px

เรื่อง : Gate of God
ตอนที่ 209 ทำลาย


ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้

 

อย่างไรความจริงย่อมเปิดเผยออกมาเอง

 

ฟาง เจิ้งจือ ใช้พลังทั้งหมดในการโจมตีครั้งนี้นอกเหนือจากนี้วิชาภูเขาและน้ำตกนั้นเป็นวิชาที่อยู่ในระดับสูง พลังทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ปลายหอก

 

การแทงครั้งนี้นั้นดูธรรมดามาก อย่างไรก็ตาม อำนาจของมันนั้นไม่ธรรมดาเลย

 

แต่ หยิง ซาน กลับป้องกันมันด้วยกระบี่ปลอม ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นพอจะคาดเดาได้

 

ในชั่วพริบตา าภพลวงตาก็หายไปกลายเป็นแสงสีดำ แต่ทิศทางของหอกยังคงเหมือนเดิม พุ่งลงไปหา หยิง ซาน

 

"ตูมมม!"

 

หอกปะทะกับ กระบี่ของหยิง ซาน

 

หยิง ซาน ตกอยู่ในปัญหาทันที เพราะวิชาแปลกๆของ เหยียน ซิว ที่เขาคิดว่าเป็นการหลอกล่อนั้น มันคือของจริง

 

หอกอันแหลมคนตัดอากาสจนฉีกขาดและส่งพลังทั้งหมดตรงมายังมือของ หยิง ซาน

 

เกิดเป็นรูสีดำขนาดเท่าปลายหอกอยู่บนตัวกระบี่

 

แต่มันยังไม่จบ เพราะตอนนี้คลื่นพลังของ เหยียน ซิว ได้มาถึงแล้ว กลินอายของการฆ่าฟังแห่งเทพอาซูร่าแพร่กระจายไปทั่ว

 

หลังจากกระบี่ของ หยิง ซาน ถูกเจาะเป็นรูด้วยหอกฉีหลินแล้วนั้น มันก็มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะป้องกันการโจมตีอของ เหยียน ซิว

 

เพราะสิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยในการต่อสู้นั้นอาจจะเป็นกุญแจสำคัญให้พบกับความพ่ายแพ้ได้เลย 

 

อย่างไรก็ตาม หยิง ซาน ก็ยังคงเป็น หยิง ซาน

 

รองหัวหน้า 1 ใน 10 ของดินแดนปีศาจ ประสบการณ์การต่อสู้อันมากมายและความเด็ดขาดของเขาในช่วงเวลาสำคัญไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถเทียบได้

 

หลังจากพลาดเขาถอยทันที ในเวลาเดียวกันกระบี่ของเขาก็ฟันขึ้นข้างบน มันถือเป็นวิชาที่ยากที่สุดวิชาหนึ่งในการใช้กระบี่ มันชื่อว่าวิชากระบี่ตัดน้ำ

 

แม้แต่น้ำนั้นก็สามารถตัดได้  ความรวดเร็ว ความคม และความตายสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

 

"ตูมมม!"

 

การปะทะครั้งที่ 2 เกิดขึ้น

 

ตอนที่เสียงดังขึ้น หยิง ซาน ก็หายตัวไป

 

ร่างของเขากลมกลืนเข้ากับเขตแดนแห่งเงา

 

ไม่เพียงแต่กระบี่เท่านั้นที่ไร้เงาแม้แต่ตัวเขาก็สามารถไร้เงาได้เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามการหลบซ่อนอยู่ในเขตแดนเงาระหว่างการสู้รบ นั้นหมายความว่าเขาได้รับบาดเจ็บนั่นเอง การปะทะกันนั้นทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากซ่อนตัว

 

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันทำให้ผู้เข้าสอบโดยรอบนั้นตกใจเป็นอย่างมาก

 

พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าวิชาไร้สาระนี้ทำร้าย หยิง ซาน ได้ยังไง?

 

จากนั้นพวกเขาก็นึกถึงสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ กล่าวไว้

 

"เมื่อเจ้าพบกับปัญหา จงเผชิญหน้ากับมัน!"

 

ตอนนั้นทุกคนคิดว่า ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างเต็มใจมันเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งในการให้กำลังใจตนเองเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามความจริงคือ หลังจาก ฟาง เจิ้งจือ ได้เผชิญหน้ากับ หยิง ซาน เป็น หยิง ซาน เองที่พ่ายแพ้

 

แพ้แบบแปลกมากๆ

 

ฟาง เจิ้งจือ ได้เปรียบในการต่อสู้ตรงๆงั้นหรือ?

 

ผู้เข้าสอบไม่เข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แม้แต่ตัว หยิง ซาน เองก็ไม่อาจเข้าใจได้เช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมวิชาที่ ฟาง เจิ้งจือ ใช้ จึงไม่ใช่ของปลอม?

 

อย่าบอกข้านะว่าเขาไม่รู้จักการใช้หอกเลย!

 

เป็นไปไม่ได้!

 

หยิง ซาน จริงๆแล้วไม่ต้องการที่จะยอมรับเรื่องนี้ นี่เป็นเพราะประสบการณ์ของเขา ตลอดจนความเคารพและความมั่นใจในตัวเอง เขาไม่เชื่อว่าการตัดสินของเขานั้นจะไม่ถูกต้อง เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพลาดในครั้งนี้ ทั้งๆที่เขามีประสบการณ์รบมามากมาย

 

อย่างไรก็ตามกระบี่ของเขานั้นได้รับความเสียหายแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้หัก แต่สถานการณ์ที่เขาเคยได้เปรียบตอนแรกนั้นหายไปอย่างฉับพลัน

 

สู้อีกครั้งหรือไม่?

 

มันคงเป็นเรื่องที่มีแต่คนบ้าทำเท่านั้น

 

นอกจากนี้ ดาบของ หนานกงมู่ ก็ได้ฟันลงอีกครั้งหนึ่งแล้ว

 

โซ่ที่ 3 ถูกตัดขาดด้วยดาบคู่ฟ้าเขียว

 

"โฮกกก!"

 

เสียงร้องของดาบราวกับเสียงมังกร แสงสีทองส่องออกมามากขึ้นเรื่อย ก้อนหินก็ราวกับจะระเบิดออกมา ราวกับว่าดาบกำลังดิ้นรนเพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากหิน

 

ผู้เข้าสอบโดยรอบต่างมองไปยังฉากที่เกิดขึ้น

แต่ละคนแสดงความดีใจออกมา ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นแสงริบหรี่ท่ามกลางความมืด มันคือความหวังของพวกเขา จะไม่ดีใจได้อย่างไร?

เหยียน ซิว ยังคงถือพัดอยู่ด้วยความสงบเขายืนอยู่ใต้หินและป้องกันมันด้วยความเคร่งเครียด

 

ในทางตรงกันข้าม ฟาง เจิ้งจือ รู้สึกอึดอัดใจ

เขารู้สึกทึ่งมากว่าทำไมพลังของ หยิง ซาน ถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นกับพลังระดับอภินิหาร?

ก่อนที่จะโจมตี หยิง ซาน เขาได้เตรียมพร้อมรับการบาดเจ็บแล้วด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามทำไม หยิง ซาน ถึงหลบหนีอย่างรวดเร็วหลังจากการปะทะกันแค่ครั้งเดียว?

หรือจะบอกว่า ข้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ? วิชาที่ข้าคิดขึ้นมาสามารถเอาพลังของหอกฉีหลินออกมาได้ถึง 300 เปอร์เซนต์?

 

ฟาง เจิ้งจือ สับสนเล็กน้อยอย่างไรก็ตามตลอดมาเขาไม่ใช่คนที่ประมาท

หลังจากชนะในรอบแรกแล้วนั้น เขายังคงต้องท่าป้องกันอยู่ข้างใต้หิน

ตราบใดที่ หนานกง มู่ สามารถตัดโซ่ทั้ง 4 เส้นออกได้ โลกแห่งเซียนจะกลับสู่การควบคุมของโรงเรียนหลวงอีกครั้งเมื่อองค์จักรพรรดิหรือผู้มีพลังจำนวนมากเข้ามาที่นี้ ปัญหาก็จะถูกคลี่คลายทันที

ความปลอดภัย!

 

เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ

มันเป็นสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ ให้ความสำคัญเสมอเขาเคยประมาทในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะท้าทายคนที่มีพลังสูงกว่า หรือบรรลุระดับพลังในช่วงเวลาที่อันตรายถึงตาย

 

 

ภายในเขตแดนแห่งเงา หยิง ซาน เคลื่อนไหวไปรอบๆ แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ฟาง เจิ้งจือ และ เหยียน ซิว ยังคงยืนอยู่ใต้หินเหมือนเดิม

โดยไม่ต้องรีบร้อนและกังวล

เป็นแบบนี้ ทำให้ หยิง ซาน เริ่มกังวล

 

ฟาง เจิ้งจือ และ เหยียน ซิว นั้นไม่จำเป็นต้องรีบแต่เขานั้นแตกต่างออกไป

เขาต้องป้องกัน หนานกง มู่ จากการดึงดาบให้ได้ไวที่สุดอย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ความน่าจะเป็นที่จะขึ้นไปบนหินที่ หนานกง มู่ อยู่ได้นั้น ไม่มากเท่าไร

ดังนั้นเขาต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ของเขา

ตาของ หยิง ซาน หรี่ลงเล็กน้อย เขาเพ่งมองไปที่ ปิง หยาง

 

ปิง หยาง กำลังยืนอยู่ข้างๆปากนางพึมพัมบางอย่างอยู่ นางกำลังเบื่อและอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ดวงตาของนางยังคงจ้องมองไปที่ เหยียน ซิว และ ฟาง เจิ้งจือ

ตาของ หยิง ซาน สว่างขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตาของเขากลับดำมืดอีกครั้ง เพราะเขาเห็นชุดเกราะดอกไม้แห่งเปลวเพลิงที่ร่างกายของ ปิง หยาง

 

ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังเหล่าผู้เข้าสอบคนอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บหนัก

ในไม่ช้าดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นเรื่อย ๆ

 

ผู้เข้าสอบคนอื่นๆไม่สามารถเทียบเคียงหนานกง มู่ ได้ หรือจะเทียบเคียง ฟาง เจิ้งจือ ที่ไร้ยางอาย และ เหยียน ซิว ที่มีพรสวรรค์ ก็ไม่มีใครเทียบได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกคนนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แค่เป่าเบาๆทีเดียว พวกเขาจะไปสบายทันที

เมื่อเขานึกถึงเรื่องนี้ขอบปากของ หยิง ซาน ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ

 

ดังนั้นเขตแดนเงาจึงค่อยๆขยายออกไป แต่ร่างของ หยิง ซาน ก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่ปกติมาก ยิ่งเขตแดนเข้มข้นมากเท่าไรก็ต้องใช้พลังมากเท่านั้นและไม่สามารถสร้างขนาดเขตแดนที่ใหญ่มากได้ แต่ตอนนี้เขตแดนมืดน้อยลง เพราะการขยายตัวของเขตแดน

ในทันใด ทุกคนจ้องมองไปที่ หยิง ซาน ทันที

 

พวกเขาทั้งหมดคาดว่านี่อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของรองหัวหน้า 1 ใน 10 เขตแดนปีศาจ อาจจะเป็นเพราะ ฟาง เจิ้งจือ นั้นโชคดี

ฟาง เจิ้งจือ จะตายหรือไม่?

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ภายในใจ นำไปสู่ความวิตกกังวล

ท้ายที่สุด พวกเขาก็พบกับข้อสรุป

ถ้า ฟาง เจิ้งจือ ต้องตายเพื่อให้พวกเขารอดออกไปจากโลกแห่งเซียน มันก็ดูจะเป็นความตายที่คุ้มค่า

 

สำหรับชาวภูเขาแล้ว

 

นี่จะถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาและชื่อของเขาจะถูกจารึกเอาไว้ที่โรงเรียนหลวงตลอดไป เป็นที่จดจำของเหล่าผู้ทดสอบในอนาคตเป็นแน่

จะน่ายินดีแค่ไหนกัน!

ในพวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นเชื้อสายของขุนนางกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาก็ได้รับการปฏิบัติที่สูงส่ง ความตายของชาวเขาทั่วๆไปสามารถแลกกับชีวิตของพวกเขาได้ น่ายินดีแค่ไหนกัน?

 

ขณะที่พวกเขาคิดว่าใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงบ หรืออาจพูดได้ว่ามันเป็นความสงบสุข

ยังไงก็ตาม ...

ท่าทีสงบสุขของพวกเขาก็มีได้ไม่นาน เพราะพวกเขาทั้งหมดรู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่หนักมาก บางอย่างที่เย็นเยือก อยู่ใกล้กับคอของพวกเขา

ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงก้มหัวลงด้วยสัญชาตญาณ

เมื่อพวกเขามองลงไป ใบหน้าทีสงบสุขนั้นก็หายวับไปไหนทันที มันกลายเป็นความสยดสยอง

 

ดาบ!

ฝูงดาบลอยอยู่กลางอากาศ

นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองนัก ที่น่ากลัวมากก็คือดาบพวกนั้นลอยเข้ามาใกล้คอของพวกเขา การขยับเพียงนิดเดียวก็สามารถเฉือนคอของพวกเขาจนเลือดพุ่งออกมาได้ในทันที

ดาบพวกนั้นมันเป็นดาบที่อยู่บนพื้น อย่างไรก็ตามดาบพวกนี้มันถูกควบคุมโดยเงาสีดำที่งอกออกมาจากพื้นดิน

 

ที่ด้ามดาบพลันเป็นสีดำทมิฬ

ราวกับมือที่จับดาบเอาไว้แน่น

"อ๊าก!!" เสียงร้องที่น่ากลัวดังลั่น ผู้ทดสอบเอามือปิดคอเอาไว้ตามสัญชาตญาณขณะที่ตาเหลิกถลนแล้วกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ปากของเปิดกว้างด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามจะหายใจ แต่รู้สึกว่ามันทำไม่ได้

 

"ฟุบ!"

หัวของผู้ทดสอบเอียงไปฝั่งหนึ่ง แล้วแน่นิ่งไปทันทีเมื่อตกลงสู่พื้น เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาช่องว่างระหว่างนิ้วมือของเขา หยดลงสู่พื้นไหลนองไปด้วยสีแดงของเลือด

ไร้พลังและหมดหนทาง

เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่สามารถซ่อนความหวาดกลัวไว้ได้อีกต่อไป

 

"อ๊าก!!"

 

"อย่าฆ่าข้า..!"

 

"ข้ายังมีอนาคตที่สวยงาม... รองหัวหน้าเขตแดนปีศาจ หยิง ซาน ได้โปรด... อย่าฆ่าข้าเลย!"

 

แม้ว่าการร้องขอชีวิตจากปีศาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับมนุษย์ แต่ยังมีพวกเขาอีกหลายคน ที่ไม่เคยเข้าสู่สนามรบมาก่อน

พวกเขายังไม่ผ่านการทดสอบระดับจักรพรรดิ และยังไม่ได้รับใช้อาณาจักรเลย

ดังนั้น โฉมหน้าของความตายที่แท้จริง สำหรับเผ่าพันธ์มนุษย์ มันเป็นความสยองที่มากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้

 

"ทำไมพวกเจ้าเอะอะกันเสียจริง! การกระทำของ หยิง ซาน หมายถึงภัยคุกคามต่อชีวิตพวกเรา อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการจะเป็นภาระต่อพวกเขา? " มีเสียงดังลั่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องที่หวาดกลัว

นั่นคือเสียงของ ซิง ฉิงซุย

"พวกเขา" ซิง ฉิงซุย หมายถึง ฟาง เจิ้งจือ เหยียน ซิว และ หนานกง มู่

นอกจากนี้ยังมีดาบที่จ่อคอของเขาอยู่ เขาไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับมัน

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ร้องไห้ ตั้งแต่ดาบนั้นจ่ออยู่ที่ลำคอ ก็ยังไม่มีเสียงร้องแม้แต่เสียงเดียว จนกระทั่งเสียงตะโกนเมื่อสักครู่ เป็นน้ำเสียงที่โกรธอย่างมาก

เหล่าผู้ทดสอบจ้องไปที่ ซิง ฉิงซุย ทันที

พวกเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้เห็นดาบที่จ่อคอ ซิง ฉิงซุย อยู่นั้นก็กลืนคำพูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 

ในฐานะทายาทของกองตรวจการความมั่นคงแล้ว เขาเติบโตมาพร้อมกับสนาบรบ สิ่งที่เขาเห็นล้วนเป็นเลือดเนื้อ สิ่งที่เขาดื่มนั้นคือสายฝน พวกเขาพร้อมจะวิ่งเข้าไปยังท่ามกลางกองทัพศัตรู ไม่ว่าตัวเองจะเป็นหรือตายก็ตาม

นั่นคือกองตรวจการความมั่นคง ผู้นำของ 13 กองตรวจการ

 

"พูดได้ดี! วันนี้ข้าจะตายไปพร้อมกับท่าน นายน้อยซิง! " เสียงอีกเสียงดังขึ้นมา

"ข้าก็ยินดีที่จะตายเช่นกัน!" เสียงที่ 3 ดังขึ้นตามมาติดๆ

 

น่าเสียดายที่ไม่มีคนที่ 4 เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับความตายได้เหมือนกับ ซิง ฉิงซุย แม้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง จะมีคนหรือ 2 คนที่ถูกเผาทั้งเป็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะรู้สึกเหมือนกัน

 

"ข้าไม่อยากตาย!"

"ข้าไม่ต้องการที่จะตายแบบนี้ ... "

"อ๊าก!!"

 

เสียงร้องหนึ่ง ดังออกมาด้วยความไม่เชื่อ เขาไม่อยากตาย

เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพยายามร้องขอชีวิต แต่ ซิง ฉิงซุย กับคนที่เหลือกลับยอมรับใความตาย

แต่ทำไมเขากลับถึงถูกฆ่าเป็นคนที่ 2?

เขาไม่เข้าใจและไม่มีเวลาที่จะพยายามทำความเข้าใจ เพราะความคิดของเขานั่นยุ่งเหยิงไปหมด สติดับวูบพร้อมกลับร่างกายที่เริ่มไร้พลัง

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ทดสอบที่กำลังจะร้องขอชีวิตที่เหลือนั้นถึงกับปิดปากไป

สายตาของแต่ละคนจ้องมองไปที่ หยิง ซาน

 

"แกร้ง!"

มีเสียงที่คมกริบดังขึ้นจากพื้นดินที่เงียบสงบ หนานกง มู่ ตวัดดาบไปจนถึงโซ่เส้นที่ 4 แล้วครวนี้เขาดึงพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ออกมา เลือดไหลออกมาจากปากแผลที่หน้าอกอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม โซ่ตรวนขาดออกจากกันด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

 

"ตูม..ตูม...ตูมตูม "

การสั่นสะเทือนรุนแรงแผ่กว้างออกมาจากหิน ก้อนหินเกิดรอยแตกไปทั่วทั้งก้อน

หนานกง มู่ มองไปทางหินที่ใต้เท้าของเขาด้วยความสงบนิ่ง

 

เขาได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเกิดอะไร ฟาง เจิ้งจือ จะแพ้หรือไม่ก็ตาม

แม้ว่าเสียงร้องจะดังลั่นแค่ไหน เสียงร้องไห้จะชัดเจนมากแค่ไหน

เขาก็มุ่งมั่นแต่ในสิ่งที่เขาควรจะทำเท่านั้น

ไม่มีความลังเลที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย

เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใด

 

อย่างไรก็ตามความมุ่งมั่นของเขาได้สำเร็จผล

รอยแตกร้าวบนก้อนหินแผ่ขยายกว้างขึ้น มีแสงส่องสว่างจางๆราวกับมันจะระเบิดออกมา

ถ้าเป็นเมื่อไม่กี่นาที่ก่อนมันยังเต็มไปด้วยความหวังและความคิดที่จะอยู่รอดต่อไป

อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้ทดสอบที่ถูกดาบจ่อคออยู่นั้น ก็กำลังจ้องมองไปที่ฉากตรงหน้าที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด

โลกแห่งเซียนที่สูญเสียการควบคุม

ยังมีค่าต่อชีวิตพวกเขาอยู่

 

อย่างไรก็ตามเมื่อโลกแห่งเซียนถูกเปิดออก พวกขุนนางของโรงเรียนหลวงก็จะพุ่งเข้ามาที่โลกนี้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้เลยว่า หยิง ซาน จะถูกหยุดไว้หรือจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียว

"ตูมมม!"

 

ในที่สุดก้อนหินก็แตกสลาย แสงสีทองพุ่งขึ้น กลายเป็นเสาสีทองสว่างเชื่อมต่อกับฟากฟ้า

 

 

เพจหลัก : Double gate TH

รีวิวผู้อ่าน