นับตั้งแต่วันนั้น รังสีปีศาจทั้งหมดในร่างกายของยี่หลิงก็ถูกขจัดออกไปจนหมด และในที่สุดเขาก็ฟื้นตัวเต็มที่ บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาใช้ความสามารถทั้งหมดของเขาเพื่อระงับผนึกปีศาจในตอนนั้น เมื่อรังสีปีศาจถูกกำจัดออกไป เขารู้สึกว่าการฝึกฝนของเขานั้นก็ได้ก้าวหน้าตามไปด้วย ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณแกนปีศาจที่อาจารย์ของเขามอบให้เขาจึงทำให้เขารอดมาถึงทุกวันนี้ เขายังรู้สึกโชคดีที่ได้พบอาจารย์ดีๆแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากรบกวนท่านอาจารย์ด้วยคำขออะไรอีก
“เอ่อ.. พ่อครั…ลูกศิษย์…ยิงหลิง(เฉินหยิงยังจำชื่อยี่หลิงไม่ได้เลยเดาชื่อไปมั่วๆ).” เฉินหยิงสะกิดชายที่กำลังทำอาหารและถามขึ้นมาว่า “เป็น...อะไรมากเปล่าเนี่ย ?”
เขาตกใจสะดุ้ง ความรู้สึกบาปหนักอึ้งกดลงบนบ่าของยี่หลิงทันที จนต้องวางตะหลิวลงแล้วโค้งต่อหน้าเธอ ก่อนจะพูด “ท่านอาจารย์อ่านใจข้าได้งั้นเหรอ น่าเลื่อมใสจริงๆ ข้าปิดบังอะไรจากท่านไม่ได้เลย”
“…” เออ ก็แหงซิ ก็เล่นเหม่อใจลอยโรยเกลืออาหารจานเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกขนาดนั้น ฉันก็แค่อยากจะถามว่ามันยังจะกินได้อยู่ไหมแค่นั้นเอง
แต่เขากลับทำหน้ารู้สึกผิดแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ที่จริงข้ามีเรื่องต้องปรึกษาท่าน และข้าเองก็หวังว่าท่านอาจารย์จะอนุญาติ!”
เฉินหยิงเหลือบมองไปที่กระทะก่อนจะพูดว่า “อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” ดีละ โชคดีที่อยู่ในกระทะนั้นมันเป็นแครอท ไม่ใช่เนื้อ เสียดายของ เค็มตายเลย
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องมีจิตใจที่กว้างขวาง ท่านถึงได้คอยปกปักต์อาศัยอยู่ที่ปากทางเข้าแดนปีศาจเพื่อไม่ให้พวกปีศาจออกมาเพ่นพ่านสร้างความวุ่นวายได้”
“เอ่อ…” เปล่าเลย เธอไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้ เธอแค่หลงทางเก่งแล้วไม่กล้าเดินไปไหนไกล กลัวกลับไม่ถูก
“เพียงแต่ คำขอของข้านั้นหาใช่เรื่องที่ธรรมดาไม่ แต่เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดเลย” เขาหยิบแท่นกลืนวิญญาณที่ถูกปิดผนึกไปแล้วขึ้นมาแล้วอธิบายว่า “แท่นนี้ ยังคงเป็นสิ่งที่ลักธิปีศาจอย่างรุยมิสร้างขึ้นมา เขาเคยฆ่าสังหารหมู่คนนับหมื่นนับพันแล้วจับวิญญาณของพวกเขาที่ตายไป ขังไว้ในแท่นกลืนวิญญาณเพื่อที่จะไปหล่อเลี้ยงบ่อโลหิตต่อไป มันทำให้วิญญาณที่ถูกขังอยู่ในนี้มันกลายเป็นวิญญาณร้าย และเป้าหมายของพวกมันก็คือการชุบชีวิตราชันต์ภูตขึ้นมา จนถึงตอนนี้แท่นนี้ก็ยังกักขังวิญญาณร้ายกว่าล้านดวงเอาไว้ หากปลดปล่อยมันออกมามันจะเกิดความแต่ความสูญเสีย ผู้คนมากมายจะต้องล้มตายอย่างแน่นอน” พอนึกถึงสิ่งรุยมิทำแล้วเขาก็กำหมัดแน่นก่อนจะพูดต่อหลังจากหายใจเข้าลึกๆแล้ว “แล้วตอนนี้พอรุยมิตาย แท่นนี้จึงหลุดจากการควบคุม วิญญาณร้ายข้างในผนึกนี้จึงใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนีออกมา ถึงแม้ข้าจะใช้อาคมผนึกมันไว้เมื่อคืนก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ถาวร อาคมที่ข้าใช้นั้นผนึกแท่นนี้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ยามใดที่พระจันทร์กลับมาเต็มดวงอีกครั้งนึง พลังหยิน(ด้านมืด)ก็จะคืนอำนาจและวิญญาณร้ายพวกนี้ก็จะต้องแหกผนึกออกมาแน่ๆ”
“โอ้…” เฉินหยิงพยักหน้า พยักไปงั้นแหล่ะ เอาจริงๆคือเธอไม่เข้าใจที่เขาพูดซักอย่าง เธอถามต่อ “แล้วนายจะสื่ออะไรกันแน่เนี่ย”
“ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครรับมือกับวิญญาณนับแสนได้ด้วยตัวคนเดียว” เขากำหมัดแน่นก่อนจะพูดต่อว่า “ดังนั้น…ข้าจึงตั้งใจจะเอาแท่นกลืนวิญญาณนี้ไปให้สำนักเทวะทมิฬ ซึ่งที่ตั้งของสำนักเทวะทมิฬนั้นอยู่เหนือเขตอาคม และพลังงานจากเขตอาคมพวกนั้นสามารถช่วยชะล้างวิญญาณร้ายที่อยู่ในแท่นนี้ได้ ซึ่งอาจจะทำให้เราปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ให้หลุดพ้นจากความทรมารได้ เพียงแต่…”
เขาคิดบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะหันไปหาเฉินหยิงอย่างลังเล “เพียงแต่เส้นทางที่จะไปสำนักเทวะทมิฬนั้นช่างยาวไกลนัก ความรู้และความสามารถของข้าเองนั้นก็ด้อยนัก หากเกิดอะไรขึ้นกับแท่นกลืนวิญญาณขึ้นมา ข้าเกรงว่า มันอาจจะเกินกำลังของข้าที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้
เขาจึงคำนับต่อหน้าเธอ แล้วพูด “ขออภัยในความตรงไปตรงมาของข้าด้วย แต่ถ้าข้าจะขอให้ท่านอาจารย์ไปสำนักเทวะทมิฬกับข้าด้วยจะได้รึไม่?”
“เอาซิ ได้เลย!”
“ข้าก็เข้าใจว่าท่านต้องอยู่ที่นี้เพื่อปลีกวิเวกและบำเพ็ญเพียร การที่ขอร้องให้ท่านออกไปไหนมันก็คง….ฮะ….ท่านอาจารย์ ท่านตกลงงั้นเหรอ!!” ยี่หลิงทำตาโตด้วยความตกใจ เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกเขาคิดจากที่เขาได้ยินมาว่า การที่เธอตัดสินใจอยู่ที่ปากทางเข้าแดนปีศาจแล้วต้องคอยจัดการกับปีศาจที่ออกมามันก็เป็นการขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของเธอมากแล้ว แต่การดึงเธอออกมานั้นมันอาจจะแย่กว่าเดิมอีก แต่เธอเองก็ยังยินดีไปกับเขาโดยง่าย
“เอาละๆ ยืนขึ้นได้แล้ว ยืนๆ!” เฉินหยิงจับเขายืนขึ้น เขาก็น่าจะบอกว่ารู้ทางตั้งนานละนะ เธออยู่ในป่าโบราณนี้มาหลายเดือนแล้ว ไม่ใช่เพราะเธออยากปลีกวิเวกอะไรหรอก แต่แค่เธอเป็นพวกหลงทางง่ายมาก ความจำในเรื่องเส้นทางอยู่ในระดับที่ห่วยแตกสุดๆ ซึ่งการเดินไปไหนมาไหนส่งเดชนั้น หมายความว่าบางทีเธออาจจะหลงทาง บางทีเธออาจจะต้องไปนอนกลางดินกินกลางทราย ใช้ชีวิตเหมือนแบร์กิลด์ไล่จับสัตว์กินไม่มีที่ซุกหัวนอน ถ้าออกไปได้เธอก็คงออกไปแล้ว เธอเริ่มคิดแล้วว่า การมีลูกศิษย์นี้มันดีจริงๆด้วย นอกจากจะเป็นพ่อครัวแล้ว ยังเป็นตัวนำทางได้อีก
“แล้วเราจะออกเดินทางกันเมื่อไรละ ? วันนี้เลยไหม ? ตอนนี้เลยดีกว่า เก็บข้าวของแล้วไปกันเลย ข้าวเที่ยงแบกไปกินระหว่างทางก็ได้”
“ท่านอาจารย์…” ยี่หลิงรู้สึกตื้นตันใจในความมีเมตตาของอาจารย์เขามาก เขาประทับใจในตัวอาจารย์ของเขาอย่างมาก เขาไม่รู้สึกเสียใจที่เป็นลูกศิษย์เธอ
“เอ้า แล้วจะมายืนอยู่ทำไมละ” เฉินหยิงที่กำลังเดินออกจากห้องครัวหันหลังกลับไปมองเขา “รีบห่อข้าวเที่ยงเร็วๆซิ เดี๋ยว เราจะได้กินระหว่าง เวลาไม่เคยคอยใครนะ อ่อ ผัดผักในกระทะนั้นทิ้งไปได้เลยนะ” เพราะนอกจากจะเค็มแล้วตอนนี้มันไหม้ไปแล้วด้วย
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ยี่หลิงเก็บความปลาบปลื้มเอาไว้ในใจเขา ก่อนจะหันไปดับไฟที่อยู่ในกระทะ เขาภูมิใจมากที่ได้เป็นศิษย์ของเฉินหยิง
เฉินหยิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะในที่สุดเธอก็สามารถออกจากกระท่อมโทรมๆนี้สักที เธอรีบเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บข้าวของที่จำเป็น แต่เธอก็พบว่าในบ้านนั้นไม่ค่อยมีอะไรให้เก็บมากนัก หลังจากเธอคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ตัดดสินใจทิ้งจดหมายไว้ให้ราชินีปีศาจกระต่าย เธอเดินออกมาข้างนอกและพบว่าลูกศิษย์/คนนำทาง/พ่อครัวของเธอนั้นห่อข้าวเที่ยงแล้วมายืนรอเธอเรียบร้อยแล้ว
“ฉันพร้อมละ” เธอเดินเข้าไปและถามเขาว่า “เราจะไปทางไหนละ ?”
ยี่หลิงชี้นิ้วออกไปทางขวา “ไปทางใต้ขอรับ”
“งั้นก็ ไปกันเลย!”
“ขอรับ!” เขายกมือขึ้นแล้วดาบของเขาก็ปรากฏออกมาจากกลางอากาศ เขากระโดดขึ้นไปที่ดาบนั้นแล้วขี่มันบิน แต่พอกำลังจะเร่งความเร็ว เขาก็สังเกตว่าอาจารย์ของเขายังยืนมองอยู่ที่เดิม เขาเลยพูด “ท่านอาจารย์? ทางไปสำนักเทวะทมิฬมันไกลมากนะขอรับ เราต้องขี่กระบี่บินไปเท่านั้นละขอรับ”
เฉินหยิง “…” ขี่กระบี่บินเหรอ มันคืออะไรงะ? ก็ถ้าฉันบินเป็น ฉันก็คงไม่ติดแหง่กอยู่ในกระท่อมกลางป่าแบบนี้กว่า4เดือนไหมละ?
“ท่านอาจารย์?”
“ก็ฉันขี่ดาบไม่เป็นนี้”
“หะ?!” ยี่หลิงคิดว่าเขาได้ยินผิด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ล้อเล่นเลย ดังนั้นเขาจึงลองถามว่า “ท่านอาจารย์…ท่านเคยเดินทางโดยวิธีนี้ไหม ?”
“ยังไม่เคย”
“ถ้างั้นท่านคงล่องนภาได้ซินะ ?”
“ไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วเคลื่อนย้ายพริบตาละ(วาปนั้นละ) ?”
“คืออะไรอะ”
“….”
ยี่หลิงเงียบไปประมาณหนึ่งนาทีเต็มๆ ก่อนจะบินกลับมาที่อาจารย์ของเขา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือให้เธอ “ถ้างั้น…ข้าให้ท่านไปกับข้าละกัน”
“เยี่ยมเลย!” เธอตอบรับในทันทีก่อนจะกระโจนขึ้นบนดาบของเขา “ขอบใจนะ โอเค ฉันยืนดีแล้ว เอาละ ออกตัวได้เลย ออกตัว!”
เธอดูเหมือนจะ..ตื่นเต้นเกินไปนิดหน่อย เหมือนวัยรุ่นแตกสาวที่กำลังจะได้ขี่ดาบเป็นครั้งแรก
เขาส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดพวกนั้นออก แล้วกลับมาตั้งสมาธิกับการขี่ดาบอีกครั้งโดยรอบนี้มีผู้โดยสารไปด้วย ท่านอาจารย์แข็งแกร่งขนาดนั้น จะไม่รู้วิธีการขี่กระบี่ได้ยังไง มีอีกเหตุผลนึงก็คือ ตอนที่เธอช่วยขจัดรังสีปีศาจออกจากตัวเขานั้น เธอก็รับรังสีนั้นแทนเขาไปด้วย นั้นทำให้ร่างกายของแธอไม่แข็งแรงพองั้นเหรอ แล้วเธอก็กลัวว่าเขาจะเป็นห่วงเลยปิดบังเรื่องนี้เอาไว้งั้นเหรอ
ยิ่งเขาคิดไปมากเท่าไร มันยิ่งเป็นไปได้มากเท่านั้น เขาอดที่จะหันหลังไปมองเฉินหยิงไม่ได้ ท่านอาจารย์ ท่านจะมีเมตตาเกินไปแล้ว
เฉินหยิงที่พึ่งจะได้บินเป็นครั้งแรกจริงๆก็แบบ “.....” อะไรเนี่ย สายตาเวทนาของตานี้มันอะไรกัน มองอย่างกับฉันเป็นเด็กอย่างงั้นละ แค่ขี่ดาบไม่เป็นเองเนี่ยนะ?
__________
การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาสองวัน หลังจากที่ออกจากป่าที่มีรังสีปีศาจปกคลุมไปได้แล้ว พวกเขาก็เดินทางผ่านดินแดนรกร้าง ในช่วงบ่ายของวันที่สามพวกเขาเห็นกำแพงของเมืองเล็กๆ เสียงของคนพลุกพล่านดังจนพวกเขาได้ยิน
“ท่านอาจารย์ เรามาถึงแล้ว” ยี่หลิงหยุดและเก็บดาบของเขา
“นี่คือสำนักเทวทมิฬงั้นหรอ?” เฉินหยิงเงยหน้าขึ้นไปมองพยายามอ่านตัวหนังสือบนประตูเมือง แต่เธอก็มองเห็นมันได้ไม่ชัด
“ไม่ใช่ขอรับ” ยี่หลิงส่ายหัว “นี่คือเมืองฉุนหยูขอรับ เป็นเมืองที่ใกล้ที่สุด ระยะทางจากนี้ไปสำนักเทวทมิฬนั้นไกลเกินไปมาก ถ้าอาศัยเพียงขี่ดาบไปอย่างเดียว อาจจะใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนได้กว่าจะถึง เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องการขนส่งที่จะพาเราตรงไปที่สำนักทมิฬได้ขอรับ”
“อ้อ” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่ก็คงหมายความประมาณว่า จะหาทางลัดจะได้ไปถึงเร็วๆ
ยี่หลิงพาเธอเดินเข้าไปในเมืองโดยเดินผ่านถนนที่คึกคักไปยังใจกลางเมือง พวกเขาหยุดหลังจากที่พวกเขามาถึงพื้นที่ที่แออัดที่สุดซึ่งเป็นจัตุรัสเล็กๆที่นี้มีคนมากมาย บางคนก็สัญจรไปมา ส่วนบางส่วนก็ต่อแถวรอคิวที่ยาวมากๆเหมือนกำลังรออะไรอยู่
ยี่หลิงเดินพาเฉินหยิงมายืนที่ปลายแถว เขาชี้ไปทางด้านหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์วงแหวนขนส่งอยู่ตรงหน้านี้จะพาเราไปถึงสำนักเทวทมิฬได้ละขอรับ”
“อ่อ” เฉินหยิงพยักหน้าอย่างงงๆ เธอรู้สึกง่วงจนใจเริ่มเหม่อลอย
คิวต่อแถวนั้นขยับไปอย่างรวดเร็วมาก ภายในเวลาไม่นาน เขาก็ไปอยู่แถวหน้าสุดแล้ว เฉินหยิงพึ่งจะได้เห็นชัดๆว่ามันเป็นพื้นที่ศูนย์กลางขนส่งขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยวงแหวนเวทเหมือนที่เห็นในการ์ตูน รอบๆของพวกเขานั้นมีเสาหิน4ต้น ที่สลักไปด้วยตัวอักษรที่อ่านไม่ออก คนที่เดินเขาไปในวงแหวนเวทนั้นก็จะหายไปในทันที
งั้นนี้ก็คือวงแหวนเดินทางงั้นซินะ! เฉินหยิงรู้สึกเหมือนการโดนส่งมาที่โลกนี้ของเธอนั้นจะดูเว่อร์ขึ้นไปอีก
“50ไข่มุกต่อคน” คนคุมที่ดูแลเส้นทางการขนส่งยื่นมือออกมาหาพวกเขา
ยี่หลิงหาถุงเก็บของที่อยู่ข้างๆตัวเขา แต่เขากลับหาอะไรไม่เจอ เขาหน้าซีดทันที
“เกิดอะไรขึ้น ?” เฉินหยิงเห็นท่าทีแปลกไปเลยถาม
ใบหน้าของยี่หลิงเปลี่ยนสีซีดก่อนเขาจะลดระดับเสียงลงแล้วพูด “ข้าลืมไปว่ากระเป๋าของข้า มันหล่นหายไปตอนที่ต่อสู้กับรุยมิ อาจารย์…ท่านมีมุกวิญญาณเหลือไหม ?”
“ไข่มุก มุกวิญญาณคืออะไรอะ ?”
ยี่หลิง “….”
ยาม “…”
หลังจากที่โดนส่งมาที่โลกนี้ ปัญหาแรกเลยที่เธอต้องเผชิญจริงๆเลยก็คือ ....การไม่มีเงิน!