ตอนที่ 9 เข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน
“ ลูกจอมล้างผลาญคนนี้นี่นะ แทงตรงไหนไม่แทง มาแทงผนัง ลูกรู้ไหมถ้าปูกระเบื้องแล้วต้องซ่อมมันใหม่ ต้องใช้เงินเท่าไร ? ” ไม่นาน เสียงคมชัดของแม่เขาก็เอ็ดไปทั่วร้านอาหาร
“ แม่คะ พี่เขาก่อเรื่องอะไรอีกหรอ ? ”
ในเวลานี้เฉินซิงเยว่ก็กลับมาแล้วเหมือนกัน
ทันทีที่เธอพูด ก็ทำให้เฉินโจวอี้โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ทำไมต้องพูดว่าเขาก่อเรื่องอะไรอีก?
ถึงแม้ว่าในครั้งนี้ ตัวเขาเองจะประมาทไปหน่อยก็ตาม แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่ามันจะแทงทะลุผนังจริงๆ
“ ลูกดูสิ พี่ของลูกทำเรื่องอีกแล้ว” แม่ของเขาชี้ไม้ชี้มือ แล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธ
ในเวลานี้ตะเกียบยังไม่ถูกดึงออกมา ยังคงเสียบคาอยู่ที่ผนัง เฉินซิงเยว่มองอย่างละเอียด พลางพูดขึ้นอย่างตกใจว่า “นี่พี่หนูเป็นคนทำหรอ ? ”
“ นอกจากเขาจะมีใครอีกล่ะ บอกว่าจะแสดงท่าพุ่งแทงดาบให้ดู ผลก็คือสมองไม่คิดอะไรให้ดีดี จู่ๆ ก็แทงเข้าไปที่ผนังนั่น ”
เฉินซิงเยว่เกิดความสงสัยและตกใจในขนาดเดียวกัน คนภายนอกจะดูเหมือนว่ามันไม่มีอะไร แต่คนที่อยู่ในวงการจะมองออกถึงความสามารถนี้ ในรายการทีวีมีการแสดงแบบนี้อยู่มากมาย ดูเหมือนว่าพวกที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ ต่างก็สามารถทำได้เหมือนกัน
แต่คนที่จะขึ้นไปทำการแสดงได้ มีคนธรรมดาที่ไหนกันล่ะ!
ไม่มีทางรู้เลยว่าการที่จะเอาตะเกียบไม้เจาะทะลุผนังกระเบื้องต้องใช้ความยากขนาดไหน ลำพังแค่แรงและความเร็วไม่ได้แน่นอน
มุมของมันจะต้องทำมุมแนวแนวดิ่งกับผนังอย่างสมบูรณ์ ถ้าเอียงเพียงแค่เล็กน้อยตะเกียบจะหักทันที ขนาดเธอที่เป็นชาวยุทธฝึกหัดชั้นแนวหน้า ในสิบรอบยังยากที่จะทำได้สำเร็จสักหนึ่งรอบเลย
แต่พี่ชายของเธอผู้ไม่ได้มีพรสวรรค์ในศิลปะการต่อสู้ จะทำได้อย่างไรกัน?
ในความเป็นจริง ขนาดตัวเฉินโจวอี้เองก็ยังไม่เข้าใจ เขาซึมซับประสบการณ์ในการพุ่งแทงดาบของครูสอนศิลปะการต่อสู้วัยกลางคนจากในมิติความทรงจำ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะเป็นของชาวยุทธฝึกหัดเช่นกัน บางทีตลอดชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เลื่อนเป็นชาวยุทธเต็มตัว ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเทียบกับเฉินซิงเยว่ ผู้มีอนาคตยาวไกลในเส้นทางศิลปะการต่อสู้
อย่างไรก็ตามการฝึกรูปแบบของชาวยุทธเช่นนี้ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยวิธีที่เคยฝึกในทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อวันๆ เขาเอาแต่สอนท่าพุ่งแทงดาบของวิชาดาบในโรงเรียน ถ้าพูดถึงแค่เฉพาะท่านี้ เขาผ่านการต่อสู้และการทดสอบมาอย่างโชกโชน ไม่รู้ว่าฝึกมามากกว่ากี่หมื่นครั้งแล้ว แน่นอนว่าเฉินซิงเยว่ น้องสาววัยรุ่นผู้เป็นชาวยุทธฝึกหัดก็ยังเทียบไม่ได้เลย
“ เอาล่ะ เอาล่ะ! ในเมื่อมันทะลุเป็นรูไปแล้ว พรุ่งนี้เช้า พ่อจะโทรเรียกคนมาเปลี่ยนมัน ” เฉินต้าเหว่ยหัวเราะพลางพูดขึ้น ถ้าเทียบกับเงินจำนวนเล็กน้อยแค่นี้ เขาพอใจกับการเปลี่ยนแปลงของลูกชายมากกว่า
“ ครั้งนี้พ่อเป็นคนตัดสินใจเองแล้วกัน วิชาเสริมศิลปะการต่อสู้ถ้าลูกอยากไปเรียนก็ไปเรียนเถอะ ลูกก็พูดมาแล้วกันว่ามันเท่าไร พอถึงตอนนั้นก็ให้แม่ของลูกโอนไปให้ ”
อำนาจทางการเงินของครอบครัวต่างก็ตกอยู่ในกำมือของผู้เป็นแม่ กระเป๋าเงินของเขายังดูโล่งกว่าของเฉินโจวอี้เสียอีก
ถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะไม่ได้พูดว่าเห็นด้วย แต่ในเวลานี้เฉินโจวอี้จะยังไม่เข้าใจตรงไหนอีกล่ะ เขารีบพูดขึ้นมาในทันที “ ผมลงเรียนวิชาดาบขั้นสูงไว้ หลักสูตรหนึ่งเรียน 20 คาบ ประมาณหกถึงเจ็ดพันหยวนครับ ! ”
บ้านของเขาไม่ถือว่าเป็นพวกเศรษฐี แต่อย่างน้อยก็สามารถเรียกได้ว่าอยู่ดีกินดีเลยแหละ
ร้านอาหารของครอบครัวก็เป็นของตัวเองไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน รายได้แต่ละปีประมาณสองแสนหยวน บวกกับดอกเบี้ยที่ปล่อยเงินกู้ ถือว่าเป็นตัวเลขจำนวนไม่น้อย ในระบบเศรษฐกิจถือว่าร่ำรวยเลยทีเดียว
“ ถึงตอนนั้นแม่จะโอนให้เจ็ดพันหยวนแล้วกัน ส่วนค่ากินเดือนนี้ลูกไม่มีแล้วนะ ” แม่เขาฟึดฟัดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้น
เฉินซิงเยว่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ อย่างประหลาดใจ มีแค่ดวงตาสองข้างเท่านั้นที่กระพริบตามองดูเฉินโจวอี้อยู่ ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไร
……
ตอนที่กินข้าวเย็น เฉินโจวอี้แอบเปิดดูแผงคุณสมบัติของตัวเอง เขาพบว่าการสะสมพลังงานในที่สุดก็ทะลุ 1 จุดแล้ว เขารีบกินข้าวเย็น รู้สึกอดใจรอไม่ไหวที่จะเตรียมกลับไปยังห้องนอน แต่ขณะที่กำลังจะเปิดประตูห้องนอนนั้น กลับถูกเฉินซิงเยว่ขวางไว้
“ พี่ พี่ไปเรียนรู้ท่าพุ่งแทงดาบมาตอนไหน ? ” เฉินซิงเยว่ถามเสียงหวาน
“ สองสามวันก่อน ทำไมเหรอ ? ” เฉินโจวอี้พูดอย่างอดกลั้น: "ยังมีธุระอื่นอีกไหม? ฉันจะทำการบ้านแล้ว ฉันไม่เหมือนเธอนะที่ถูกเสนอชื่อไปแล้ว พี่ชายยังต้องพยายามอยู่"
“ อ้อ ! ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่แปลกใจเลยถามดูน่ะ ”
“ งั้นฉันเข้าห้องแล้วนะ ” เฉินโจวอี้ทันทีที่พูดเสร็จ เขาก็รีบปิดประตูทันที
เฉินซิงเยว่มองประตูที่ถูกปิด เธอแอบกัดฟัน "สองสามวันก่อนงั้นหรอ? หลอกผีล่ะสิ!"
……
รอจนกระทั้งเฉินโจวอี้รู้สึกว่าเฉินซิงเยว่เดินออกไปแล้ว เขาก็รีบล็อคประตูทันที
ใจเขาเต้นตึกตัก เขารีบเรียกหนังสือแห่งความรู้ออกมา
ชื่อ-นามสกุล: เฉินโจวอี้
คุณสมบัติ
ความแข็งแกร่ง: 10.5
ความว่องไว: 10.5
ความแข็งแกร่งของร่างกาย: 10.4
สติปัญญา: 10.3
การรับรู้: 10.3
ความตั้งใจ: 11.0
ความรู้: ภาษาจีนกลาง (เชี่ยวชาญระดับ 6) ฟิสิกส์ (ชำนาญระดับ 12) เคมี (ชำนาญระดับ 11) ชีววิทยา (ชำนาญระดับ 10) คณิตศาสตร์ (ชำนาญระดับ 9) ภาษาอังกฤษ (ชำนาญระดับ 6) คอมพิวเตอร์ (ขั้นเริ่มต้นระดับ 6) ทำอาหาร (ขั้นเริ่มต้นระดับ 5) สามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกาย (ชำนาญระดับ 2) เข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน (ยังไม่เริ่มต้น) วิชาดาบ (ขั้นเริ่มต้นระดับ 8) วิถีธนู (ยังไม่เริ่มต้น)
ค่าพลังงานสะสม: 1.05
ในสองสามวันนี้ ไม่เพียงแต่คุณสมบัติของร่างกายเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขนาดทักษะความรู้ก็ยังเพิ่มขึ้นตาม ยกตัวอย่างเช่นภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นมา 1 ระดับ
แต่ที่ก้าวหน้ามากที่สุดก็ยังคงเป็นศิลปะการต่อสู้
เหมือนกับสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายจาก (ขั้นเริ่มต้นระดับ 5) เพิ่มขึ้นมาเป็น (เชี่ยวชาญระดับ 2) ขณะเดียวกันวิชาดาบจากยังไม่เริ่มต้นเพิ่มขึ้นเป็นขั้นเริ่มต้นระดับ 8 นี่เป็นผลมาจากการที่เขาควบคุมกระบวนท่าดาบเพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ถ้าเขาแค่ฝึกกระบวนท่าพุ่งเข้าไปแทงของวิชาดาบอย่างเดียว อย่างน้อยๆ ระดับจะอยู่ที่ระดับชำนาญขึ้นไป
เขามองไปยังบนแผงคุณสมบัติ เกิดความลังเลเล็กน้อย ต่อไปเขาเตรียมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพความรู้และทักษะ ความรู้ประเภทที่เรียนในห้องเรียนเขาตัดทิ้งทันที อีกนานกว่าเขาจะสอบเกาเข่า ต่อให้ก่อนหน้าช่วงสอบสักสองสามเดือนค่อยเพิ่มประสิทธิภาพก็ยังถือว่าไม่สายไป
ยิ่งไปกว่านั้น ในใจของเขายังคงตื่นเต้นกับศิลปะการต่อสู้อยู่
จากนั้น วิชาดาบก็ถูกเขาตัดออกเช่นกัน
วิชาดาบเขาจะเรียนรู้แค่กระบวนท่าพุ่งเข้าไปแทง ต้นทุนที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพไม่สูงจนเกินไป อีกทั้งสิ่งนี้ยังสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วผ่านมิติแห่งความทรงจำ นอกเสียจากว่าจะไปถึงจุดที่ไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้แล้ว เขาถึงจะยอมเปลืองพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมัน
ส่วนวิถีแห่งธนูแค่ขั้นเริ่มต้นยังไม่มี แน่นอนว่ายิ่งไม่ต้องพิจารณาเลย
เฉินโจวอี้รู้สึกว่าตัวเองยังอีกไกลกว่าจะมีคุณสมบัติที่ได้มาตรฐานของชาวยุทธฝึกหัดเพียงพอ เขาจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มประสิทธิภาพสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายต่อ
“ เคยเพิ่มประสิทธิภาพสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ถ้าทำอีกครั้งหนึ่ง มันน่าจะได้ผลดีกว่านะ ”
ก็เหมือนการตัดไม้แต่ไม่ลับมีด ขอแค่มีสมรรถภาพทางกายที่ได้มาตรฐาน ถึงจะพิจารณาทำเรื่องอื่นๆ ต่อได้ ไม่อย่างนั้นเวลาฝึกด้านอื่นๆ มากขึ้นก็คงจะไร้ประโยชน์
ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อเขากำลังจะเตรียมจะเพิ่มประสิทธิภาพ กลับถูกหนังสือแห่งความรู้ส่งข้อความกลับมาเตือนว่า พลังงานไม่เพียงพอ
“ การเพิ่มประสิทธิภาพครั้งที่สอง ยังจะใช้พลังงานมากอีกเหรอ ? ”
เฉินโจวอี้ชะงักไปพักหนึ่ง ในใจเกิดความลังเล
“ สรุปแล้วรอให้การสะสมพลังงานของหนังสือแห่งความรู้มีเพียงพอก่อน หรือจะเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตนดีนะ? ”
ถ้าเลือกอันแรกก็ไม่รู้ว่าจะได้ตอนไหน ถ้าเลือกอันหลังก็จะสามารถเห็นผลที่เกิดขึ้นได้ทันที เฉินโจวอี้ไม่ได้คิดพิจารณามากมาย เขาตัดสินใจเลือกอันหลัง
ตอนนี้เขาจะสิ้นเปลืองเวลาไม่ได้ แทนที่จะรอ สู้เลือกอันที่สามารถคว้ามาอยู่ในมือได้ก่อนดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตนเป็นอะไรที่สำคัญอย่างยิ่ง มันสามารถช่วยให้ตัวเขาเองควบคุมร่างกายได้ง่าย สามารถควบคุมกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายให้ใช้แรงแต่ละจุดของร่างกายได้
วิชาดาบสำหรับหลายคนแล้ว ยากที่จะเข้าสู่ขั้นเริ่มต้น หลังจากเข้าสู่ขั้นเริ่มต้นแล้วก็ยากที่จะเพิ่มระดับมัน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นความสำเร็จเบื้องต้นของ “การเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน ขั้นฝึกกล้ามเนื้อ” ที่คนเขาชอบพูดกัน แน่นอนว่าแค่ฝึกก็ได้แล้ว ไม่ได้มีความยากเย็นอะไร
ขณะเดียวกัน มันเป็นหนึ่งในเครื่องหมายที่สำคัญของศิลปะการต่อสู้
ถ้าหากพูดว่าเป็นการฝึกฝนที่ผ่านความตั้งใจอย่างยากลำบากและความสามารถในการทำความเข้าใจที่ดี ก็ยังสามารถกลายเป็นชาวยุทธฝึกหัดได้ งั้นถ้าอยากเป็นชาวยุทธ จะต้องผ่านการ “เข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน” โดยสามารหลอมรวมกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายได้
ไม่มีการลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เฉินโจวอี้รีบเลือก "เข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน" แล้วเลือกเพิ่มประสิทธิภาพ
วินาทีต่อมา ภาพความฝันที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในความฝันเขานั่งขัดสมาธิฝึกจิตประสานมือ ขาและหัว ฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเข้าสู่สมาธิ จากตอนแรกที่เริ่มวอกแวก ความคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย แต่ต่อมา ก็ค่อยๆ กลายเป็นคลื่นสงบ
ไม่รู้ว่าฝึกฝนและทดลองไปกี่รอบแล้ว ในใจของเขาค่อยๆ สงบมากขึ้นเรื่อยๆ จิตใจดูเหมือนว่าจะคงอยู่แต่ก็ไม่อยู่ ดูเหมือนจะคิดแต่ก็ไม่คิด ราวกับอยู่ในสภาวะเงียบสงัด
การรบกวนจากโลกภายนอกทั้งหมดได้รับการปิดกั้นอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงแค่เสียงกิจกรรมของมนุษย์เท่านั้นที่ถูกขยายให้คมชัดขึ้น
เขาผ่อนหายใจยาวและนานมากขึ้น หัวใจเต้นเหมือนกับการตีกลอง น้ำย่อยในกระเพราะอาหารหมุนวนเหมือนสายน้ำ เขาได้ยินแม้กระทั้งเสียงการไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือด
แต่ในความฝัน จิตใจของเขายังคงมีความชัดเจนอยู่เสมอ เขาตั้งมั่นจิตใจของเขา ปิดกั้นเสียงรบกวนทั้งหมด พุ่งจุดสนใจไปที่ปลายซี่โครง ปลายเนื้อ ปลายเลือดและปลายกระดูก
เขาเริ่มรู้สึกจากนิ้วเท้า ในตอนแรกภาพนิ้วเท้าของเขาดูเบลอมาก เขาสามารถรู้สึกถึงได้อย่างง่ายดาย แต่มันกลับไม่มีรูปร่างที่แน่นอน มันเหมือนกับอะไรที่ยุ่งเหยิง
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะในเวลานี้ความคิดของเขาเกือบจะใกล้ที่จะนิ่งแล้ว เหลือเพียงแค่จิตใต้สำนึก จินตนาการและความจำก่อนหน้านี้ที่ถูกแยกออก
เขาดูเหมือนจะติดอยู่ที่นี่ แล้วทำการฝึกฝนรอบแล้วรอบเล่า
ในความฝัน จิตใจของเขาก็ยิ่งสงบเงียบมากขึ้นเรื่อยๆ เขาค่อยๆ เข้าสู่ระดับความเงียบขั้นลึกที่สุด ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที
พริบตาเดียว สสารเล็กๆ ดูเหมือนว่าจะก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่าในความมืดมิด เกิดเส้นสีเทามืดมิดนับไม่ถ้วนเชื่อมต่อกัน เส้นเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายสายพันกันยุ่งเหยิงไปหมด มันเหมือนเส้นกล้ามเนื้อที่ดูซับซ้อน ทั้งดูสวยงามและน่าตกใจในคราเดียวกัน
ราวกับว่ามันคือสัญญาณอย่างหนึ่ง จากนั้นเส้นเหล่านี้ไม่นานก็เริ้มแพร่กระจายออกไปรอบด้านอย่างช้าๆ รูปร่างที่สมบูรณ์ของนิ้วเท้าค่อยๆ ถูกสร้างขึ้น ในไม่ช้าก็เกิดรูปเท้าทั้งเท้า แล้วก็ขาทั้งสองข้าง และเป็นรูปร่างกายทั้งร่าง
ระหว่างเส้นเหล่านั้นค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงของความสว่างสไวและความมืดมิด เส้นทึบเริ่มเปลี่ยนเป็นดูอิ่มเอิบและมีมิติ ราวกับว่าภาพสองมิติกลายเป็นภาพสามมิติ
ในขณะเดียวกันเริ่มปรากฏให้เห็นรายละเอียดส่วนต่างๆ ให้เห็นมากขึ้น เฉินโจวอี้มองเห็นเส้นเลือดระหว่างกล้ามเนื้อ มองดูปลายประสาทต่างๆ รวมถึงเนื้อเยื่อและน้ำเหลือง
ในตอนท้ายของความฝัน ขอบเขตของการรับรู้เริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เขามองเห็นหัวใจและปอด มองเห็นกระดูกสันหลังและซี่โครง……