เหล่านักเรียนของโทบุต่างหลบหน้า เขาตบลงไปบนเคาน์เตอร์พร้อมพูดออกมา: “เธอเป็นคนที่อยู่เบื้อหลังเรื่องที่ใช้นักเรียนของฉันเป็นเหยื่อล่อใช่ไหม?”
คริสยักไหล่พร้อมตอบกลับไป “ฉันไม่ใช่คนที่กล้าทำเรื่องอะไรแบบนั้น อีกอย่างพวกเราก็เป็นคนเก่าแก่ที่เคยรู้จักกัน การตัดสินใจครั้งนี้เป็นคำสั่งมาจากเบื้องบน สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือทำตามไปเท่านั้น”
โทบุตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธ “ใช้กลุ่มนักเรียนเป็นเหยื่อล่อ ฮึ! นี่เป็นสิ่งที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ทำเพื่อล่อลวงพวกนักเล่นแร่แปรธาตุสินะ? ”
สีหน้าของคริสเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงโทนต่ำ “การว่ากล่าวโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ในสถานที่ส่วนตัวก็เถอะ มันถือว่าเป็นอาชญากรรมขั้นเลวร้ายเลยนะ หยุดพูดอะไรที่ไร้สาระได้แล้ว ในกรณีที่พวกเขาสามารถจับตัวนักเล่นแร่แปรธาตุพวกนั้นได้ มันจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อยเลย และหากในอนาคตพวกเขาสามารถเข้าร่วมกลุ่มหน่วยค้นหาได้ วิธีการเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา นายก็รู้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ”
“อย่างนั้น ฉันควรจะขอบคุณพวกนั้นสำหรับโอกาส น่ะเหรอ?” โทบุหัวเราะเยาะ
คริสกล่าวด้วยความหมดหวังจะอธิบาย “ไม่ว่านายจะพอใจหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าสถานการณ์มันเป็นเช่นนี้ นอกจากนี้ถ้าหากการกำหนดสถานที่เปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้าย ความหวาดระแวงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุพวกนี้มีเครือข่ายที่กว้างขวาง ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากจบการศึกษาแล้วไม่ว่าจะเป็นพวกผู้รักษาความปลอดภัยหรือกลุ่มหน่วยค้นหาก็จะต้องต่อสู่ในแนวหน้าเหมือนกัน พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับพวกนักเล่นแร่แปรธาตุไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และเมื่อถึงตอนนั้นคงไม่มีใครที่จะปกป้องพวกเขาได้ มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าสำหรับพวกเขา ”
แม้โทบุจะโมโหแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อีก ในทางกลับกันเขาเดินตรงไปยังอีกฟากของเคาน์เตอร์ “ลุงหลู่ ขออีกแก้วสิ”
“ใจร้อนเกินไปแล้ว! บางทีฉันควรจะเติมน้ำแข็งให้นายเยอะๆ?” ชายแก่หลังเคาน์เตอร์หัวเราะ
โทบุนั่งลงและไม่ได้พูดอะไรอีก
…
…
ในไม่นานยามค่ำคืนได้มาถึง
เมื่อพระอาทิตย์ตกลง อุณหภูมิในทะเลทรายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาย่อมเลวร้าย อุณหภูมิได้กระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว ฟู่เทียนและแชมก่อกองไฟขึ้นด้วยก้อนหินสองสามก้อนเพื่อให้ไฟอยู่ตัว พวกเขาใช้เศษไม้แห้งๆจุดไฟขึ้นมา
พวกเขามีฟืนมากพอที่จะก่อไฟไปตลอดทั้งคืน
“หิวเหลือเกิน….” แซคเอามือลูบท้องตัวเอง
ฟู่เทียนทิ้งตัวลงข้างๆกองไฟ เขาหลับตาลงพร้อมกล่าวออกมาว่า “มันคงจะจบลงในสิบวันนี้”
แซคยิ้มออกมาและหลับตาลงในไม่ช้า
เมสันที่นั่งอยู่ถัดไปจากกองไฟหัวเราะออกมา “นอนหลับฝันดีล่ะ”
“คงจะยากหน่อยนะ ตอนแรกก็แค่หิว แต่ไหนจะความหนาวที่เพิ่มขึ้นมาอีก” แชมเอาตัวซุกในเสื้อคลุมพร้อมขยับเข้าใกล้กองไฟ
เมสันยิ้มออกมา เขาหยิบฟืนขึ้นมาหักและคอยโยนมันเข้าไปในกองไฟ ตามคำแนะนำของฟู่เทียน ผู้ที่ทำหน้าที่เฝ้ายามในตอนค่ำคืนจะตอนคอยระวังไฟไม่ให้ดับอยู่เสมอเพื่อป้องกันสัตว์ป่าที่เข้ามาใกล้
ณ เวลากลางดึก อุณหภูมิยิ่งต่ำลงเข้าไปอีก เวลายิ่งผ่านไปลมยิ่งพัดแรงขึ้นเท่านั้น แม้จะนั่งอยู่ข้างๆกองไฟ เมสันก็ยังคงรู้สึกหนาวสั่น เขามีอาการขาสั่นเล็กน้อยเป็นเพราะความกระวนกระวายใจ ในไม่นานนักเขารู้สึกปวดฉี่
เขามองไปยังเเพื่อนๆที่กำลังหลับอยู่พร้อมยืนขึ้นและเดินห่างออกไป ในขณะที่เขาดึงกางเกงลงเพื่อฉี่ ในความมืดมิดนั้นมีเสียงหญ้าถูกแหวกออกและคว้าลำคอของเขา
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หัวใจของเขาเต้นรัวและความกลัวถูกแสดงออกทางสายตา เขาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นในความมืด มันมองมาทางเขาพร้อมพูดด้วยเสียงแหบเล็กน้อย “เยี่ยม อย่าส่งเสียงดัง”
เส้นขนทั่วทั้งตัวของเมสันชูชันขึ้น เขาต้องการร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีเสียงร้องออกมาจากปากของเขาเนื่องจากลำคอของเขาบอบช้ำจากฝ่ามือนั่น อย่างไรก็ตามเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของร่างกายทำให้มีเสียงเล็ดรอดออกมาจากความมืดและเสียงทรายที่กระเด็นจากฝ่าเท้า ดวงตาของฟู่เทียนเปิดขึ้นอย่างฉับพลัน เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนและพยายามไม่ทำลายความเงียบงันลง
เขาคว้าก้อนหินที่อยู่ข้างๆกองไฟ
ไม่ได้การ!
ระยะทางไกลเกินไป!
เมสันรู้สึกสิ้นหวังแล้ว
ในตอนนี้เจ้าของมือคู่นั่นยังคงจับตาเมสันเอาไว้ ความเย็นชาปรากฏให้เห็นในสายตาของเขา เขายกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นผ่านแสงสว่างของกองไฟทำให้เมสันเห็นรูปล่างของมีดสั้น
ชู่ว!
ปัง มีเสียงดังขึ้น ในใจของเมสันไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว ฟู่เทียนใช้ก้อนหินฟาดเข้าที่มีดสั้นเล่มนั้น ฟู่เทียนเริ่มตะโกนทันทีเมื่อมีดสั้นหล่นลงพื้น “มีศัตรูมา ทุกคนตื่นได้แล้ว”
แซคและแชมลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงของฟู่เทียน พร้อมคว้าก้อนหินและมองออกไปรอบๆ
ฟู่เทียนจ้องมองไปยังร่างอันสูงเรียวในความมืด เขามักเป็นคนที่หลับไม่สนิทโดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นและมีเม็ดทรายกระเด็นใส่ใบหน้าอีกทั้งยังไม่เห็นตัวของเมสัน เขาคว้าก้อนหินเอาไว้ในทันที ขณะที่กำลังพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเขาโยนก้อนหินออกไปในทันใดและไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะปะทะเข้ากับมือของร่างๆนั้น
“บ้าชิบ!” ชายแก่ที่อยู่ในชุดคลุมดำตะโกนออกมา มีดที่อยู่ในมือของเขาตกลงไปบนพื้น ข้อมือของเขาสั่นเล็กน้อยเนื่องจากความเจ็บปวด ด้วยความโกรธเขาผลักเมสันออกไปพร้อมหยิบขวดสีเขียวออกมาจากหน้าอก เขาเปิดจุกขวดออกและควันสีเขียวจึงค่อยๆกระจายออกมา และโยนมันไปยังทิศทางที่ฟู่เทียนยืนอยู่
ควันสีเขียวถูกแพร่กระจายออกอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของฟู่เทียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วพร้อมรีบปิดจมูกของเขาไว้ เขาต้องการเตือนแซค แชม และเมสันให้ระวังถึงควันสีเขียวเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากควันถูกแพร่กระจายออกอย่างรวดเร็ว ตุบ! เสียงดังขึ้นปรากฏให้เห็นเมสันล้มลงท่ามกลางหมอกสีเขียว
เพื่อนๆของฟู่เทียนล้มตัวลงและกำลังเผชิญกับความตาย
แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็ได้ยินเสียงของทั้งสองล้มลง เขาสันนิษฐานว่าแซคและแชมได้สูดหมอกสีเขียวนั่นเข้าไป
หัวใจของเขาเต้นรัวและเต็มไปด้วยความเครียดและข้อของใจหรือมันเป็นหนึ่งในการการฝึกฝนในครั้งนี้? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆแสดงว่ากลุ่มใหญ่หรือเล็กทั้งหลายได้ถูกทำลายแล้ว!
หรือจุดประสงค์ของการการฝึกฝนก็เพื่อให้ทุกๆคนมารวมตัวกัน
ความคิดหลากหลายหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของฟู่เทียน เขาไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้และรู้สึกเสียใจ ในบางทีความหมายของการการฝึกฝนอาจไม่ใช่การมีชีวิตรอดในสิบวันแต่เป็นการให้ทุกคนร่วมสามัคคีกัน
“ไอ้ตัวปัญหา” จากจุดนี้ฟู่เทียนได้ยินเสียงก้าวเท้าของชายแก่
“พวกมันทำให้ต้องเสียแก๊สวิญญาณสลบไปจนได้” ชายแก่พูดกล่าวกับตนเอง ฟู่เทียนไม่เข้าใจว่าเขาพล่ามอะไรออกมา เขากำทรายในมือไว้แน่พร้อมเคลื่อนไหวทุกขณะ
ในตอนนี้ฟู่เทียนรู้สึกได้ว่ามีฝ่ามือแห้งกรานจับขาของเขาไว้ ราวกับว่ามันไม่มีเนื้อห่อหุ้มอยู่เลย เขากำลังนึกถึงเรื่องการโจมตีกลับถ้าอีกฝ่ายต้องการฆ่าเขา อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าชายแก่จะไม่ได้สนใจเรื่องการฆ่าเท่าไหร่นัก เขาดึงข้อเท่าของฟู่เทียนพร้อมเดินไปข้างหน้า
ฟู่เทียนรู้สึกใจไม่ดี เขาไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อไป
โจมตี?
หรือรอคอยโอกาส?