SC:บทที่ 4 โหมโรง
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยในหอพัก หลินเฉิง หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาแล้วเลื่อนดูหารายชื่อผู้ติดต่อและโทรออกทันที
“ฮัลโหล สวัสดี!”
หลังจากที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยมาจากโทรศัพท์ หลินเฉิง ตั้งสติแล้วพูดเบาๆว่า
“สวัสดีครับป้าฉิน ผมคือ หลินเฉิง นะ!”
“ผม….” ก่อนที่ หลินเฉิง จะทันได้พูดประโยคต่อไปเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงจากปลายสาย
“โอ้ เจ้าเด็กโง่เพิ่งจะรู้หรอว่ามีป้า!นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ติดต่อป้า?เกิดอะไรขึ้นมีอะไรหรือเปล่า เธอควรมาหาป้าที่เซียงโจว ที่เซียงโจวนี้มีงานให้เธอฝึกเยอะแยะ หลังจากที่เธอได้ฝึกงานที่นี่ตอนจบการศึกษายังสามารถเริ่มงานได้ทันที”
ป้าฉิน ผู้อยู่ปลายสายกำลังพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ หลินเฉิง ต้องลูบหน้าผากตัวเองด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ป้าฉินฟังผมก่อน!ผมคิดว่าผมจะไปหาป้าที่เซียงโจว ภายใน 2 วันนี้ ดังนั้นผมจึงแจ้งกับป้าให้รู้ล่วงหน้าก่อน…”
เมื่อได้ยินว่า หลินเฉิง กำลังไปหาตัวเองป้าฉินที่อยู่ปลายซ้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่า ในที่สุดเธอก็คิดได้สักที! เดี๋ยวป้าจะส่งค่าโดยสารไปให้เธอหลังจากวางโทรศัพท์ อย่าลืมโทรหาป้าก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่องบินนะ ป้าจะได้รู้เวลาที่ไปรับเธอ!”
ในที่สุดป้าฉินก็วางโทรศัพท์ยังไม่เต็มใจเนื่องจากหลินเฉิงไม่เคยขึ้นเครื่องบินและเขาเองก็ปฏิเสธค่าโดยสารซ้ำซ้ำดังนั้นจึงทำให้ป้าฉิน วางสายอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากที่ หลินเฉิง วางสายเขารู้สึกโล่งอกทุกครั้งที่เขาได้คุยกับป้าฉินทางโทรศัพท์เขาจะรู้สึกว่าเธอจู้จี้กับเขามาก ดังนั้นเขาจึงทนฟังนานๆไม่ไหว
ป้าฉินไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา เธอเป็นเพียงผู้ใหญ่ใจดีที่คอยอุปถัมภ์ หลินเฉิง อย่างลับๆ สำหรับเหตุผลที่เธออุปถัมภ์ หลินเฉิง นั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุนี้เพราะป้าฉินไม่ได้บอกเขา
ตั้งแต่ที่รู้ว่าเขาได้รับเงินอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ใจดี หลินเฉิง จึงอยากรู้ว่าคนคนนั้นคือใคร ผู้อำนวยการไม่สามารถทนการอ้อนวอนของเขาได้ในที่สุดเขาก็บอกเบอร์โทรศัพท์ของป้าฉินให้กับ หลินเฉิง
หลินเฉิง โทรศัพท์หาป้าฉินครั้งแรกรู้สึกประหม่าเล็กน้อยแต่ในที่สุดเขาก็สามารถเอาชนะความประหลาดใจของเขา ด้วยเสียงของอีกฝ่าย เขาค่อยๆสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างช้าๆ
ป้าฉินมักจะติดต่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของเขาอยู่เสมอ การดูแลที่อบอุ่นของเธอทำให้ หลินเฉิง รู้สึกถึงคำว่าญาติเป็นครั้งแรก
และตลอดหลายปีที่ผ่านมาป้าฉินพยายามเรียกร้องไห้ หลินเฉิง ไปอยู่กับเธอ ป้าฉิน มีชื่อเต็มว่า ฉินซูยี้ มีอายุเกือบ 50 ปีทำงานบริษัทเครื่องสำอาง เธอมีลูกสาวที่เป็นรุ่นใหม่ไฟแรงและสามีของเธอเป็นข้าราชการ สามารถพูดได้ว่าครอบครัวของเธอนั้นค่อนข้างร่ำรวย
อย่างไรก็ตามป้าฉินที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยนั้นกลับอุปถัมเด็กกำพร้าเช่น หลินเฉิง ความห่วงใยของเธอแสดงออกอย่างเปิดเผยทำให้ หลินเฉิง รู้สึกถึงการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียมเป็นครั้งแรก ดังนั้นในหัวใจของ หลินเฉิง ป้าฉินเป็นญาติของเขา
เมื่อคิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันทำให้ หลินเฉิง เกรงว่าครอบครัวป้าฉินจะได้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะเก็บสัมภาระทั้งหมดและไปหาป้าฉิน
หลินเฉิง นั่งอยู่บนรถแท็กซี่เพื่อจัดเตรียมไปสนามบินเมื่อเขามองไปนอกหน้าต่าง เขารู้สึกถึงความผิดปกติมันมีหมอกหนาก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเขาจะไม่เคยขึ้นเครื่องบินแต่เขาก็รู้ว่าถ้าสภาพอากาศเต็มไปด้วยหมอกเช่นนี้เครื่องบินจะไม่สามารถออกบิลได้!
ในใจของเขาสวดอ้อนวอนให้หมอกหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง หลินเฉิง ก็มาถึงสนามบินนานาชาติซงโจว
เมื่อเขาเดินเข้าไปถึง ล๊อบบี้ ของสนามบินเขาก็เห็นว่าล็อบบี้ที่กว้างขวางนั้นเต็มไปด้วยผู้โดยสารที่รอขึ้นเครื่อง เสียงของการโต้เถียงของผู้คนในล็อบบี้ทำให้เขารู้สึกแย่ เขารีบเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างไรก็ตามเขาได้ยินเสียงพนักงานหญิงอธิบายอยากอดทนกับคนรุ่นป้าที่วิตกกังวลอยู่ในตอนนี้
“ดิฉันขอโทษจริงๆค่ะ เนื่องจากสภาพการอากาศมีหมอกหนามาก..เที่ยวบินทั้งหมดจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบินตามระเบียบการ ทางเราต้องขอโทษในความไม่สะดวกด้วยค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงคำอธิบายของพนักงานหญิง หลินเฉิง รู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรอ?หรือเป็นการโหมโรงก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่?
หลินเฉิง ส่ายหัวตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาคิดถึงเรื่องนี้!
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นและเปิดพยากรณ์อากาศ จากนั้นเขาได้เห็นคำเตือนเกี่ยวกับสภาพอากาศที่มีหมอกหนาและมันยังคงเป็นอย่างนี้อีกไม่กี่วันข้างหน้า หลินเฉิง จึงปิดโทรศัพท์มือถือของเขาแล้ววิ่งออกไปจากห้องโถงเพื่อโบกรถจากนั้นเขารีบตรงไปยังสถานีรถไฟ
เป็นอีกครั้งที่ หลินเฉิง รู้สึกเสียใจหากเขาเชื่อระบบก่อนหน้านี้เขาควรที่จะรีบบินไปยังเซียงโจว เพื่อไปพบกับป้าฉิน น่าเสียดายมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว หลินเฉิง นำทาง หลินเฉิง นำโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้งเขาต้องการตรวจสอบตารางรถไฟล่าสุดจาก ซงโจวไปเซียงโจว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินข่าวจากวิทยุของรถแท็กซี่
“มีรายงานข่าวด่วนเมื่อเวลา 16.27 น . เกิดอุบัติเหตุรถไฟตกรางอย่างรุนแรง เมื่อรถไฟ D291 จากหยานจิงมายังชิงอัน เมื่อรถไฟมาถึงฉางซานได้เกิดอุบัติเหตุตกราง มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โปรดตามรายงานความคืบหน้าในครั้งต่อไป….”
“...เมื่อเวลา 8.30 น เกิดความผิดพลาดกลับเที่ยวบิน CX 5741 จากเซี่ยงไฮ้มายัง อู๋ซาง…จนเมื่อถึง ลั่วโจว…..อุบัติเหตุในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 180 รายและบาดเจ็บ 461 รายสูญหายอีก 79 ราย”
“กระทรวงการรถไฟแห่งประเทศจีนได้ออกประกาศอย่างเร่งด่วนถึงทุกหน่วยในเวลา 10:00 น. เนื่องจากสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกทำให้เกิดอุบัติเหตุรถไฟตกรางหลายครั้ง ดังนั้นตารางการเดินรถไฟทั้งหมดจะถูกระงับชั่วคราว โปรดติดตามความคืบหน้าได้จากเว็บไซต์ทางการของกระทรวงรถไฟ เพื่อตรวจสอบเวลาที่สถานีรถไฟเปิดใช้งานอีกครั้ง…”
หลินเฉิง ได้ยินข่าวจากวิทยุเขารู้สึกราวกับไร้พลังเขาเอนหลังพิมพ์บอกอย่างอ่อนแรง หลินเฉิง รู้สึกเสียใจและกำลังสับสนเกี่ยวกับสิ่งที่เขาควรจะทำ ความคิดทั้งหมดถูกทำลายเพราะหมอกที่ก่อตัวขึ้น เครื่องบินไม่สามารถออกบินได้ รถไฟหยุดทำงาน เขาควรที่จะขับรถไปเซียงโจวด้วยตัวเองหรือไม่?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาไม่มีใบขับขี่แต่สภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกหนา แม้แต่พวกเขาจะเดินแทบจะมองไม่เห็นด้านหน้า!
คนขับรถที่กำลังรอไฟแดงเห็นปฏิกิริยาของ หลินเฉิง เมื่อได้ยินวิทยุก่อนหน้านี้เขาจึงหันไปมอง หลินเฉิง ด้วยความละอายใจและพูดขึ้นว่า
“ผมจะบอกอะไรคุณบางอย่าง หากคุณกำลังไปสถานีรถไฟ คุณควรที่จะไปขึ้นรถแท็กซี่คันอื่น หมอกจะหนาขึ้นเรื่อยๆผมเองก็จะไม่วิ่งรถแล้ววันนี้เช่นกัน มันจะเกิดอันตรายถ้ายังฝืนขับต่อไป!”
เมื่อได้ยินเสียงของคนขับ หลินเฉิง ตั้งสติได้อีกครั้ง และบอกกับคนขับรถว่าให้พาเขากลับไปยังมหาวิทยาลัยซงโจว เขายินดีให้ 100 หยวนแม้คนขับจะไม่เต็มใจก็ตาม
ในที่สุดหลินเฉิงก็กลับมาที่มหาวิทยาลัยซงโจวเช่นเดิมเขายืนอยู่ข้างถนนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของเขา ระหว่างทางการมามหาวิทยาลัยเขาได้พบเห็นอุบัติเหตุอย่างน้อย 5 ถึง 6 ครั้ง หลินเฉิง รู้สึกว่าหมอกเริ่มหนามากขึ้นเรื่อยๆและเริ่มมีเหตุการณ์แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น เช่นมีรถไฟตกรางถึง 6 ครั้งในเช้าวันนี้ เขาไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้เขาควรจะทำอะไร ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะหาที่อยู่ก่อน
เขาไม่ต้องการกลับไปยังหอพักของเขา เพื่อนร่วมห้องที่เฉยชาต่อเขาทั้งสามคนทำให้ หลินเฉิง ไม่ต้องการอยู่กับพวกเขาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีบางอย่างที่ต้องซื้อและหอพักก็เล็กเกินไปที่จะเก็บของเหล่านั้น
หลินเฉิง เดินไปตามถนนเป็นเวลาครึ่งวัน ในที่สุดเขาก็พบโรงแรม 3 ดาวที่อยู่ใกล้กับสถานีตำรวจ เขารู้สึกว่าสถานที่ที่ใกล้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจน่าจะปลอดภัยกว่า จากนั้นเขาเบิกเงิน 20,000 หยวนที่เขาเก็บสะสมจากการทำงานทั้งหมดออกมาจากตู้เอทีเอ็ม และเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเช็คอิน
ปรากฏการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นนี้ หลินเฉิง เชื่อมั่นว่าอีกไม่นานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอนในเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาคือหาที่ปลอดภัยที่จะอยู่อาศัย หลินเฉิง กัดฟันจ่ายค่าที่พัก 5 วันโดยค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 3,000 หยวนมันทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด อย่างไรก็ตามถึงมันจะราคาแพงแต่ก็คุ้มค่า เพราะหลังจากที่ หลินเฉิง เปิดประตูเข้าไปห้องกว้างขวางและแข็งแรงมันทำให้ หลินเฉิง รู้สึกถึงความปลอดภัย
อุปกรณ์ในห้องพร้อมใช้งาน มีทั้งตู้เย็นทีวีซึ่งทำให้หัวใจของ หลินเฉิง รู้สึกบรรเทาลงเล็กน้อย
หลังจากสังเกตดูทั่วห้อง หลินเฉิง ก็ทิ้งกระเป๋าเดินทางเอาไว้และออกจากห้อง จากนั้นเขาตรงไปยัง ซุปเปอร์มาเก็ต ที่อยู่ถัดจากโรงแรมเพื่อซื้อของ เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ดังนั้นเขาต้องพึ่งสัญชาตญาณของตัวเองเพื่อหาที่ปลอดภัยจากนั้นสะสมอาหารมากที่สุดเพื่อรอการเปลี่ยนแปลง
หลินเฉิง ซื้อทั้งของใช้ประจำวันอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมาก เขาค่อยๆขนพวกมันกลับมายังห้องที่โรงแรม ในช่วงเวลานี้ผู้จัดการล็อบบี้เข้ามาสอบถามถึงการกระทำของพวกเขาแต่ หลินเฉิง โกหกโดยใช้ข้ออ้างว่าเขาตั้งใจจะจัดงานเลี้ยง
ในเวลานี้เขาไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวใดมาใช้ได้ในเวลานี้ หลังจากที่เขาขนของไว้ในห้องตามลำดับ เขานั่งลงบนเตียงและโทรศัพท์หาป้าฉินอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ ป้าฉิน ผม หลินเฉิง ! เดี๋ยว ฟังผมก่อนอย่าเพิ่งขัดจังหวะ! พ่อของเพื่อนร่วมห้องของผมอยู่ในกองทัพและเขาบอกกับพวกเราว่าอาจมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้! ที่ป้าอยู่มีหมอกไหม?ใช่แล้วหมอก ที่นี่หมอกหนามากและเกิดอุบัติเหตุมากมาย! ใช่ครับ !มีอุบัติเหตุรถไฟตกราง เครื่องบินและการคมนาคมต่างๆเกิดขึ้นในวันนี้ ผมไม่คิดว่าเขาโกหก!”
เขายังคงพูดต่อไม่รอให้ป้าฉินพูดข้อสงสัยใดๆ
“ดังนั้นผมหวังว่าป้าจะรีบไปซื้ออาหารและน้ำสะสมไว้ในบ้าน อย่าออกไปทำงานในเร็วๆนี้ ชักชวนให้น้องกับลุงอยู่แต่ในบ้าน อาจเกิดความปั่นป่วนในประเทศจีนเร็วๆนี้!เมื่อหมอกลดลงผมจะรีบไปเซียงโจวอย่างรวดเร็วและอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ป้าฟัง!”
ป้าฉินที่อยู่ ปลายสายรู้สึกตกตะลึงในคำพูดของ หลินเฉิง หลังจากย่อยข้อมูลทั้งหมดเธอก็ตอบกลับมาว่า
“เอ่อ..ป้าเองก็พบว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องเมื่อเร็วๆนี้ แต่เรื่องที่ประเทศของเรากำลังเกิดความวุ่นวายงั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น?”
เมื่อเห็นว่าป้าฉินไม่เชื่อ หลินเฉิง เขาเริ่มวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
“ป้าฉินไม่ว่ามันจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นหรือไม่ เป็นการดีที่ป้าจะเตรียมตัวสะสมอาหารไว้ก่อน แม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นของพวกนี้ก็ไม่ได้เสียหาย!”
เมื่อรับฟังคำพูดที่จริงจังของ หลินเฉิง ถึงแม้ว่าป้าฉินจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่แต่ยังคงเห็นด้วยกับความคิดของเขา หลินเฉิง กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ครอบครัวของป้าฉินควรใส่ใจกับความปลอดภัยมากที่สุด ป้าฉินเองก็สั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ หลินเฉิง นั้นระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
หลังจากที่วางสาย หลินเฉิง นั่งอยู่เงียบๆ เขามองผ่านหน้าต่างที่ยังคงเห็นแต่หมอกหนา เขากำลังคิดเกี่ยวกับความคิดของป้าฉินที่มีต่อเรื่องนี้ แล้วเขาตัดสินใจที่จะไปยังเซียงโจวให้เร็วที่สุด
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกสิ่งทุกอย่างถูกซ่อนไว้ในหมอกหนาราวกับว่ามีเพียงตัวเองที่อยู่ในโลกนี้
ข่าวยังคงออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับอุบัติเหตุต่างๆและแนะนำไม่ให้ประชาชนออกมาด้านนอกจากนั้นแจ้งไปยังหน่วยงานต่างๆให้กำหนดวันหยุด 1 สัปดาห์
ถึงตอนนี้ผู้ที่ฉลาดย่อมรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เครื่องบินถูกห้ามไม่บิน รถไฟตกราง วันหยุดแห่งชาติที่มาฟรีๆ อาการบาดเจ็บของผู้คนมากยิ่งขึ้นควบคู่กับหมอกที่หนาขึ้นอย่างฉับพลัน ภายในห้องสนทนาใน โซเซียลมีเดีย ต่างมีความเห็นของคนหนุ่มสาวแตกต่างกันมากมายพวกเขาต่างพูดคุยกันถึงวันสิ้นโลก
เมื่อดูไปยังโพสต์ สนทนาต่างๆ หลินเฉิง ได้แต่ ส่ายหัวแน่นอนเขาไม่โง่พอที่จะ โพสต์ว่าสิ่งต่างๆจะเกิดขึ้นจริง เขาไม่ใช่ผู้กอบกู้โลก หากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไม่เกิดขึ้น เรื่องที่เขาโพสต์คงเป็นเรื่องตลกอีกทั้งอาจโดนสอบสวนเรื่องเผยแพร่ข่าวลือ
หลังจากที่ท่องอินเทอร์เน็ตสักพัก หลินเฉิง รู้สึกง่วงเล็กน้อยในที่สุดเขาก็มองไปที่นอกหน้าต่างยังคงเห็นหมอกหนาเขากำลังคิดว่าในวันพรุ่งนี้เขาควรจะทำอะไรดี