ตอนที่ 7 ฉันทำได้แล้ว
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังคงส่องแสงสลัว เฉินโจวอี้ก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
ความทรงจำของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการพุ่งแทงดาบเมื่อคืนที่ผ่านมายังคงชัดเจนและฝังแน่นอยู่ในหัวของเขา พอตื่นนอน เขาอดใจไม่ไหวที่จะหยิบดาบไม้ขึ้นมาฝึก เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจะสามารถควบคุมหัวใจหลักของท่าพุ่งแทงดาบได้อย่างง่ายดาย
แต่เมื่อเขาฝึกฝนอย่างจริงจัง เขากลับพบว่ามันไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
สุดท้ายแล้วความทรงจำก็คือความทรงจำอยู่วันยังค่ำ
เขารู้สึกว่ากล้ามเนื้อของตัวเองดูแข็งทื่อและไม่คล่องแคล่ว ควบคุมได้ยากมาก
ในจุดนี้แตกต่างจากการฝึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกาย สามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายหลังจากที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว เปลี่ยนแปลงไปจากฉบับเดิมไม่มาก ก็แค่รายละเอียดต่างกันเล็กน้อย นอกจากนี้การออกแรงก็ยังเป็นไปตามความคุ้นชินของคนตามปกติ
เฉินโจวอี้ฝึกฝนเพียงไม่กี่ครั้งและเขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีความเชี่ยวชาญ
แต่กระบวนท่าดาบวูซูนั้นกลับดูเหมือนกับเครื่องจักรกระจอกพลังงานต่ำที่ถูกบีบบังคับให้กลายเป็นเครื่องจักรพลังงานสูงที่ชิ้นส่วนแต่ละส่วนทำงานอย่างแน่นหนา ไม่เพียงแต่จะต้องควบคุมกล้ามเนื้อแต่สัดส่วนอย่างละเอียด แต่ยังต้องทำให้มันทำงานประสานกัน ระเบิดแรงในร่างกายออกมาทั้งหมดโดยไม่ให้มีความเสียหาย
โชคดีที่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เขามีความทรงจำของท่าพุ่งแทงดาบของคุณครูสอนศิลปะต่อสู้ ข้อได้เปรียบที่ดีเช่นนี้ ก็เหมือนกับคนที่ทำเป็นมาแต่แรก แค่เปลี่ยนร่างแล้วฝึกฝนใหม่อีกครั้ง
ซึ่งหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุ
......
วันเวลาผ่านพ้นไปในแต่ละวัน สำหรับเฉินโจวอี้แล้วมันช่างผ่านไปอย่างเรียบง่าย
ความอยากอาหารของเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้นทุกวัน หน้าอกผอมบางของเขาเริ่มดูหนาขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากวันที่สาม คุณสมบัติทางด้านความแข็งแกร่งของร่างกายและความตั้งใจเพิ่มขึ้นมา 0.1 จุด หลังจากวันที่สี่ ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นมา 0.1 จุดเช่นกัน ตามด้วยความว่องไว......
อย่ามองว่าคุณสมบัติเพิ่มขึ้นแค่ 0.1 จุด ถ้าดูจากฐานที่ 10 จุดของคุณสมบัติสากล ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง
แต่ในความเป็นจริง คุณสมบัติระหว่างจุดใหญ่แต่ละจุดของหนังสือแห่งความรู้ต่างก็เป็นการคำนวณผลิตผลห้าเท่าต่อหนึ่งจุด
ความแข็งแกร่งของพลัง 10 จุดอยู่ระหว่างที่หนึ่งร้อยกิโลกรัม งั้น 11 จุดคือหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัม 12 จุดคือสองร้อยยี่สิบห้ากิโลกรัม
เพิ่มจากจุดพื้นฐานที่ 10 มาประมาณ 0.1 จุด ก็คงประมาณ 5 กิโลกรัม
นี่แค่ความพยายามในเวลาแค่สองสามวันนะ
อีกอย่างดูเหมือนว่าคุณสมบัติเกือบทุกด้านจะเพิ่มมากขึ้นและส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพียงพอที่จะเพิ่มพลังการต่อสู้ของคนๆ หนึ่งได้
……
และแล้วก็มาถึงคาบเรียนศิลปะการต่อสู้อีกวันหนึ่ง
คุณครูสอนศิลปะการต่อสู้ เดินไปเดินมาตรวจดูกลุ่มนักเรียนที่ฝึกฝนกันอยู่ มองเห็นการฝึกของเฉินโจวอี้ทันใดนั้นก็รู้สึกเกิดแสงสว่างที่ด้านหน้า เขาปรบมือพลางพูดขึ้นอย่างเสียงดัง
“ การพุ่งแทงดาบของเฉินโช่วอี้ถือว่าเชี่ยวชาญในระดับปรมาจารย์เลยนะ เธอมาสาธิตให้ทุกคนดูสักหน่อยสิ ”
ด้วยคำพูดชื่นชมเสียงดังจากครูสอนศิลปะการต่อสู้ ทันใดนั้นสายตานับไม่ถ้วนก็มองมาที่เขา
สายตาเหล่านี้ดูเหมือนแสงอาทิตย์ที่จับจ้องมาที่เขา ทำให้สีหน้าของเฉินโช่วอี้บูดเบี้ยว สับสนจนทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะสายตาสงสัยของเด็กผู้หญิงสวยๆ ไม่กี่คนในนั้น ยิ่งทำให้เขาอึดอัดหายใจไม่ออกเข้าไปใหญ่
ตั้งแต่เด็กเขาก็รู้สึกต่ำต้อยอ่อนแอ สิ่งที่กลัวที่สุดคือการเผยตัวต่อหน้าทุกคน ขนาดตอนตอบคำถามเขายังหน้าแดง พูดตะกุกตะกัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย
“ นักเรียนเฉินโจวอี้ดูเหมือนจะอายนะ ! ” ครูสอนศิลปะการต่อสู้พูดล้อขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ "เรียนศิลปะการต่อสู้ ไม่มีความกล้าจะเรียนได้อย่างไร"
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น
เสียงหัวเราะของเพื่อนนักเรียนเหมือนกับดาบแต่ละเล่มที่แทงทะลุเข้ามาในจิตใจอันเปราะบางของเขา
เฉินโจวอี้ก้มหน้า แอบกำหมัดแน่น เล็บแหลมคมจิกเข้าไปที่ฝ่ามือของเขา เขาสบถอยู่ในใจ
“ กลัวอะไรล่ะ ? เฉินโจวอี้สรุปนายกลัวอะไรกันแน่ ? ”
“ คนพวกนี้ก็คือเพื่อนร่วมห้องของนายทั้งนั้น มีอะไรให้กลัวหรอ ? ”
“ ต่อให้ขายหน้าทำออกมาได้ไม่ดี แล้วทำให้นายเป็นยังไงล่ะ ”
“ ตั้งแต่เด็กจนโต คนพวกนี้ไม่มีใครสนใจนายจริงๆ หรอก และก็ไม่มีใครประเมินนายสูงไปด้วย ต่อให้ขายหน้า ไม่นานพวกเขาก็ลืมแล้ว ! ”
ภายใต้การสะกดจิตตัวเองไม่หยุด ในใจของเขาดูเหมือนจะมีความคิดที่เข้มแข็งขึ้นมา จู่ๆ เฉินโจวอี้ก็พูดโผงขึ้น “ ครับ คุณครู ! ”
พูดจบ ดูเหมือนว่าเขาจะทำลายความเป็นทาสของตัวเองได้แล้ว ทุกอย่างตรงหน้านี้ดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิมแล้ว
อากาศภายในสนามบาสเก็ตบอลดูแปลกใหม่ขึ้น
แสงแดดยามบ่ายส่องทะลุใบไม้ที่อยู่ด้านนอก พาดผ่านเข้ามาที่หน้าต่างกระจก ทำให้เห็นแสงแดดรำไร
เฉินโจวอี้ก้าวเดินมาด้านหน้าที่ละก้าว ในตอนแรกเขายังคงก้มหน้าอยู่ เดินห่อไหล่ หน้าแดง แต่ในขณะที่เขาก้าวเดินไปข้างหน้าในแต่ละก้าว เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา การก้าวเดินเริ่มมีพลังมากขึ้น ร่างกายยืดตรง สีหน้าที่เคยแดงค่อยๆ หายไป
“ คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินโจวอี้สูงได้ขนาดนี้ ! ” ผู้หญิงคนหนึ่งราวกับค้นพบโลกใหม่ เธอพูดกระซิบขึ้น
“ ฉันก็เหมือนกัน เมื่อก่อนไม่เห็นสังเกตเห็นเลย ! ” ดูเหมือนว่าพวกเธอจะพูดมาในทำนองเดียวกัน เด็กผู้หญิงอีกคนพูดเสริมขึ้น
……
“ ฉันรับรองได้เลย อีกพักหนึ่งเขาจะต้องร้องไห้ออกมาแน่นอน ! ” นี่คือเสียงในใจของจ้าวอี้เฟิง เพื่อนซี้สุดแน่นปึ้กของเขา
เขามองไปที่เฉินโจวอี้ที่ดูเหมือนจะเริ่มแปลกไป สัญชาติญาณบางอย่างในใจของเขาทำให้เขารู้สึกอึดอัด
สุดท้ายแล้วเดิมทีก็อยู่ในโคลนตมเหมือนกันหมด ทุกคนไม่ว่าใครก็อย่าหัวเราะเยาะกัน แต่เวลาที่มีคนพยายามจะกระโดดออกมาจากโคลนตมนั้น ความริษยาและความน้อยเนื้อต่ำใจอันมากมายนี้ กลับทำให้เขาหยุดทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว
ซุนซินไม่ได้พูดอะไร ทำแค่เพียงแอบกัดปาก ในฐานะเพื่อนที่นั่งข้างกัน เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเฉินโช่วอี้ได้อย่างชัดเจน
ในหลายวันมานี้ ทุกวันเฉินโจวอี้ตั้งใจเรียน ขยันกว่าทุกคน บางครั้งเขาก็สงสัยว่า อีกฝ่ายถูกกระตุ้นมาใช่ไหม?
……
เฉินโจวอี้มายืนมั่นอยู่ตรงหน้าหุ่นยางที่คุณครูให้เอาไว้ฝึก
“ เริ่มได้ ! ” ครูสอนศิลปะการต่อสู้พูดขึ้น
“ ได้ครับ คุณครู! ” เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างเคารพ
เขาถือดาบไว้ในมือ ภายใต้สายตาของคนห้าสิบสามคนในชั้นเรียนที่จ้องมา หัวใจของเขาสงบนิ่งมาก สายตาของเขาดูแหลมคมและมั่นใจ
วิชาดาบของเขาเข้าสู่ระดับเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อหกวันก่อน
สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดของวิชาดาบก็คือขั้นเริ่มต้น ตราบใดที่แต่ละก้าวยังคงมีความทรงจำในร่างของครูสอนศิลปะการต่อสู้ของโรงเรียนอยู่และสามารถเรียนรู้จากเขาได้ แน่นอนว่าจะต้องพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในการฝึกฝนแค่ไม่กี่วัน ก็ค่อยๆ ชำนาญท่าพุ่งแทงดาบมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงขั้นที่ไม่ต้องคิดอะไรมากก็สามารถแทงดาบออกมาได้ตามมาตรฐานแล้ว
วินาทีต่อมา เขาขยับตัวทันที ร่างกายของเขาพลิ้วไหวดังสายน้ำ เบาบางราวกับสายหมอก ดาบยาวดูเหมือนนกนางแอ่นที่บินพุ่งทะลุสายฝนไป
“ พลั๊วะ ! ” เสียงดังสนั่นดังขึ้น!
ปลายดาบแทงเข้าไปตรงตำแหน่งหว่างคิ้วของหุ่นอย่างแรง เอนลงไปทำมุมสามสิบองศากับพื้น ส่วนล่างเอนลงไปได้ถึงครึ่งเมตร
รอบๆ ด้านเงียบเสียงลง จากนั้นก็กลายเป็นเสียงสูดลมหายใจ
นักเรียนทั้งห้องจำนวนห้าสิบสี่คนรวมถึงตัวเขา ที่สามารถฝึกวิชาดาบขั้นเริ่มต้นได้มีไม่เกินห้าคน และคนที่สามารถฝึกได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้หุ่นยางเอนลงไปได้ถึงครึ่งเมตรนั้น กลับไม่มีเลยสักคนเดียว
ตอนที่กลับมาจากการสาธิต เขาพบว่ามันไม่เหมือนกันแล้ว เขาจากคนที่เคยไม่มีตัวตน เหมือนเป็นอากาศธาตุ ในเวลานี้กลับกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
หลายคนกำลังแอบมองเขา ในจำนวนนั้นมีพวกผู้หญิงอยู่จำนวนไม่น้อย
พอเขามองไปยังสายตาเหล่านั้น จู่ๆ พวกเขาก็รีบหลบสายตาทันที
“ หึหึ ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้แหละนะ ”
ในใจของเขามีความคิดแปลก ๆ ตอนแรกยังคงมีความกังวลใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆลดลง
“ คิดไม่ถึงเลยว่า ศิลปะการต่อสู้ของนายจะทรงพลังได้เช่นนี้ ! ” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งชกที่อกเขา พลางหัวเราะแล้วพูดขึ้น
เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายชื่อหวงไค่ ผลการเรียนในแต่ละปีอยู่สิบอันดับแรกตลอด ในอดีตถือว่าอยู่คนละชั้นกับเขาเลย อีกฝ่ายไม่เคยพูดคุยกับเขามาก่อน ในเวลานี้กลับดูเหมือนเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดกันมาก
เฉินโจวอี้ชะงักไปสักพัก จากนั้นรีบพูดขึ้น “ ก็แค่ช่วงนี้ฝึกบ่อยน่ะ ”
เขานึกว่าตัวเองจะได้รับความโปรดปรานจนน่าแปลกใจ แต่สุดท้ายแล้ว กลับพูดแบบเงียบสงบและเรียบง่ายออกมา
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ!
ระหว่างทางที่กลับจากคาบเรียนศิลปะการต่อสู้ ด้วยความเคยชินเฉินโช่วอี้จึงอยากจะเดินไปกันสามคนกับเพื่อนๆ ของเขา
ผลก็คือถูกนักเรียนคนอื่นล้อมรอบ
“ เฉินโจวอี้นายฝึกยังไง มีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า ? ”
หลายคนทั้งชีวิตอาจไม่มีโอกาสผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัด แต่ในฐานะวัยรุ่นมีกี่คนกันเชียวที่จะไม่ชอบศิลปะการต่อสู้!
เคล็ดลับน่ะมีแน่นอน เสียดายพวกเธอใช้ไม่ได้ เฉินโจวอี้พูดในใจ แต่ปากกลับพูดออกไปว่าดูท่าฝึกศิลปะการต่อสู้มาจากในอินเทอร์เน็ต "นายต้องแยกแต่ละท่าออกมาอย่างละเอียด แล้วค่อยๆ ฝึกไปทีละท่า รอให้ฝึกคล่องทุกท่าก่อน ค่อยเอามันมารวมกันแล้วฝึกเป็นชุด"
“ ฉันก็ฝึกแบบนี้นะ แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไร ” เพื่อนร่วมห้องคนที่ถามพูดขึ้น
“ วิธีแบบนี้เป็นเพราะความแตกต่างของแต่ละคน วิธีที่เหมาะกับตัวเองถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่อย่างแรกเลยต้องมีความอดทน ถ้าไม่มีความอดทน ไม่ว่าอะไรก็ฝึกไม่สำเร็จหรอก ” เฉินโช่วอี้พูดตามปกติ หน้าไม่แดงใจไม่เต้นแรงแล้ว
“ แน่นอนว่าความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ ฉันแค่อดทนไม่ไหวเท่านั้นเอง ” เพื่อนร่วมห้องคนที่ถามพยักหน้าเห็นด้วย
……
เฉินโจวอี้พบว่าวันนี้ตัวเขาเองทำอะไรคล่องแคล่ว พูดจาชัดเจน เขาพูดไปเรื่อยแค่ประโยคเดียว แต่ทุกคนกลับตั้งใจฟัง และมีคนเห็นด้วย
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มีความรู้สึกชอบให้คนมาเห็นความสำคัญและสนใจในตัวเขา แทนที่จะเป็นคนที่ไม่เคยได้รับความสนใจ เหมือนร่างโปร่งแสงที่ถูกทอดทิ้ง
กลับมาที่ห้องเรียน เฉินโจวอี้เดินมาที่ที่นั่งของตัวเอง
ซุนซินเดินเข้ามารัดเฉินโช่วอี้อย่างแรง พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่อิจฉาว่า “ วันนี้กินยาโด๊ปมาล่ะสิ ทำไมโหดขนาดนี้วะเพื่อน ! ”
“ ฉันบอกนายไปตั้งนานแล้ว ว่าฉันจะต้องสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ให้ได้ ! ” เฉินโจวอี้กระซิบอย่างภาคภูมิใจ
เฉินโจวอี้นึกว่าตัวเองจะได้ยินคำพูดแซะและคำพูดโจมตีเหมือนปกติ เขายังห่างไกลจากเส้นทางการเป็นชาวยุทธฝึกหัด มันเหมือนกับเป็นช่องว่างลึกๆ ขนาดตัวของเฉินโจวอี้เองยังไม่มีความมั่นใจ เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ที่จะสามารถผ่านการทดสอบได้
แต่ผลคือไม่มี
“ ในอนาคตถ้าก้าวหน้าแล้ว อย่าลืมฉันนะเว้ย ” ซุนซินเล่นหน้าเล่นตาพลางพูดขึ้น
ในช่วงเปิดเทอมวันแรกๆ ซุนซินก็เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้อยู่หลายครั้ง แต่ในตอนนั้นทำให้ซุนซินรู้สึกว่ามันเป็นแค่การคุยโม้ระหว่างเพื่อนเท่านั้น ซึ่งจริงๆ เขาก็แพ้แหละ แต่ในคาบเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ในวันนี้ การแสดงที่น่าทึ่งของเฉินโจวอี้กลับทำให้ซุนซินตระหนักได้ว่า เขามีโอกาสสอบเข้าที่นั่นได้จริงๆ
“ นายเชื่อจริงๆ หรอวะ ขนาดตัวฉันเองยังไม่มั่นใจเลย ” เฉินโจวอี้อ้าปากค้าง พูดขึ้นด้วยความตกตะลึง