px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 32 ลี่คุนชะตาขาด


"กระบี่ที่ดี!"

เมื่อลี่หัวรับกระบี่มา เขาถึงกับต้องชมมันออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อสังเกตตัวกระบี่และเห็นสีสันของมัน เขาก็รู้สึกคุ้นๆเนื่องจากมันมีสีเดียวกันกับกระบี่ที่หลิงเทียนนำมาให้มันหลอมเมื่อครั้งก่อน "ผู้ใดตีกระบี่เล่มนี้ขึ้นมางั้นรึ?"

"เป็นผู้ดูแลหลง" หลิงเทียนกล่าวตอบออกมาอย่างจริงจัง

"อย่างที่ข้าคาดไว้ไม่มีผิด ฝีมือประณีตขนาดนี้ ทั่วทั้งเมืองวายุโปรยจะมีใครอื่นนอกจากเขา ฝีมือตีกระบี่ของเขาตอนนี้นับว่าล้ำลึกไปอีกขั้น ...ตัวกระบี่เรียบราวกับมันเป็นเช่นนี้อยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่เหลือร่องรอยที่มนุษย์กระทำเอาไว้แม้แต่น้อย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก "

ลี่หัวลองตวัดกระบี่ดูอยู่สักพัก ก่อนที่จะคืนหลิงเทียนไปด้วยแววตาเสียดาย

"ลูกพี่กระบี่ท่านหลอมสร้างมาจากแร่ม่วงใช่หรือไม่ ข้าจะไปหามันมาเพื่อให้ผู้ดูแลหลงช่วยตีให้ข้าบ้างสักเล่ม ข้าถูกใจกระบี่ของลูกพี่มากเลย ข้าอยากได้กระบี่เช่นนี้บ้าง!"

แร่ม่วง?

หลิงเทียนส่ายหัว ไขมันน้อยนี่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่ยังกระโตกกระตากราวกับรู้ดี

เพียะ!

ทันใดนั้นเองลี่ติงก็ลงมือส่งฝ่ามือไปแพ่นกบาลไขมันน้อยทันที "เด็กโง่เจ้าอย่ามาทำเป็นอวดรู้เช่นนี้ แร่ม่วงมันจักยืดหยุ่นขนาดนี้ได้อย่างไรเล่า?"

ไขมันน้อยก็พูดออกมาอย่างอับอาย พร้อมทั้งเอามือลูบหัวป้อยๆ "ข้าจะไปรู้ได้เช่นไรเล่า?"

ทุกคนรู้สึกขบขันขึ้นมา ต่างก็พร้อมใจกันหัวเราะเยาะมัน

ครู่หนึ่ง ประมุขตระกูลลี่ ลี่หนันเฟิงก็มองไปยังหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาว่า "วิชาท่าร่างนั่นอาจารย์เจ้าเป็นผู้มอบและฝึกฝนให้เจ้าเช่นนั้นหรือ?"

หลิงเทียนที่เตรียมพร้อมในการตอบคำถามมานานแล้วเอ่ยตอบไปด้วยความมั่นใจ "ถูกแล้วท่านประมุข"

เมื่อหลิงเทียนตอบออกมาทุกคนในตระกูลลี่ที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ลี่หัว ลี่หนันเฟิง ลี่ติง ต่างก็ล้วนอิจฉาหลิงเทียนทั้งนั้น ยกเว้นคนหนึ่งที่ไม่มีความอิจฉาแต่กลับยินดีกับมันอย่างมากคือ ลี่หลัว มารดาของมัน

ในสายตาของพวกมัน การที่หลิงเทียนเป็นลูกศิษย์ของนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 7 นับว่าเป็นโชคดีอย่างมหาศาล

หลิงเทียนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ "ในตอนนั้นท่านอาจารย์ได้มอบวิชาท่าร่างให้ข้าถึงสองวิชาโดยท่านให้ข้าเลือกฝึกวิชาที่ข้าคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด ก่อนที่ท่านจะอนุญาตให้ข้ากลับมายังตระกูล ... วิชาท่าร่างที่ข้าฝึกนั้นเหมาะกับผู้ที่มีร่างกายยืดหยุ่นสูง ทุกคนในตระกูลคงไม่เหมาะที่จะฝึก ทว่าวิชาท่าร่างอีกวิชานั้น หากทางตระกูลต้องการเรียนรู้ข้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะมอบให้ "

"ว่ากระไรนะ?!"

คำตอบของหลิงเทียนทำให้ทุกคนในห้องถึงกับตกตะลึง

มีเสียงสูดลมหายใจเข้าอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง

เป็นลี่หนันเฟิงเองที่สูดลมหายใจเข้า ก่อนที่มันจะเอ่ยถามออกมาด้วยความลังเล ราวกับคิดว่าเมื่อครู่มันฟังผิดไป "จะ..เจ้าพูดจริงงั้นรึ?"

"จริงครับ ข้าขอเวลาแค่ครึ่งเดือนเพื่อคัดลอกวิชานี้ เมื่อเสร็จแล้วข้าจะนำมันมามอบให้ท่าน"

หลิงเทียนพยักหน้าก่อนที่จะกล่าวต่อไปอีกว่า "วิชาท่าร่างนี้จัดเป็นวิชาท่าร่างที่มีระดับชั้น ห้วงมหรรณพขั้นกลาง มันมีชื่อว่า เคลื่อนวายุ!"

วิชาท่าร่างระดับห้วงมหรรณพขั้นกลาง?

สมาชิกตระกูลลี่ทุกคน ได้แต่สูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บ ...

หลิงเทียนยิ้มออกมาอย่างเขินอายก่อนที่จะกล่าวออกมาอีกครั้ง "แน่นอนข้าสามารถมอบมันให้แก่ตระกูลได้อย่างไม่มีปัญหา...ถ้าข้าได้เหรียญเงินเอาไว้ทำทุนอะไรสักเล็กน้อย ข้าไม่คิดราคาแพงหรอก... "

ด้วยคำกล่าวราวกับเป็นการหยอกล้อของหลิงเทียนทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลง ลี่หนันเฟิงยิ้มแย้มก่อนที่จะกล่าวตอบมันไปว่า "ไม่มีปัญหาเอาเป็นว่าข้าจะจ่ายให้ 100,000 เหรียญเงินเป็นอย่างไร?

"โอ้ ข้าต้องขอบคุณท่านประมุขแล้ว"

หลิงเทียนรีบกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม

วิชาท่าร่างที่หลิงเทียนกล่าวออกมานั้น นับได้ว่าเป็นวิชาท่าร่างที่มีระดับต่ำที่สุดในบรรดาวิชาท่าร่าง ที่เขาได้รับมาจากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด เขาไม่ได้หวังไว้ด้วยซ้ำว่ามันจะขายได้ถึง 100,000 เหรียญเงิน!!

ลี่หนันเฟิงยังกล่าวต่อไปว่า "แน่นอนว่ามูลค่าของวิชาท่าร่างย่อมมีค่ามากกว่าจำนวนเงินเล็กน้อยเพียงเท่านี้ แต่ว่าสภาพคล่องทางการเงินของตระกูลลี่นั้นยังไม่ค่อยดีสักเท่าไร คิดเสียว่าจำนวนเงิน 100,000 เหรียญที่เจ้าได้รับนี่ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ต่อไปในอนาคตหากเจ้าต้องการอะไร ข้าและอาวุโสทั้งหลายย่อมเห็นด้วยและส่งเสริมเจ้าอย่างแน่นอน "

พวกอาวุโสในตระกูลลี่ต่างรีบพยักหน้าตอบรับทันที มูลค่าของวิชาท่าร่างนี้มันสูงเกินไปเงินเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอะไรได้!

"เช่นนั้นข้าขอลากลับก่อน ข้าจะรีบคัดลอกเคล็ดวิชาท่าร่างเพื่อนำมามอบให้แก่ท่านประมุขโดยเร็วที่สุด"

ต้วนหลิงเทียนกล่าวอำลา ก่อนที่ มารดาเขาและเค่อเอ๋อ จะติดตามเขากลับที่พักด้วยเช่นกัน

"เอาล่ะ เรื่องในวันนี้อย่าได้ให้เล็ดรอดออกไปเด็ดขาด นี่คือความลับที่สำคัญยิ่งและส่งผลต่ออนาคตตระกูลลี่ พวกท่านเข้าใจหรือไม่!"

เมื่อหลิงเทียนจากไป ลี่หนันเฟิงก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที ก่อนที่จะสั่งห้ามทุกคนแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปเด็ดขาด

"ถูกแล้วท่านประมุข!"

ผู้อาวุโสทุกคนล้วนพยักหน้ารับคำ พวกมันย่อมเห็นด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไข

พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ดี หากแพร่งพรายออกไปตระกูลลี่อาจจะไม่ได้เปรียบตระกูลอื่น

อาวุโส 5 จ้องไปยังลี่ซวนตาเขม็ง "เจ้าอย่าได้ปากพล่อยเป็นอันขาดรู้ไหม?"

"ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่ ท่านพ่อ"

ไขมันน้อยพยักหน้ารับคำบิดาของมัน ก่อนที่มันจะทำหน้าซึมเศร้า

"หืม แล้วเจ้าเป็นอันใดอีกล่ะนั่น?"

ลี่ติงถามออกมาพร้อมขมวดคิ้ว

"ท่านพ่อสังเกตเห็นบ้างหรือเปล่าว่า ลูกพี่ไม่แม้แต่จะมองหน้าข้าเลย นี่เป็นเพราะข้านำความลับของลูกพี่ไปบอกท่านแน่ ถ้าข้าไม่บอกท่าน หรือท่านไม่นำไปบอกผู้อื่นลูกพี่คงไม่เกลียดข้าแบบนี้"

ไขมันน้อยพูดออกมาอย่างจริงจัง

เพียะ!

ลี่ติงแพ่นกบาลไขมันน้อยอีกครั้ง "เจ้าว่ากระไรนะ ไหนลองกล่าวออกมาอีกครั้งซิ เมื่อกี้ข้าได้ยินไม่ถนัด"

"มะ..ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแล้วท่านพ่อ"

คนฉลาดย่อมรู้ว่าตอนไหนควรถอย ไขมันน้อยรีบพยักหน้าปฏิเสธทันที

...........

ต้วนหลิงเทียนแห่งตระกูลลี่ ที่มีการบ่มเพาะเพียงระดับการบ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 7 สามารถสังหารผู้ดูแลตระกูลฟางฟางเจี้ยน ที่มีระดับบ่มเพาะถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 1 เพียงกระบี่เดียว... ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองวายุโปรยต่างพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก

จากเรื่องนี้ทำให้ตัวตนของหลิงเทียนในสายตาของผู้คนทั้งเมืองวายุโปรยโดดเด่นส่องประกายราวกับดวงตะวัน

"นั่นเขามีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้นเองนะ เมื่อเขาเติบโต เมืองนี้จะมีค่าพอที่จะเก็บตัวเขาไว้หรือ?"

"เหอะ อย่าว่าแต่เมืองวายุโปรยนี่เล้ย พรสวรรค์ของเขานั้นหากไปอยู่ในเมืองใหญ่ ข้าเกรงว่าแม้แต่พวกอัจฉริยะในเมืองใหญ่ๆ ยังไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับเขาได้ด้วยซ้ำ?"

"ด้วยระดับการบ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 7 ลงมือเพียงกระบี่เดียวกลับปลิดชีวิตระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 1 ได้ เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป ... หากมิเห็นกับตาข้ามิมีวันเชื่อเป็นแน่ มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!"

“มีอีกเรื่อง ข้าได้ยินมาว่าแม้กระทั่งสามตระกูลใหญ่ในเมืองวายุโปรย ยังไม่มีวิชาท่าร่างหรือทักษะการเคลื่อนไหวสักตระกูล ข้าล่ะ สงสัยจริงๆ ว่าหลิงเทียนผู้นี้ไปฝึกฝนมันมาจากที่ใด"

"ข้าก็สงสัยเรื่องนี้อย่างมาก แล้วเขาไปร่ำเรียนวิชาท่าร่างเช่นนี้มาจากที่ใดกันนะ"

...

ข่าวที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองยามนี้ไม่พ้นหลิงเทียนจากตระกูลลี่...ส่วนภายในตระกูลลี่เองไม่ว่าใครย่อมต้องเคยได้ยินชื่อหลิงเทียนผ่านเข้าหูวันนึงไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง

.....

"เจี๋ยน้อยย!"

ณ บ้านพักหลังหนึ่งปรากฏเสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับผู้เปล่งเสียงมีความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด

"ท่านพี่!"

เมื่อเสียงตะโกนครั้งแรกดังขึ้น เสียงตะโกนครั้งที่สองก็ดังไล่เลี่ยกันขึ้นมา น้ำเสียงทั้งสองต่างฟังแล้วสะเทือนใจอย่างมาก

ในห้องๆหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ราวกับร่างกายไร้กระดูกได้นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียง มือข้างหนึ่งถือมีดที่ยังเปื้อนคราบเลือดเอาไว้ ส่วนข้อมืออีกข้างกลับมีรอยกรีดเฉือนจนโลหิตหลั่งรินออกมาเจิ่งนองไปทั่ว

โลหิตยังคงอุ่นและไหลรินอยู่นั่นหมายความว่าเหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นไม่นานสักเท่าไร

และในขณะนี้ร่างอนาถาบนเตียงได้พ่นลมหายใจครั้งสุดท้ายออกมา ก่อนที่ร่างกายของมันจะไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

"ไม่ ไม่ ไม่... เจี๋ยน้อยยย เจี๋ยน้อยยยยย!"

ชายวัยกลางคนที่ยังคงดูหนุ่มแน่น ในพริบตาราวกับเขาชราลงไปนับสิบปี เส้นผมสีดำบนหัวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวในไม่กี่อัดใจ หลังจากที่เขาได้ประสพกับเหตุการณ์ตรงหน้า

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่ผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้าเขากับแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต พร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยความแค้น "ต้วนหลิงเทียน, ​​ต้วนหลิงเทียน!! ... ข้าอยากให้เจ้าตาย อยากให้เจ้าตกตายยยย!"

คนผู้นี้คือ อาวุโส 7 ของตระกูลลี่ ลี่คุน

เขาไม่คิดเลยว่าลูกชายของเขาลี่เจี๋ย จะสิ้นหวังถึงขนาดลงมือปลิดชีพตนเอง เมื่อได้ยินข่าวเรื่องชัยชนะของหลิงเทียน...ข่าวการลงมือเพียงกระบี่เดียวเพื่อสังหารฟางเจี้ยนของต้วนหลิงเทียน

บิดาอย่างเขาย่อมรู้ดีว่าการที่ลูกชายของเขายังคงมีความหวังในการใช้ชีวิตอยู่นั้น ย่อมมาจากมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนจักถูกฟางเจี้ยนสังหารอย่างแน่นอน มันอยากอยู่ดูหลิงเทียนตาย ถึงแม้มันจะเป็นคนพิการทว่ามันยังคงเฝ้ารอคอยเรื่องนี้อย่างมีความหวัง ...

แต่ใครจะไปคาดคิด ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่ตายตก มันกลับยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งสามารถสังหารผู้มีระดับขั้นก่อเกิดได้อย่างระบือลือลั่น และกลายเป็นดาวจรัสแสงแห่งเมืองวายุโปรย

ซ้ำรายมันยังได้เป็น "วีรบุรุษ" ของตระกูลลี่อีกด้วย ตอนนี้ไม่ว่าใครในตระกูลต่างยกย่องนับถือมัน

"ท่านพ่อเราอย่าได้ไปต่อสู้หรือยุ่งเกี่ยวอันใดกับหลิงเทียนอีกเลย ตอนนี้ทั้งประมุขหรือแม้แต่ท่านผู้อาวุโสหลักยังอยู่ข้างมัน พวกเราไม่สามารถทำอะไรมันได้อีกแล้วท่านพ่อ เราอย่าไปตอแยกับมันอีกเลย"

ลี่ซินกล่าวชักชวนบิดามันทั้งน้ำตา

ความเหนือชั้นของหลิงเทียนทำให้มันรู้สึกสิ้นหวังอับจนหนทาง ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าหลิงเทียนด้วยซ้ำ

"เพียะ!"

สีหน้าลี่คุนพลันบิดเบี้ยวทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของบุตรชายคนเล็ก มันหันไปตบหน้าบุตรของมันอย่างแรงก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมโทสะ "เจ้ามันช่างไร้ค่ายิ่งนัก เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าคนเดียว เป็นเจ้าที่ทำให้พี่ชายต้องตกตาย ตัวบัดซบหลิงเทียนนับว่าเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับเราได้ แต่เจ้ากลับกล่าววาจาบัดซบเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร เจ้าไม่เจ็บแค้นหรือนึกถึงพี่ชายเจ้าบ้างเลยงั้นหรือ? "

ลี่ซินได้แต่ยืนสั่นสะท้านด้วยความคับแค้นใจทั้งน้ำตา แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

"ฮึ่ม เจ้าช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่พี่ชายเจ้าเสีย เมื่อข้ากลับมาเราจะฝังศพของเขาด้วยกัน" หลี่คุนกล่าวจบ ก็เร่งรีบเดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันหลังกลับมามองลี่ซิน

"ท่านพ่อ ท่านคิดจะทำอะไรกัน?" ลี่ซินถามออกมาด้วยความร้อนใจ ทว่าลี่คุนไม่สนใจที่จะตอบเขา

ลี่คุนเดินผ่านลานบ้านตรงออกไปยังทางออกของตระกูลลี่ ก่อนที่เขาจะทิ้งตระกูลลี่ไว้ด้านหลัง และมุ่งตรงไปยังทิศทางของตระกูลฟาง

ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความแค้น "ประมุขท่านอย่าได้ตำหนิข้าเรื่องนี้ ... หากท่านอยากตำหนิ ให้ท่านไปตำหนิ ไอ่คนที่ไม่ยอมใช้แซ่ตระกูล ซ้ำยังมาทำร้ายลูกข้าแล้วกัน!"

ตอนนี้เขามีแผนการอยู่ในใจ เขาวางแผนที่จะบอกตระกูลฟางถึงเรื่องที่ ต้วนหลิงเทียนได้ครอบครองสูตร โอสถน้ำบ่มเพาะร่างกาย 6 กระบวน ไว้แต่เพียงผู้เดียว

เขามั่นใจว่าตระกูลฟางย่อมสนใจและให้ความสำคัญ แก่สูตร โอสถน้ำบ่มเพาะร่างกาย 6 กระบวนอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฟางย่อมมีข้อโต้แย้งกับตระกูลลี่ และเมื่อเกิดข้อโต้แย้งขึ้นมา ด้วยความไม่พอใจของคนตระกูลฟาง ย่อมหาทางเอาเรื่องหลิงเทียนจนถึงที่สุดเป็นแน่

เมื่อเห็นประตูของตระกูลฟางอยู่ตรงหน้า ลี่คุนก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาที่มุมปาก

เพื่อแก้แค้นให้บุตรชายตนเองมันไม่ลังเลที่จะหักหลังตระกูลลี่ ...

แต่ในขณะที่มันกำลังจะเดินไปถึงประตูของตระกูลฟาง โลกก็พลันดับมืดลงพร้อมกับสติของมันที่เริ่มพล่าเลือนจนในที่สุดมันก็สิ้นสติไป

และเมื่อมันได้สติขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ค้นพบว่ามันถูกลักพาตัวมาไว้ในห้องลับที่ปิดมิดชิดห้องหนึ่ง

ในห้องมีบุรุษสองคนกำลังนั่งมองมันอย่างสงบ ท่าทางของมันเปลี่ยนไปในทันที เพราะบุคคลทั้งคู่มันยอมรู้จักเป็นอย่างดี "ท่านประมุข ท่านผู้อาวุโสหลักเหตุใดพวกท่านจึงอยู่ที่นี่?"

"ลี่คุน พวกเราได้ให้โอกาสแก่เจ้าแล้ว"

ลี่หนันเฟิงมองมันด้วยแววตาซับซ้อนก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

"ท่านประมุข"

ราวกับว่าตอนนี้ลี่คุนตระหนักถึงอะไรบางอย่าง สีหน้ามันพลันเปลี่ยนสีทันที ก่อนที่มันจะเริ่มอ้อนวอนร้องขอออกมา "ขะ..ข้าผิดไปแล้ว! ท่านประมุขให้โอกาสข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย ข้ายังอยากดูบุตรชายข้าเติบใหญ่!"

"เมื่อทำผิดครั้งแรก นั่นย่อมมีครั้งต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด... ลี่คุน เจ้าหน้ามืดตามัวจนเกินไป ความแค้นของเจ้ากับอาวุโส 9 และบุตรของนาง มันเลยเถิดเกินเยียวยาแล้ว อย่าได้กล่าวบอกข้าเลยว่าทั้งหมดเป็นความผิดของคนในครอบครัวของอาวุโส 9 " ลี่หัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่พลังงานต้นกำเนิดจะพวยพุ่งออกมาตรงฝ่ามือแปรสภาพเป็นเปลวเพลิงหลอมโอสถ สีขาว ที่อุณหภูมิร้อนแรงอย่างมาก

เมื่อลี่คุนเห็นภาพตรงหน้ามันย่อมคาดเดาถึงผลลัพธ์ได้เป็นอย่างดี มันรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันได้กล่าวอ้อนวอนออกมาด้วยใบหน้าสำนึกผิด "ท่านผู้อาวุโสหลักได้โปรด ไม่มมมมม ... "

ฟู่มมมมม!

เปลวเพลิงสีขาวในมือของลี่หัว ลุกลามแผ่ซ่านออกมาปกคลุมลี่คุนทั้งตัว

ลี่คุนไม่ทันได้ส่งเสียงร้องครั้งที่สองด้วยซ้ำ ร่างกายของมันสลายหายไปด้วยความรวดเร็วทิ้งไว้เพียงเขม่าควันเล็กๆน้อยๆ แม้แต่กระดูกก็ไม่มีเหลือ

ในทวีปเมฆาล่องแห่งนี้ นับได้ว่าเปลวเพลิงของนักปรุงโอสถนั้นร้อนแรงหาใดเปรียบ ...

อาจมีเพียงเปลวเพลิงของช่างตีอาวุธเท่านั้นที่พอจะสามารถเทียบชั้นได้

.....

"ลีเจี๋ยฆ่าตัวตายอย่างงั้นหรือ?"

หลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจกับข่าวนี้เล็กน้อย แต่เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร

ในเวลานั้นถ้าลี่เจี๋ยไม่ประกาศกร้าวว่าจะทำให้เขาผิดการ เขาคงไม่ได้สนใจจะทำร้ายอะไรพวกมันสองพี่น้องมากนัก เพราะอย่างน้อยพวกมันก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน

หากจะกล่าวไปทั้งหมดล้วนแต่เป็นผลการกระทำของลี่เจี๋ยทั้งสิ้น

สิ่งที่หลิงเทียนกังวลอยู่ในตอนนี้คือ การลงมือตอบโต้ของลี่คุณ

อาวุโส 7 ลี่คุน นั้นอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 หากเขาต้องการทำร้ายหลิงเทียนจริงๆ เขาย่อมมีโอกาสประสบผลสำเร็จไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ยังอาศัยอยู่ในตระกูลเดียวกัน ย่อมมีการเผชิญหน้ากันอยู่บ้าง

แต่ไม่นานนัก..หลิงเทียนกลับได้ข่าวการหายตัวไปของลี่คุนอย่างรวดเร็ว มันหายสาบสูญไปจากเมืองวายุโปรยอย่างไร้ร่องรอย

......

นอกเมืองวายุโปรย

ร่างสองร่างที่ดูราวกับอ่อนล้าจากการเดินทาง กำลังขี่ม้ามุ่งหน้ามายังเมืองวายุโปรย ร่างทั้งสองนั้น คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน อีกคนนั้นเป็นบุรุษหนุ่มอายุราวๆ 20 ปี

ท่าทางของบุรุษหนุ่มนั้นแลดูหยิ่งผยองอย่างมาก มันกล่าวออกมาราวกับเย้ยหยันดูแคลนว่า "ลุงสี่ เมืองบ้านนอกแห่งนี้ ยังนับว่ามีขนาดเล็กกว่าพื้นที่ตระกูลต้วนของเราเสียอีก”

รีวิวผู้อ่าน