิวที่ขาวสะอาดนั้นทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ข้างๆ
ป้าไดอาน่าหันมาหาแพทย์หญิงคนนี้และกล่าวว่า “เทียนนั้นเป็นเด็กดีเสมอตอนอยู่ที่นี่ เราหวังว่าคุณจะดูแลเขาให้ดีและขอให้คุณมีความสุขในชีวิต”
“ขอบคุณ” หญิงสาวกล่าวขณะที่เธอยิ้ม “ตอนนี้หัวใจของฉันมีความสุขมาก”
ป้าไดอาน่าสั่งผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ “มินะ พาพวกเขาไปยื่นขอขั้นตอนการลงทะเบียนในครอบครัว”
หญิงสาวที่มีชื่อว่า ‘มินะ’ โบกมือให้กับฟู่เทียน “ตามฉันมาได้เลย”
“ไปเถอะเทียน!”
“เทียน อย่าลืมพวกเรานะ!”
“นายต้องกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้าง!”
บาร์ตันและเด็กที่พิการคนอื่นๆร้องไห้ออกมาอย่างฝืนใจ
“ฉันจะกลับมาแต่พวกนายต้องอย่าท้อนะ” ฟู่เทียนกล่าวขณะที่เขานึกถึงว่าเขาได้รับการดูแลอย่างดีเพียงใดจากเด็กพวกนี้ในตลอด 3 เดือน “บางทีนายอาจถูกรับเลี้ยงไปแล้วก็ได้ในตอนที่ฉันกลับมา”
ถึงแม้พวกเขาจะรู้ได้ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ยังหัวเราะ
เมื่อเขากำลังเตรียมตัวจากไปฟู่เทียนก็ได้ยินเสียงของคนสวนวัยกลางคนดังขึ้นมาทันที “ฉันจะเลือกเธอ” ฟู่เทียนหันไปมองและเห็นว่าเขาชี้ไปที่ลิซ่า เขายิ้มและพูดออกมาว่า “สาวน้อย เธอจะต้องเป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างแน่นอน อยากจะเป็นลูกสาวของฉันไหม?”
ลิซ่านั้นหันมามองเขาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
เธอมองไปยังเด็กคนอื่นๆที่กำลังมองตรงมาที่เธอ
หลังจากที่ได้เห็นเช่นนี้ฟู่เทียนก็เลิกมองลิซ่าและหันหน้าไปหาป้ามินะ เขาจากไปพร้อมกับมินะและคนที่กำลังจะได้เป็นแม่ของเขาอีกไม่นานหลังจากนี้
เขาและเด็กคนอื่นในบ้านเด็กกำพร้าหลังนี้กำลังจะได้มีบ้านเป็นของตนเองในอีกไม่นาน บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้พบกันอีกเลยตลอดไป
…
…
ขั้นตอนในการลงทะเบียนของบ้านเด็กกำพร้านั้นก็ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน
อย่างแรกคือยืนยันตัวตนของผู้ที่ต้องการรับบุตรบุญธรรม อย่างที่สองคือตรวจสอบอาชีพและความสามารถเพื่อดูว่าจะสามารถดูแลเด็กที่รับไปเลี้ยงได้หรือไม่
วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบเหล่านี้ก็เพื่อพิจารณาว่าบิดามารดาบุญธรรมมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดที่กำหนดโดยกฎหมายหรือไม่
ถ้าหากว่ารายได้นั้นต่ำเกินไปหรือไม่มีอาชีพก็จะไม่สามารถรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมาย
อย่างที่สามคือทำสัญญาเพื่อยืนยันความสัมพันธ์รับบุตรบุญธรรม
อย่างสุดท้ายและแน่นอนว่ามันต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือการจ่ายเงิน!
ในโลกนี้การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมนั้นเป็นรายได้หลักของบ้านเด็กกำพร้า ในอดีตขั้นตอนการลงทะเบียนจะเสร็จสิ้นลงด้วยการลงนามในสัญญา ไม่มีเงินมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ทุกวันนี้มันกลับต่างออกไป การรับเลี้ยงมันก็เหมือนกับการขาย ‘สินค้า’ สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปในตอนนี้นั่นก็คือมีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้องสำหรับบ้านเด็กกำพร้าที่จะ ‘ขาย’ พวกเด็กๆ
ฟู่เทียนนั้นไม่เคยเห็นเงินของโลกใบนี้ ขณะที่ ‘แม่’ ของเขานำกระดาษสีเขียวปึกหนาออกมา ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่เขาได้เห็นนั่นก็คือภาพของกำแพงยักษ์แห่งซิลเวียนั้นถูกพิมพ์ลงไปบนนั้น ดูเหมือนกับว่าเมืองซิลเวียนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงยักษ์
เมื่อฟู่เทียนได้เห็น ‘แม่’ ของเขายื่นกระดาษพวกนี้ให้กับป้ามินะ ทุกๆสิ่งก็เริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น ทำไมพวกเด็กๆจึงถูกรับเข้ามาเลี้ยงในบ้านเด็กกำพร้าได้อย่างง่ายดาย? บ้านเด็กกำพร้าให้อาหารและที่พักพิงสำหรับพวกเด็กๆ เพราะรู้ว่าพวกเขาจะถูกรับเอาไปเลี้ยงในอีกไม่ช้าและนั่นจะทำเงินให้กับบ้านเด็กกำพร้าได้มากมาย
ฟู่เทียนถอนหายใจออกมา เขารู้สึกราวกับว่าในที่สุดเขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างยุคใหม่กับยุคเก่า การเอาชีวิตรอด ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้หรือไม่ก็ถูกทำลายจนตายไป
เมื่อขั้นตอนการชำระเงินและการเซ็นสัญญาเสร็จสิ้น แพทย์หญิงก็โน้มตัวลงไปลูบศีรษะของฟู่เทียน
ขณะที่เขามองไปยังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้จะเป็นคนเดียวที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้ในอนาคต เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “ผมขอเรียกคุณว่า คุณป้าจูได้ไหมครับ?”
จูร่ารู้สึกงุนงงเล็กน้อย
มินะกล่าวขึ้นทันทีเมื่อเธอได้ยินคำพูดของฟู่เทียน “อย่าเปลี่ยนแปลงกฎสิ ตอนนี้เธอถูกรับไปเลี้ยงแล้วและเธอจะต้องปฏิบัติตัวให้ดี อย่าทำให้บ้านเด็กกำพร้าของพวกเราต้องเสียชื่อเสียง”
จูร่ายิ้มขณะที่เธอลูบไล้ผมของฟู่เทียนอย่างแผ่วเบา “เธอจะเรียกฉันว่าป้าจูก็ได้ ตามที่เธอต้องการเลย”
ร่องรอยแห่งความอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟู่เทียนขณะที่เขากล่าวมาเบาๆ “ขอบคุณครับ”
เขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเมตตาของเธอเพราะเขารู้ว่าเมื่อเขารับไปเลี้ยงแล้วชีวิตและความตายของเขาก็ยังขึ้นอยู่กับพ่อแม่ที่รับไปเลี้ยง เขาได้ยินจากเด็กคนอื่นๆว่าในโลกใบนี้แม้ว่าพ่อแม่จะฆ่าลูกของตนเองมันก็ถูกกฎหมาย!
จูร่ายิ้ม “เรากลับไปดูบ้านใหม่ของเธอกันเถอะ”
…
…
บริเวณบ้านของจูร่า…
ทุกๆคนที่อยู่ในบริเวณแห่งนี้นั้นมีหน้าที่การงานที่ธรรมดาแต่สภาพแวดล้อมของที่นี่นั่นแตกต่างจากชุมชนแออัดที่เขาเคยอยู่อย่างสิ้นเชิง อากาศที่นี่นั้นรู้สึกสดชื่นกว่าและเขาไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเหมือนตอนที่อยู่ในชุมชนแออัด
แม้ในบริเวณที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่นี้ สภาพความเป็นอยู่ของจูร่านั้นก็ถือว่าหรูหราอย่างยิ่ง ราคาที่ดินที่นี่สูงกว่าที่ชุมชนแออัดถึงสองเท่าเนื่องจากมันอยู่ห่างจากชุมชนแออัดทางเหนือและใกล้กับย่านการค้าที่อยู่ทางทิศใต้
ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในย่านการค้าหรือพื้นที่ทางการทหารนั้นจะต้องร่ำรวยหรือไม่ก็จะต้องมีอิทธิพลมากมาย ค่าใช้จ่ายของบ้านที่อยู่ในพื้นที่พวกนั้นเป็นตัวเลขที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถหาได้เลยในชีวิตของพวกเขา
แต่ละพื้นที่นั้นมีกำแพงสูงคอยกั้นขวางอยู่ ประตูแห่งซิลเวียนั้นจะเปิดออกเพียงวันละครั้ง ประตูของพื้นที่อยู่อาศัยที่อยู่ทางทิศใต้นั้นไม่ได้เปิดพร้อมกับประตูของชุมชนแออัดที่อยู่ทางทิศเหนือ
นี่หมายความว่าผู้คนที่อยู่ในย่านที่อยู่อาศัยจะสามารถไปยังชุมชนแออัดได้ ผู้คนที่ทำการค้านั้นจะสามารถไปยังย่านที่อยู่อาศัยได้แต่คนที่อยู่ในสลัมนั้นจะออกมาภายนอกไม่ได้ สถานะของผู้ที่อยู่ในชุมชนแออัดนั้นไม่สามารถที่จะออกมายังยังพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าได้
แปลได้สนุกมากครับ