“ล้มเหลว เพราะอะไรกัน?” เส้นประสาทและเส้นเลือดเชื่อมต่อกันได้แล้ว ทุกๆอย่างใช้เวลาในการตรวจสอบกว่าสองครั้ง มันควรจะเป็นการทดลองที่สำเร็จ ทำไมฉันถึงไม่สามารถได้รับพลังเหมือนพวกอัศวินแห่งแสง? จุดไหนคือข้อผิดพลาดกัน? อ้ะ…”
ฟู่เทียนนึกถึงการกลายพันธุ์ที่หัวไหล่ของรอสยาร์ด มันถูกบันทึกเอาไว้ว่าคือความล้มเหลวในการทดลอง แต่สิ่งที่ทำให้ฟู่เทียนสนใจคือประโยค ‘ได้รับพลังเหมือนพวกอัศวินแห่งแสง’
จะเป็นไปได้ไหมที่อัศวินแห่งแสงจะถูกดัดแปลงทางพันธุกรรม และได้รับพลังที่เหนือจินตนาการกว่าคนทั่วไป?
นี่จะต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ!
พวกนักเล่นแร่แปรธาตุมักดัดแปลงหรือแก้ไขพันธุกรรมของร่างกาย ถ้าหากอัศวินแห่งแสงใช้วิธีพวกนี้เช่นกัน ก็นับว่าโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่มีการดำรงอยู่เลยล่ะ อย่างน้อยที่สุดเบื้องหลังจะต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
ฟู่เทียนรู้สึกตกตะลัง เขายังคงอ่านต่อไป
บันทึกเล่มนี้เป็นบันทึกการทดลองกว่าสิบปีของรอสยาร์ด หลังจากล้มเหลวในการดัดแปลงร่างกายของตนเองรอสยาร์ดจึงทำบันทึกนี้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดังนั้นเขาจึงค่อยๆลักพาตัวเด็กๆเพื่อทำการทดลอง ถ้าหากผลการทดลองเป็นไปด้วยดี เขาจะฆ่าเด็กทิ้งซะ และแบ่งเป็นข้อมูลที่ได้ให้กับ ‘โบสถ์แห่งความมืด’ ถ้าหากสิ่งที่มอบให้ไปสามารถสร้างประโยชน์ขึ้นมาได้ เขาจะได้รับระดับที่สูงขึ้น (จำนวนดาว) และได้รับผลประโยชน์และทรพยากรที่มากขึ้น
ในบันทึกของรอสยาร์ดกล่าวไว้ว่า ‘โบสถ์แห่งความมืด’ ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุ ผู้รอบรู้เรื่องพิษ พวกหุ่นเชิด และอีกหลายอาชีพที่แตกต่างกัน ซึ่งปกครองกองกำลังขนาดใหญ่อยู่ พวกเขาไม่ได้มีแค่พวกที่อยู่ด้านนอกกำแพง แต่สมาชิกบางส่วนในตระกูลระดับสูง ผู้คนจากสลัม หรือแม้บางส่วนของกองทัพก็ยังอยู่ในองค์กรนี้เช่นกัน หากจะเทียบให้เห็นง่ายๆ หากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดเผยอย่างภาคภูมิในแสงสว่าง ดังนั้น‘โบสถ์แห่งความมืด’ก็เปรียบเหมือนสัตว์ประหลาดที่กำลังซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดมิดยามค่ำคืน
“โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์, กองทัพ, โบสถ์แห่งความมืด...” ฟู่เทียนพึมพำ จากมุมมองของเขาในตอนนี้ ทั้งสามกองกำลังเปรียบเหมือนสามขั้วอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกกำแพงแห่งซิลเวีย ด้วยข้อมูลในตอนนี้เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรเข้ากับฝ่ายใด กองทัพ หรือ โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้เขาไม่มีความคิดเอนเอียงไปทาง ‘โบสถ์แห่งความมืด’ เลย
“ฉันรู้น้อยเกินไป...” ฟู่เทียนถอนหายใจ ราวกับหัวใจของเขากำลังหลงทาง และยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับอนาคต
เขาไม่สามารถทนต่อการบังคับจากกองทัพได้
.
โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็โน้มน้าวด้านความเชื่อและศรัทธา เขาไม่สามารถเผชิญกับจิตใต้สำนึกของตัวเองได้ ถ้าหากต้องเลือกเข้ากับโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์
เห็นได้ชัดเจนจากบันทึกของนักเล่นแร่แปรธาตุ ที่กองกำลังต่างๆภายใต้โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องเผชิญกับนักวิทยาศาสตร์และการทดลองเช่นกัน อย่างไรก็ตามกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่อยู่ภายใต้กฏหมายและปราศจากคุณธรรมและความยับยั้งชั่งใจก็ไม่ต่างอะไรกัวพวกปิศาจเลย
ฟู่เทียนรู้สึกว่าการที่คนตัวเล็กๆเช่นเขาจะปีนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลกช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่ามันจะเป้นเรื่องง่าย ลึกๆภายในจิตใจของเขาต้องการแค่เพียงการใช้ชีวิตอย่างปกติและเรียบง่าย
เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัว เขานึกถึงคำพูดอันคมคายของสาวชนชั้นสูง ท่าทางการแสดงออกอันต้อยต่ำของจูร่าต่อหน้าเหล่าชนชั้นสูงปรากฏขึ้นมายังดวงตาของเขา เขาจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องทิ้งชีวิตไปในปราสามของพวก ‘นักล่า’
เขาค่อยๆหลับตาลงและถามกับตัวเอง อยากมีชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไปจริงๆหรอ? จะต้องทำอย่างไรหากต้องพบเจอเรื่องแบบนั้นอีก? ในครั้งหน้าจะหลีกหนีจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบนั้นได้มั้ย?
ไม่ ไม่!
เมื่อชีวิตกำลังถูกคุกคาม เขาจะไม่สามารถป้องกันอะไรได้!
เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ความมุ่งมั่นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขา แม้จะต้องละทิ้งเสรีภาพ แม้จะต้องละทิ้งโชคชะตา! หรือจะต้องละทิ้งความเมตตาในตัวไป! ฉันจะต้องมีชีวิตที่ดีให้ได้ ถ้าหากต้องถูกทิ้งให้จมอยู่กับความมืดฉันก็จะคลานไปหาแสงสว่างให้จงได้ เขาคว้าแผ่นเหล็กคมกรีดเข้าที่มือตัวเองลากยาวไปยังแขน เขากัดฟันแน่นเพื่อเอาชนะความเจ็บปวด สายตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาพร้อมกับพูดออกมาเบาๆ “ฟู่เทียน นายรู้สึกเจ็บปวดและนายเคยเป็นคนที่เคยขลี้ขลาดมาก่อน นายเคยคิดที่จะเสียสละชีวิตเพื่อช่วยพ่อแม่และน้องสาวของตัวเองให้รอดชีวิตบ้างมั้ย?”
เขากัดฟันแน่นพร้อมมองไปยังเลือดที่กำลังไหลอาบแขนราวกับกำลังจดจำความเจ็บปวดนี้เอาไว้ เขาค่อยๆเตือนตัวเองอย่างเงียบงัน ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรคมากมายเท่าไหร่ เขาจะไม่ละทิ้งเส้นทางของตนเอง
เมนสันกลับมายังห้องนอน พร้อมกับเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากแขนของฟู่เทียนพร้อมกับส่งเขาไปยังโรงพยาบาล
…
…
หน่วยค้นหาต่างกำลังฝึกฝน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเวลาได้ผ่านไป 3 ปี
“เทียน การฝึกฝนขั้นสุดท้ายกำลังสิ้นสุดลงแล้ว และวันนี้จะเป็นวันสำเร็จการศึกษา พวกเราจะได้กลับบ้านไปพบครอบครัวแล้ว” แซคยิ้ม เขาเป็นลูกที่มีความใกล้ชิดกับครอบครัว ในทุกๆเดือนเขาจะขอลา 1 วันเพื่อกับไปพบพ่อแม่ ส่วนฟู่เทียน, เมสัน และ แชม กลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัวตามโอกาสเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเขียนจดหมายเสียมากกว่า
ฟู่เทียนยิ้ม 3 ปีมานี้รูปร่างของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก สีผิวของเขาไม่ได้ขาวเหมือนเมื่อก่อนแต่เปลี่ยนเป็นสีของข้าวสาลีคุณภาพดีที่ได้รับแสงแดดอย่างพอเหมาะ เขามีความสูง 1 เมตร 60 เซนติเมตร ซึ่งมีความสูงมากที่สุดในกลุ่ม ในปีนี้เขามีอายุ 12 ปีพอดิบพอดี
“เฮ้ ที่เป็นห้องนอนที่เจ๋งที่สุดในหอพักเลย พวกเราทั้ง 4 คนจะจบการฝึกฝนแล้ว!” เมสั้นยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวทั้ง 2 แถว
แชมกล่าว “ฉันหวังว่าในอนาคตตอนที่พวกเราได้เข้ากองทัพ พวกเราจะได้อยู่ในหน่วยเดียวกันอีก แต่ถ้าหากพวกเราต้องแยกย้ายกันแล้ว อย่าลืมมาที่โรงเหล้าของครอบครัวฉันด้วยล่ะ… ฉันเลี้ยงเอง”
ฟู่เทียนและทั้งสองคนเคยได้ยินเกี่ยวกับโรงเหล้าของแชมมานานแล้ว เมสันหัวเราะออกมาพร้อมตอบ “แน่นอน!”
“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสายเอา” ฟู่เทียนกล่าว
พวกเขาทั้งหมดเดินทางไปยังสนามอันกว้างใหญ่ของโรงเรียน มีนักเรียนอยู่จำนวนมากยืนพูดคุยกันอยู่
เมสันกล่าวอย่างเศร้าซึม “เมื่อ 3 ปีก่อนมีนักเรียนกว่า 300 คนแท้ๆ พวกเรานี่โชคดีจริงๆที่เรียนจบ”
“ยังมีหลายคนที่ยังไม่เดินทางมา” แชมยักไหล่ “ฉันเคยนับไว้ก่อนหน้าแล้ว มีนักเรียนทั้งหมด 106 คนที่จบการศึกษา”
แซคมองไปยังป่าด้านนอกโรงเรียน “พวกเขาเป็นใครกันและมางานจบการศึกษาทำไม?”
ฟู่เทียน แชม และ เมสัน มองไปยังสถานที่แซคได้ชี้ไป พวกเขาเห็นโทบุและมีคนอื่นๆอีก 8 คน คนกลุ่มนั้นกำลังพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน พวกเขาทุกคนต่างสวมชุดที่มีความสง่างาม