ในเช้าวันถัดมา
เกรย์นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆโต๊ะ เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ของย่านที่พักอาศัยในตอนเช้า มีข้อมูลข่าวล่าสุดเกี่ยวกับส่วนต่างๆของพื้นที่ใกล้เคียงรวมถึงโฆษณาที่รับสมัครเข้าสู่โรงงานต่างๆจำนวนมาก จูร่านั้นกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารเช้าในครัว เธอกำลังนำอาหารที่มาวางบนโต๊ะ ทุกอย่างเหมือนดังปกติ
นาฬิกาปลุกในร่างกายของฟู่เทียนนั้นได้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา เขาเก็บเตียง ล้างหน้าและออกไปทานอาหาร เขาทักทายจูร่าอย่างง่ายๆว่า “อรุณสวัสดิ์ครับ” จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆและเริ่มทานอาหารเช้า
ในตอนนี้จูร่าถืออาหารส่วนของฟู่เทียนมาและนั่งลงตรงข้ามเขา ในขณะที่ฟู่เทียนกำลังทานอาหารจูร่าก็ถามเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
“อร่อยรึเปล่า?”
“มันเผ็ดหน่อยๆ” ฟู่เทียนตอบ “ผมชอบอาหารเผ็ด”
“แบบนั้นก็ดี” จูร่ายิ้ม
เกรย์วางหนังสือพิมพ์ของเขาลงและมองตรงไปยังฟู่เทียน “เทียน ป้าของเธอและฉันกำลังจะคิดให้เธอแต่งงาน เธอต้องเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่วันนี้ แต่งตัวหล่อๆด้วยล่ะเรากำลังจะไปหาใครบางคน”
เพราะความต้องการของฟู่เทียน เกรย์และจูร่าจึงยอมให้เขาเรียกว่า “คุณลุงและคุณป้า”
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นจิตใจของฟู่เทียนก็ได้สงบลง แกล้งทำเป็นเด็กไร้เดียงสาที่ไม่รู้อะไรเหมือนเดิมและถามขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?
จูร่าบอกไปยังฟู่เทียนและกระซิบกับเกรย์: “คุณเห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าเทียนนั้นยังเด็กอยู่ เราน่าจะรออีกสัก 2-3 ปี”
“อายุ 13 ก็แต่งงานได้แล้วตามกฎหมาย” เกรย์มองกลับไปหาเธอ ความเย็นชาปรากฏขึ้นในสายตาของเขาเล็กน้อยและกล่าวว่า “ตอนนี้เราให้เขาหมั้นหมายไว้ก่อนก็ได้ ยืดเวลาออกไปไม่กี่ปีไม่มีประโยชน์หรอก”
จูร่าเห็นว่าสามีของเธอไม่มีทางเปลี่ยนใจในเรื่องนี้จึงไม่ได้กล่าวอะไรออกไป
“พวกเรากําลังจะพาเธอไปหาพี่สาวคนหนึ่ง” เกรย์กล่าวกับฟู่เทียน “มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเธอและเธอจะต้องทำทุกๆอย่างให้พี่สาวนั้นเห็นด้วย ถ้าทำแบบนั้นได้เธอจะกินอาหารเท่าไหร่ก็ได้ ได้สวมเสื้อผ้าดีๆ และจะไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป เธอเข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า? ”
“จริงหรอครับ? ผมจะทำ!” ฟู่เทียนตอบกลับไปอย่างใจเย็น ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าที่กระตือรือร้นของเขานั้นดูจริงจังอย่างยิ่ง
ใบหน้าของเกรย์นั้นมีรอยยิ้มกว้างและกล่าวว่า “ยอดไปเลย เทียนนี่เป็นเด็กดีจริงๆ เอาล่ะมาทานอาหารกันก่อน”
ในไม่ช้าพวกเขาทุกคนก็ทานอาหารจนเสร็จสิ้น
ฟู่เทียนแสดงความ “กระตือรือร้น” ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เกรย์นั้นรู้สึกโล่งใจ
“มาเถอะเทียน มาลองชุดใหม่กันก่อน” จูร่าพาฟู่เทียนไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อลองชุดสูทสีดำตัวใหม่ มีเนคไทสีแดง และรองเท้าขัดเงาวางเอาไว้ เธอพาฟู่เทียนมาเปลี่ยนชุด หลังจากที่เขาเปลี่ยนชุดจนเสร็จสิ้นสายตาของจูร่าและเกรย์ก็เบิกกว้างขึ้น ผิวหนังที่ขาวซีดราวหิมะและดวงตาสีดำของฟู่เทียนทำให้เขาดูราวกับชนชั้นสูง
“ดูดีมากเลย!” จูร่าหัวเราะอย่างเต็มที่
หัวใจของเกรย์นั้นก็ยินดีเช่นกัน “ยอดเยี่ยม ไปกันเถอะ!
“อื้ม!” ฟู่เทียนนั้นพยายามที่จะทำให้ตนเองดูตื่นเต้นและประหลาดใจ
หลังจากล็อคประตูเสร็จสิ้น จูร่าก็เดินจูงมือของฟู่เทียนออกมาและถามเกรย์ว่า “มันยังเช้าอยู่เลย เราจะหารถม้าได้หรือเปล่าตอนนี้?”
เกรย์ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องกังวลไป ฉันบอกกับบ้านเอวริลเอาไว้แล้ว พวกเขาจะส่งรถม้ามารับพวกเรา” ในเวลาเดียวกันนั้น “กุบ กุบ กุบ” เสียงของกีบเท้าที่ย่ำลงบนถนนก็ดังขึ้นมา รถม้าที่มีเครื่องประดับสีทองตรงเข้ามาและหยุดลงตรงหน้าพวกเขา บนหลังคารถมีธงสีขาวเงินและมีดอกสีขาวสลักอยู่บนธงซึ่งเป็นธงสัญลักษณ์ของบ้านเอวริล
คนขับรถม้านั้นสวมรองเท้าส้นสูงและสูทสีดำ เขากระโดดลงจากรถม้าพร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า “ท่านเกรย์และท่านจูร่า ท่านหญิงกำลังรอพวกท่านทั้งสอง” เขาโน้มตัวไปทางขวาของตนเองเพื่อเชิญพวกเขาเข้าสู่รถม้า แสดงให้เห็นถึงมารยาทของขุนนางชั้นสูง
หัวใจของเกรย์นั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ “เราจะให้ท่านหญิงต้องรอได้ยังไงกัน นั่นต้องเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง ขึ้นไปบนรถม้ากันเถอะ!” เขารีบจูงมือของฟู่เทียนและพาเขาขึ้นไปบนรถม้า
ในตอนนี้คนขับรถม้านั้นเหมือนจะสังเกตเห็นฟู่เทียน ดวงตาของเขาเป็นประกายไปด้วยความประหลาดใจแต่ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มอย่างสุภาพออกมา
กุบ กับ กุบ … …
หลังจากที่ครอบครัวของฟู่เทียนได้นั่งลงบนรถม้า คนขับก็เริ่มสะบัดเชือกเพื่อให้รถม้าแล่นออกไป
ฟู่เทียนมองดูอาคารที่ผ่านไปอย่างเงียบๆเช่นเดียวกับคนที่เดินอยู่ริมถนน คนส่วนใหญ่ต่างประหลาดใจที่ได้เห็นรถม้าคันนี้ ในตอนนี้เกรย์และจูร่าไม่ได้พูดอะไรออกมาและไม่ได้ถามอะไรฟู่เทียนอีกเลย พวกเขากังวลว่าคนขับรถม้าอาจจะระแคะระคายเรื่องนี้และเรื่องอาจจะไปถึงหูของบ้านเอวริล
รถม้ามุ่งหน้าไปทางใต้ของกำแพงยักษ์ได้อย่างราบรื่น องครักษ์ที่เฝ้าประตูได้ทำการ ‘ทาบกำปั้นลงบนอก’ เพื่อทำความเคารพเมื่อพวกเขาได้เห็นธงที่ปักอยู่บนรถม้า เพื่อให้พวกเขาผ่านไปได้ทันที หลังจากนั้นเขาก็จะมาตรวจตราต่อเพื่อตรวจสอบผู้ที่จะเข้าไปยังย่านธุรกิจ
ที่นี่คือย่านธุรกิจงั้นหรอ?
ฟู่เทียนมองไปยังถนนที่สะอาดด้านนอกรถม้าคันนี้ ถนนและสถานที่แห่งนี้มักมีผู้คนสวมเสื้อผ้าที่สวยงาม เขารับรู้ได้ถึงความแตกต่างของย่านที่อยู่อาศัยได้ในทันที เมื่อเทียบกับชุมชนแออัดแล้วมันก็เปรียบเหมือนกับสวรรค์กับนรกเลย
ในไม่ช้าคนขับรถมาก็หยุดรถมาลงที่ปลายสุดของถนนด้านหน้าของอาคารที่สูง ฟู่เทียนเห็นว่าอาคารหลังนี้มีป้ายรูปเปียโนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นภาพวาดที่ดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง เขาสงสัยว่ายังคงมีเปียโนอยู่ในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้อีกหรอ
รถม้าหยุดอยู่ตรงที่ประตูทางเข้าหลัก จากนั้นชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทสีดำก็เดินออกมาจากคฤหาสน์หลังนี้ทันที เขามองตรงไปหาเกรย์และจูร่าพร้อมกับรอยยิ้ม “นายหญิงรอพวกคุณอยู่นานแล้ว โปรดตามผมมา” จากนั้นเขาก็นำทางไป
เกรย์รู้สึกตึงเครียดในหัวใจอย่างยิ่งเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่อาคารหรูหราเช่นนี้จะตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย เขาก้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับจับมือของฟู่เทียนและเดินไปข้างหน้า
ทันทีที่เกรย์ได้เข้ามายังห้องโถงใหญ่ สายตาของพวกเขาก็ถูกดึงดูดโดยอัญมณีต่างๆที่เปล่งประกายราวกับตะเกียงน้ำมัน จูร่านั้นรักษาท่าทีได้ดีกว่าเพราะเธอเคยมารักษาผู้คนที่อยู่ในย่านธุรกิจอยู่หลายครั้ง เธอจึงค่อนข้างสงบนิ่ง สำหรับเกรย์นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในที่แบบนี้ ฟู่เทียนที่จับมือของเขาอยู่ก็รู้สึกได้ว่าชายคนนี้รู้สึกกังวลเล็กน้อย ร่างกายของเขากำลังสั่น เขาได้แต่ส่ายหัวของเขาในใจ
เสียงเพลงดังออกมาในห้องโถง ฟู่เทียนมองเพียงครั้งแรกก็รู้สึกได้ว่าห้องโถงแห่งนี้นั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่ง มีคนมากมายที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั้งกินขนม ฟังเพลง พูดคุยกัน พวกเขามีชุดที่ดูหรูหรา เนื้อผ้าและวัสดุที่ทำนั้นดูดีกว่าผ้าที่ใช้ในบริเวณย่านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีของมันนั้นตัดกันจนเห็นได้อย่างชัดเจน
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำนำพวกเขาเดินไปยังห้องแยกอยู่อีกห้องหนึ่ง
ฟู่เทียนเห็นว่ามีคนสองคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้น หญิงวัยกลางคนที่งดงามอายุน่าจะประมาณ 30 ปี เธอมีผ้าปิดหน้าผืนเล็กๆสีอ่อน หมวกคุมไว้หน้าอยู่ คนที่อยู่ข้างๆเธอนั้นเป็นเด็กสาวที่มีอายุประมาณ 11 ปี ผิวพรรณดี มีผมสีน้ำตาล หน้ารูปไข่ แม้เธอจะยังเติบโตไม่เต็มที่แต่ก็สัมผัสได้ถึงความงดงาม
เด็กหญิงนั้นก็สังเกตเห็นได้ถึงสีหน้าของครอบครัวเกรย์ ดวงตาของเธอกวาดตามองไปที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนจากนั้นก็หันมามองฟู่เทียนด้วยความประหลาดใจ
ในตอนนี้หญิงวัยกลางคนยืนขึ้นและทักทายจูร่าด้วยรอยยิ้ม “คุณหมอจูร่า ครั้งที่แล้วที่หัวหน้าครอบครัวของเราล้มป่วยแล้วได้คุณรักษานั้นต้องขอบคุณมากจริงๆ ในวันนี้เขามีธุรกิจที่ต้องจัดการเขาจึงมาที่นี่ไม่ได้”
เกรย์กล่าวว่า “ท่านเอวริลนั้นยุ่งอยู่เสมอครับ”
หญิงวัยกลางคนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เชิญนั่งก่อน”
“ครับ ครับ” เกรย์รีบดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งลงไปทันที บางทีเขาอาจจะเกร็งเกินไปจนทำให้ขาของเขาไปกระแทกกับเก้าอี้เบาๆ คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆนั้นรีบหรี่ตาขึ้นและพูดคุยกันเบาๆ
จูร่านั้นก็นั่งลงเช่นกัน สายตาของหญิงวัยกลางคนจับจ้องไปที่ฟู่เทียนด้วยความประหลาดใจ สายตาของเธอดูเหมือนโล่งใจเมื่อมองไปที่เกรย์พร้อมกับรอยยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นเด็กที่คุณรับมาเลี้ยงงั้นหรอ เขามีผิวที่ขาวจริงๆ”
เกรย์ตอบกลับไปพร้อมกับยกย่องลูกสาวของบ้านเอวริล “คุณหนูของบ้านหลังนี้ก็งดงามเหมือนกันครับ ตัวเล็ก บอบบางและงดงาม เธอดูฉลาดมากๆ เธอต้องได้รับความงามของคุณมาอย่างแน่นอน”
หญิงวัยกลางคนยิ้มตอบกลับมาจากนั้นก็กล่าวขึ้นทันทีว่า “เรื่องการแต่งงาน … …”
ร่างกายของเกรย์นั้นเริ่มเกร็งขึ้น จูร่าก็ดูกังวลเล็กน้อยเช่นกัน
“ถ้าหากแอนเนียไม่ปฏิเสธมันก็คงจะเป็นเช่นนั้น” หญิงวัยกลางคนกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เกรย์และจูร่ามองตากันและกันด้วยความประหลาดใจ
ในตอนนี้เด็กหญิงตัวน้อยกำลังมองไปยังฟู่เทียนและกล่าวออกมาว่า ”หนูอยากออกไปข้างนอกกับเขา”
หญิงวัยกลางคนดูเหมือนจะคาดคิดไว้แล้วว่าเธอจะต้องพูดแบบนี้ จึงยิ้มและมองไปยังเกรย์กับจูร่า
เกรย์ตอบกลับมาว่า “เทียน ออกไปข้างนอกกับคุณหนูแอนเนียก่อน จำเอาไว้ว่าต้องดูแลคุณหนูแอนเนียให้ดี” เขาตบลงบนบ่าของฟู่เทียนเพื่อสร้างความมั่นใจ
ในตอนนี้แอนเนียก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปข้างนอก ไม่แม้แต่มองมายังฟู่เทียนหรือหยุดรอคอยเขา
ฟู่เทียนมองไปยังเกรย์และจูร่าที่สายตานั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจและความหวัง หัวใจของเขานั้นยังคงสงบนิ่ง เขากล่าวออกไปว่า “สวัสดีครับ” ให้กับหญิงวัยกลางคนและเดินตามแอนเนียออกไปจากห้องโถงแห่งนี้
“เป็นเด็กที่ค่อนข้างฉลาดนะ” หญิงวัยกลางคนมองตามฟู่เทียนไปด้วยรอยยิ้มและกาว
“โชคยังดี… …” เกรย์กระซิบออกมาเบาๆ
…
…
ที่บริเวณด้านนอกของถนน แอนเนียมองไปยังคนรับใช้ที่อยู่ในชุดสูทสีดำพร้อมกับโบกมือของเธอ “ไม่ต้องตามมา ฉันจะไปเดินเล่นใกล้ๆนี้”
“ขอรับ คุณหนู” คนรับใช้ที่อยู่ในชุดสูทสีดำตอบกลับมา
เมื่อเขาจากไปแอนเนียก็เดินตรงต่อไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังและไม่แม้แต่พูดคุยกับฟู่เทียนราวกับว่าเธอกำลังเดินอยู่คนเดียว ฟู่เทียนนั้นก็รู้ว่าควรที่จะเดินตามหลังเธอไปอย่างเงียบๆ เมื่อได้เห็นอาคารที่ตั้งอยู่สองฟากฝั่งของถนน จากสิ่งที่ได้เห็นนี้เขาสามารถสรุปถึงมาตรฐานการดำรงชีพในโลกใบนี้และเทคโนโลยีของโลกใบนี้ได้
หลังจากเดินมาเป็นเวลานานแอนเนียก็หยุดเดินลง ฟู่เทียนที่กำลังมองอยู่รอบๆตัวก็เกือบจะเดินชนหลัง เพียงแต่เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยออกมาจากตัวเธอก็ทำให้เขาต้องรีบถอยหลังออกมาทันที
ในตอนนี้แอนเนียหันกลับมา เพราะความได้เปรียบทางด้านอายุทำให้เธอสูงกว่าฟู่เทียนประมาณครึ่งศีรษะ ใบหน้าอันงดงามรูปไข่ของนั้นไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา เพียงแต่มองฟู่เทียนอย่างเงียบๆ
กลิ่นอายของความเย็นชานั้นรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากแอนเนีย ฟู่เทียนยังคงเงียบอยู่เมื่อถูกเธอจ้องมอง
เมื่อได้เห็นความสงบนิ่งของฟู่เทียน สายตาของแอนเนียก็แสดงความรู้สึกประหลาดใจออกมา แต่มันก็กลับไปเป็นความเย็นชาทันที “นายเคยฟังโอเปร่าหรือเปล่า?
ฟู่เทียนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าอยู่ๆเธอจะพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาแบบนี้ จิตใต้สำนึกบอกให้เขาตอบคำถามโดยการส่ายศีรษะ แอนเนียไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาพูดและถามตอบมาว่า “นายฟังเพลงแนวไหนกัน? ”
ฟู่เทียนไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี
“นายรู้จักการเต้นรำหรือเปล่า?” น้ำเสียงของแอนเนียนั้นต่างออกไป เธอไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบคำถามเลย
ฟู่เทียนเข้าใจว่านี่ไม่ใช่การถามด้วยความสุภาพแต่เป็นการดูถูกออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาจึงเงียบและเพียงมองเด็กหญิงคนนี้
“นายเคยขี่ม้าหรือเปล่า?”
“นายรู้จักวิชาดาบหรือเปล่า?”
“นายมีความคิดและความฝันหรือเปล่า?”
แอนเนียถามออกมาถึง 6 คำถามในหนึ่งลมหายใจจากนั้นก็มองไปยังฟู่เทียนอย่างสงบนิ่งและกล่าวว่า “ถ้าหากว่านายเป็นเด็กที่ฉลาด นายคงจะเข้าใจว่าฉันไม่ใช่เด็กที่อยู่ในโลกแบบเดียวกันกับนาย”
ฟู่เทียนนั้นยังคงมองไปยังใบหน้าที่สวยงามของเธอ เขาไม่คิดว่าคำพูดที่เฉียบคมหรือแม้กระทั่งคำที่มีความหมายเช่นนี้จะออกมาจากปากของเด็กที่มีอายุมากกว่าเขาเพียง 3 หรือ 4 ปี