px

เรื่อง : Gate of God
ตอนที่ 141 การเชื่อมตอ


เหยียน ซิว และ ฟาง เจิ้งจือ รู้เรื่องระดับพลังของ ลู่ ยู่เฉิน แล้ว แต่ ลู่ ยู่เฉิน ไม่คิดว่าทั้ง 2 คนจะรู้ ดังนั้น ลู่ ยู่เฉิน จึงรอให้ความเย่อหยิ่งของ ฟาง เจิ้งจือ นำเขาไปสู่ความพ่ายแพ้โดยเข้ามาโจมตี ลู่ ยู่เฉิน เอง

ซึ่ง...

 

ฟาง เจิ้งจือ ก็เข้ามาโจมตีจริงๆ

ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ ลู่ ยู่เฉิน วางไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เหยียน ซิว ก็ร่วมโจมตีด้วย

ดวงอาทิตย์สีแดง และดวงจันทร์สีขาวปรากฎขึ้นมาทันที คลื่นพลังสีแดงและขาวรวมกันกลายเป็นรูปร่างแปลกๆ

มันตัดกันคล้ายรูปกางเขนพุ่งใส่ ลู่ ยู่เฉิน

ราวกับมันสามารถตัดอากาศได้

 

แต่ ลู่ ยู่เฉิน กลับเยาะเย้ย

รอยยิ้มของการดูถูกปรากฎขึ้นมาบนใบหน้า

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับผนวกดาราขั้นปลายถึงสองคน

ยิ่งไปกว่านั้น

ทั้งสองคนยังใช้วิชาเหมือนกัน ดังนั้นพลังยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า

การผสานกันของคลื่นพลังทำให้เกิดการระเบิดของพลังงาน

 

อย่างไรก็ตามทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

การพัฒนาของคนเราเป็นไปอย่างไม่หยุดนิ่ง ต่อให้ ลู่ ยู่เฉิน ไม่สามารถจัดการฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเด็ดขาด แต่เขาสามารถป้องกันการโจมตีนี้อย่างง่ายดาย

ลู่ ยู่เฉิน ยืนอยู่กับที่ ไม่คิดจะหลบแม้แต่น้อย

เขาโบกมือด้านหน้า จากนั้นดอกไม้บานนับร้อยก็ลอยมา กลิ่นของมันกระจายไปทั่วบริเวณ

ราวกับเป็นทะเลดอกไม้

 

จากนั้นคลื่นพลังรูปไม้กางเขนปะทะเข้ากับกลีบดอกไม้ ฉีกกระชากมันเป็นชิ้นๆ อย่างไรก็ตาม จำนวนดอกไม้นั้นมีมากเกินไป

ดอกไม้นับไม่ถ้วนบินไปชนกับคลื่นพลังรูปไม้กางเขน...

ราวกับแมลงเม่ากำลังบินเข้ากองไฟ แต่มีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย เพราะกลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนสามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์

 

ลู่ ยู่เฉิน หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เขาชอบที่ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตัวเอง แน่นอนว่าเขารอคอยที่จะได้เห็นความหวาดกลัวในสายตาของ เหยียน ซิว และ ฟาง เจิ้งจือ 

เขาต้องการให้ ฟาง เจิ้งจือ รู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่เขาต้องขายหน้า...

 

อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มก็อยู่บนหน้าของเขาได้ไม่นาน และเป็นเขาเองที่ต้องเบิกตากว้าง เมื่อการโจมตีหยุดลง ฟาง เจิ้งจือ และ เหยียน ซิว ก็หายไปแล้ว

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้าก็หายไปเช่นเดียวกัน

ทุกอย่างกลับสู่ความปกติ

 

ลู่ ยู่เฉิน สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบนใบหน้า ราวกับถูกตัดด้วยมีด เขาเอามือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าและพึ่งรู้ว่ามีแผลอยู่บนหน้า

เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความเสียหายที่เกิดจากคลื่นพลังที่เขาป้องกันได้ไม่หมดหรือไม่?

ข้าป้องกันการโจมตีแล้ว ทำไมถึงยังมีแผล?

 

ลู่ ยู่เฉิน มองไปยังเด็กหนุ่มข้างๆ

ทุกคนกำลังเบิกตากว้างไปยังทิศทางที่ ฟาง เจิ้งจือ และ เหยียน ซิว หายตัวไป พวกเขามองไปด้วยความหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครมองมาที่ ลู่ ยู่เฉิน สักคน

"ปึก!" ลู่ ยู่เฉิน ยกมือขึ้นและตบลงบนหลังเด็กหนุ่มคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุด

มันคมชัดและดังก้อง

และยังช่วยให้ความเจ็บปวดบนใบหน้าเขาลดลงอีกด้วย

 

"พวกเจ้าจะยืนอยู่อีกนานไหม? ไปจับพวกมันมา!"

พวกเด็กหนุ่มคนอื่นๆ เมื่อได้ยิน พวกเขารีบวิ่งไปดูรอบๆทันที ยังไงก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ทำไม เหยียน ซิว และ ฟาง เจิ้งจือ ต้องหนีด้วย?

นอกจากนี้ พวกเขาวิ่งอย่างไม่ลังเลเลยด้วย

พวกเขามีศักดิศรีกันบ้างไหม?

 

ทั้งกลุ่มคนและ ลู่ ยูเฉิน ก็ไม่เข้าใจวา่ทำไมพวกเขาต้องหนี

เหตุผลนั้นง่ายๆ ลู่ ยู่เฉิน นั้นเกิดมาจากครอบครัวที่ทรงพลัง ที่มักมีค่านิยมบางอย่างก็คือ เขาจะท้าทายกับทุกการต่อสู้ รวมถึงทุกอย่าง เพราะเขาเชื่อมั่นในพลังตัวเอง

 

การหนีถือเป็นทางเลือกหนึ่ง

มีใครแพ้ก่อน แล้วค่อยหนี

หรือหนี ระหว่างสู้?

ใครทำอย่างนั้นก็โง่เกินไปแล้ว!

เมื่อเหล่าเด็กหนุ่มจากไป เหลือแต่เพียง ลู่ ยู่เฉิน ยืนอยู่

ทันใดนั้นความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขาก็กลับมา..

...

 

ฟาง เจิ้งจือ กำลังหนีจริงๆ หรือพูดให้ถูกกว่านั้น เหยียน ซิว ได้เริ่มหนีก่อน ซึ่งเขาลาก ฟาง เจิ้งจือ ไปด้วย

"เขาดูค่อนข้างทรงพลัง?"

"ต่อให้พวกเราร่วมมือกัน ก็ทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น!"

"นี่คือพลังของระดับสะท้อนสวรรค์อย่างนั้นหรือ?" ฟาง เจิ้งจือ สับสนเล็กน้อย ทำไมอยู่ๆดอกไม้ถึงลอยขึ้นมาในอากาศ?

"อืม ถ้าเจ้าอยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ มิติพิเศษของเจ้าจะเชื่อมต่อกับพลังชีวิตภายนอกร่างกาย ซึ่งการเชื่อมต่อนี้ทำให้เจ้า สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของสิ่งรอบๆตัวได้" เหยียน ซิว รู้ว่า ฟาง เจิ้งจือ ไม่เคยเข้าไปยังหอแห่งเต๋ามาก่อน เขาจึงไม่แปลกใจกับคำถามเท่าไร

 

"เหมือนกับเขตแดนภูเขาและแม่น้ำของพัดเจ้างั้นหรือ?"

"อืม...มีความแตกต่างกันบ้าง เขตแดนนั้นถูกเรียกออกมาจากพัดตามที่ผู้สร้างกำหนดไว้ แต่เมื่ออยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ ในมิติพิเศษของเจ้ามีดาวแห่งเต๋าเกี่ยวกับอะไร ก็จะสามารถควบคุมมันบนโลกภายนอกได้ ลู่ ยู่เฉิน น่าจะมีดวงดาวกลีบดอกไม้ จึงสามารถควบคุมมันได้"

"นั่นหมายความว่าถ้าเขาออกจากพื้นที่ที่มีดอกไม้เขาก็จะควบคุมอะไรไม่ได้?"

"ใช่ เขาแค่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกลีบดอกไม้ไม่ได้ แต่ถ้าในมิติพิเศษของเขามีดวงดาวต้นไม้ และด้านนอกมีต้นไม้อยู่เขาก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของมันได้"

 

"แล้วพวกเราจะเอาชนะได้ยังไงกัน?"

"วิธีที่ดีที่สุดคือหาสถานที่ที่ไม่มีอะไรให้มิติพิเศษของเขาเชื่อมโยงได้ หรือมีไม่มาก"

"ถ้าหาไม่ได้ละ?"

"ก็คงต้องพึ่งสมองของพวกเราแล้วละ!"

ฟาง เจิ้งจือ พยักหน้าเห็นด้วย อย่างไรก็ตามต่อให้ใช้สมองของทั้งคู่ ก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ เพราะความแตกต่างระหว่างพลังนั้นมีอยู่มาก

ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมผู้คนจำนวนมากถึงไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถจัดการ ฉือ กูเหยียน ได้ภายใน 2 ปี

ความแตกต่างนั้นมากเกินไป

8 ปีที่ผ่านมา ด้วยการค้นคว้าและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ฟาง เจิ้งจือ สามารถเข้าถึงระดับประทับศักดิสิทธิ์ จากนั้นก็เป็นระดับผนวกดารา และตอนนี้จุดสูงสุดของระดับผนวกดารา

 

มันไม่ใช่เพราะเขาไม่พยายาม

เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้วิธีที่จะใช้เข้าสู่ระดับต่อไป

เขาทำได้เพียงหยุดอยู่ที่ระดับผนวกดารา สะสมดวงดาวไปเรื่อยๆ เรียนรู้การสรรค์สร้างสิ่งต่างๆไปเรื่อยๆ ทำให้ในมิติพิเศษของเขามีดวงดาวนับร้อย

...

 

หลังจากผ่านสวนฤดูใบไม้ผลิมา พวกเขาพบกับป่า ต้นไม้สูงกว่าพวกเขานับไม่ถ้วนไม่มีฝนตก ไม่มีร่องรอยของ ฤดูใบไม้ผลิ

มีแต่ดวงอาทิตย์ ที่ทำให้อากาศอบอ้าวราวกับอยู่ในเตาอบ

 

"ข้ารู้สึกเหมือนเราเข้ามาสู่ฤดูร้อน?" ฟาง เจิ้งจือ พูดออกมา พร้อมกับอุณหภูมิรอบๆที่สูงขึ้น

"ทุกมิติคู่ขนานเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นการมี 4 ฤดู จึงเป็นเรื่องปกติ!" เหยียน ซิว มองไปยังผืนป่าข้างหน้า

"ดูเหมือนที่ ฉือ เฮา บอกว่าต้องทำงานร่วมกัน...จะเป็นเรื่องจริง" ฟาง เจิ้งจือ พูดออกมา

"จริง" เหยียน ซิว ตอบออกมาอย่างเย็นชาเช่นเคย

 

พวกเขามองหน้ากันก่อนจะเข้าไปในป่า

ภายในป่าลึก เขาได้ยินเสียงของของสัตว์ป่า และเสียงกรีดร้องอันแหลมคมของนก...

...

 

"หวา!"

"ไอ้หยา..."

กลุ่มเด็กหนุ่มที่ก้าวผ่านอีกด้านของประตูมา ตะโกนร้องออกมาทันที เหตุผลนั้นง่ายมาก พวกเขาเหยียบตะปูที่ถูกโปรยไว้โดย ฟาง เจิ้งจือ อย่างฉุกละหุก บางอันกระทั่งมีปลายคล้ายตะขอสามารถเกี่ยวเนื้อมนุษย์มาได้เลย

ฟาง เจิ้งจือ มักพกมันติดตัวไว้เสมอเผื่อเวลาฉุกเฉิน

 

ลู่ ยู่เฉิน เห็นฉากที่เกิดขึ้นทันที เมื่อเดินผ่านประตูมา เขาโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันจับพวกนั้นได้ แต่บาดเจ็บเสียแล้ว?

กลุ่มคนที่มากับเขา อย่างน้อยก็อยู่ในระดับผนวกดารา

หวังว่าพวกเขาจะทำตัวให้เหมาะสมกับพลังที่มี

พวกนั้นไม่เห็นแสงที่สะท้อนมาจากตะปูสีเงินนั่นหรือไงกัน?

 

ลู่ ยู่เฉิน โกรธและคิดจะสอนบทเรียนให้กับพวกนั้นสักหน่อย

แต่ในขณะที่เขากำลังก้าวเท้าข้ามมานั้น เขารู้สึกเจ็บที่ปลายเท้าเป็นอย่างมาก เมื่อยกขึ้นมาดูเขาเห็นตะปูสีเขียวติดอยู่ที่เท้าเขา

"อ๊าก!!!"

เขาดึงมันออกและโยนมันลงกับพื้น ก่อนจะร้องตะโกนออกมาสุดเสียง เสียงของเขาดังก้องไปทั่วจนถึงสวรรค์

...

 

เหยียน ซิว เองก็บังเอิญได้ยินเสียง เขาหันไปมอง ฟาง เจิ้งจือ ในทันที

"เสียงของ ลู่ ยู่เฉิน?"

"อาจจะ!"

"เกิดอะไรขึ้นที่สวนฤดูใบไม้ผลิกัน?" เหยียน ซิว คาดเดา ขณะที่พยายามระวังสัตว์ร้ายรอบๆ

"ข้าคิดว่าพวกเข้าน่าจะเหยียบโดนตะปู!" ฟาง เจิ้งจือ มองไปทางสวนฤดูใบไม้ผลิพร้อมยิ้มออกมา

"ตะปู?" เหยียน ซฺว มองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ มันเป็นเรื่องปกติที่สวนจะมีดอกไม้ต้นไม้ แต่ตะปูมาจากไหน?

"อืม ตอนนั้นพวกเรารีบมาก ข้าจึงโรยตะปูทิ้งไหวที่ทางลงประตู..." ฟาง เจิ้งจือ หยิบกระเป๋าขึ้นมาขณะพูด ภายในมีตะปูมากมายทั้งสีเขียว เหลือง ดำ ขาว

 

 

เพจหลัก : Double gate TH

รีวิวผู้อ่าน