px

เรื่อง : รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ ( 末世虐杀游戏最新章节 )
ตอนที่ 19 คนเถื่อนทรงพลัง


ตอนที่ 19 คนเถื่อนทรงพลัง

 

            ตอนกลางคืนหลังจากที่เปิดแผงคุณสมบัติดู เฉินโจวอี้ก็พบว่าประสบการณ์ในครั้งนี้ กลับไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย เขาพบว่าความตั้งใจของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีก 0.2 จุด ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 11.2 จุด

            เพียงแค่ถ้าเทียบกับคุณสมบัติด้านความตั้งใจแล้ว เขาต้องการร่างกายที่แข็งแรงมากกว่า

            เขาไม่อยากจะคิดถึงตอนที่ได้พบกับคนเถื่อนอีกครั้ง เขาก็คงวิ่งหนีเอาชีวิตรอดชนผู้คนสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันไร้หัว ต้องมาเอาชีวิตแขวนไว้กับโชคชะตาและอารมณ์ของศัตรู

            ในคืนนี้ เขาตั้งใจมากขึ้นกว่าทุกที มีความพยายามมากขึ้นกว่าทุกครั้ง

            ไม่ว่าจะวิชาดาบ สามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกาย หรือการเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกทั้งหมดแล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายและพลังกายและใจของเขาถูกระบายออกไปเกือบทั้งหมด

            แต่ว่าขณะที่รอให้พลังกายและใจของเขาค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ เขาก็นอนลงบนเตียงแล้วเข้าสู่มิติหมอกสีเทาอีกครั้ง

            เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ร่างกายของเขาตอนอยู่ที่นี่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

            ถึงแม้ว่าจะยังคงรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนภาพลวงตา แต่กลับเริ่มให้ความรู้สึกถึงผิวสัมผัสของจริงขึ้นมาบ้าง ขณะเดียวกันต้นไม้ต้นเล็กนั่นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย มันสูงขึ้นสองสามนิ้ว มิติดูเหมือนจะมั่นคงขึ้นมาไม่น้อย

            แต่มันก็เป็นแค่กิ่งก้านเล็กๆ ไม่มีใบ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อความแข็งแกร่งของเขามากมาย

            เขามองไปยังใบไม้แห่งความทรงจำของวันนี้ ไม่นานจิตของเขาก็เข้าไปสู่ด้านใน

            เขาเลือกความทรงจำช่วงที่ได้พบกับคนเถื่อน ตอนที่จิตของเขาเข้าไปสิงอยู่ในร่างของคนเถื่อนนั้น ความรู้สึกที่สุดจะบรรยายอย่างหนึ่งเกิดขึ้นโดยปริยาย

            แข็งแกร่งมาก! แข็งแกร่งเกินใครเทียบ!

            ร่างกายเต็มไปด้วยพลังที่ดูเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ เท้ายืนผงาดอยู่ที่พื้นราวกับกำลังจะลอยขึ้น

            ยิ่งไปกว่านั้น

            มันเหมือนกับฤดูร้อนหลังจากช่วงพายุฝนฟ้าคะนองผ่านไป ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ในหูของเขาเต็มไปด้วยเสียงน้อยใหญ่อื้ออึงไปหมด จมูกดูเหมือนจะได้กลิ่นที่ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น วิสัยทัศน์ในการมองเห็นดูสว่างขึ้นมา การสัมผัสของผิวหนังมีความไวมากเช่นกัน

            เขาสัมผัสแค่ไม่กี่วินาที ข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านี้ ทำให้เฉินโจวอี้ตาลาย วิงเวียนศีรษะ จิตของเขาจึงจำเป็นต้องถอยออกจากร่างนี้

            ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่และรู้สึกตกใจ นี่ใช่คนเถื่อนใช่ไหมเนี้ย?

            แน่นอนว่าการที่จะเป็นคนเถื่อนที่สามารถฆ่าโจวฉ่าวเฟิงได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางกระบวนการปิดล้อมของเหล่าตำรวจและชาวยุทธที่ติดอาวุธครบมือ มันจะต้องไม่ใช่คนเถื่อนธรรมดาอย่างแน่นอน

            ……

            เวลาในมิติแห่งความทรงจำไหลไปอย่างช้าๆ ในไม่ช้าก็มาถึงช่วงเวลาที่ชายวัยกลางคนกำลังต่อต้านคนเถื่อน

            เขารู้สึกว่าอาการวิงเวียนศีรษะของเขาหายดีแล้ว เฉินโจวอี้จึงลังเลว่าจะเข้าไปสิงร่างคนเถื่อนอีกรอบดีไหม

            เขาอยากจะสัมผัสสักนิดว่าตอนที่คนเถื่อนต่อสู้นั้น กล้ามเนื้อของเขามีการออกแรงอย่างไร

            แต่ว่า สุดท้ายแล้วมันก็คือการฆ่าคน เทียบได้กับการฆ่าคนที่โหดร้ายทารุณ

            หัวของชายวัยกลางคนคนนี้แตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ สมองปลิวไหลกระเด็นออกมา

            ถ้าหากนี่เป็นเพียงภาพยนตร์ เขาสามารถกินป๊อปคอร์นไปด้วย พลางดูมันอย่างไม่กระพริบตาไปด้วยได้ จิตใจคงไม่หวั่นไหวเช่นนี้

            แต่นี่คือความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย ชายกำยำวัยกลางคนคนนี้ตายต่อหน้าต่อตาเขา ตายอย่างน่าอนาถ

            แต่ในเวลานี้เขายังอยากจะเข้าสิงร่างกายของชายเถื่อน สัมผัสความรู้สึกที่ว่า 'ตัวเอง' ฆ่าเขาให้ตายได้อย่างไร ใช้กำปั้นทุบลงที่หัวของเขาจนแตกละเอียดได้อย่างไร

            ในใจของเขาพยายามขัดแย้งกันอยู่พักหนึ่ง พอเห็นความทรงจำการต่อสู้ในช่วงนั้นเขาจึงเข้าไป

            ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้แล้ว

            วินาทีต่อมา จิตของเขาเข้าสิงยัง…...ร่างของชายวัยกลางคน

            ร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าเฉินโจวอี้มาก อย่างน้อยๆ น่าจะอยู่ในมาตรฐานของชาวยุทธฝึกหัด แต่หลังจากที่เคยสัมผัสถึงร่างกายของคนเถื่อน ร่างกายแบบนี้กลับทำให้เขารู้สึกถึง 'ความอ่อนแอ' อย่างผิดปกติ

            ก่อนเกิดโศกนาฏกรรม เขาจับไม้กวาดไว้แน่น แรงวิ่งผ่านกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนอยากจะใช้ท่า 'ดาบ'

            แต่ว่าความเร็วของคนเถื่อนคนนั้นช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน เร็วจนเกินกว่าความสามารถในการตอบสนองของเขา แค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น จู่ๆ ก็มีลมกรรโชกแรงพัดเข้ามาที่ใบหน้าของเขา ทันใดนั้นเองกำปั้นก็พุ่งมาจากที่ไกลๆ แล้วทุบลงตรงกลางหัวของเขาด้วยแรงอันมหาศาล

            เฉินโจวอี้รู้สึกแค่ว่าได้ยินเสียง 'ปัง' ดังขึ้น ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำสนิท จิตของเขาหลุดออกมาจากร่างชายวัยกลางคนทันที

            ถ้าหากเขารู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจล่ะก็ ตอนนี้เขาประเมินไว้ว่ามันน่าจะเต้นแรงมาก

            การสัมผัสประสบการณ์ความตายไม่ใช่เรื่องดี ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฉบับเบาๆ ไม่ได้อยู่ในความตายที่แท้จริง แต่ก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

            เขาย้อนความทรงจำกลับมาอีกครั้ง ย้อนไปยังความทรงจำช่วงก่อนหน้านี้

            ในครั้งนี้ เขาเลือกเข้าไปในร่างของคนเถื่อน เพราะว่าตัวเขาเองลองตายแทนมาหนึ่งครั้งแล้ว ครั้งนี้ความรู้สึกผิดของเขาลดลงไปมาก ไม่ได้มีอุปสรรคในจิตใจมากมายเท่าไร

            ……

            มองไปยังศพมากมายที่อยู่บนพื้น เฉินโจวอี้ออกมาจากร่างของคนเถื่อน เขาสงบสติอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายของตัวเองไปสักพัก ในใจรู้สึกผิดหวังขึ้นมาบ้าง

            วิธีการใช้แรงของคนเถื่อนค่อนข้างหยาบ ยังอยู่แค่ในระยะเริ่มต้น เทียบกับคนทั่วไปเขาอาจจะเป็นผู้ที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน มีการออกแรงที่เข้มข้นกว่า แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์

            ลองคิดดูมันก็ใช่ ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นแค่ยุคชนเผ่าดั้งเดิม ทักษะและประสบการณ์การถูกสรุปมาจากรุ่นสู่รุ่นในระหว่างกระบวนการล่าสัตว์ และอีกด้านหนึ่งมาจากความรู้องค์รวมในยุคของข้อมูลข่าวสาร

            ที่สำคัญที่สุดก็คือโลกที่แตกต่างแสดงพลังเหนือธรรมชาติออกมา ในขณะที่โลกมนุษย์นั้นแสนจะธรรมดา สภาพแวดล้อมของทั้งสองโลกไม่เหมือนกัน ทำให้พวกเขาทำได้แค่แสวงหาทักษะ ไม่ได้เหมือนโลกมนุษย์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้อย่างจริงจัง

            แต่ว่าสมรรถภาพทางกายที่น่ากลัวของเขากลับเติมเต็มได้ทุกอย่าง ก็เหมือนคำพูดนี้ที่ว่า‘สิบทักษะก็ไม่อาจต้านทานผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งได้’ เมื่อก่อนเฉินโจวอี้เคยได้ยินมาแต่ไม่เคยได้สัมผัสอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงจะได้รับรู้ถึงพลังอันน่ากลัว

            นั่นมันสามารถบดขยี้ทุกสิ่งได้จริงๆ

            ......

            วันต่อมา เมื่อเมืองตงหนิงคลื่นลมสงบลง  ร้านอาหารของบ้านเขากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง

            และเขาก็ต้องเข้ารับการทดสอบรายเดือนครั้งแรกหลังจากที่เขาขึ้นชั้น ม.6

 

            ปัจจุบันสภาพจิตใจของเขามั่นคงแล้ว พอข้อสอบวิชาหลักภาษาถูกส่งมา เขาก็ตอบคำถามทันที ปลายปากกาฝนลงบนกระดาษคำตอบส่งเสียงดังครืดๆ นอกจากข้อที่ให้เติมคำลงในบทกลอนไม่กี่บทที่เขาไม่สามารถเว้นว่างได้แล้ว เขาก็เขียนตอบลงบนกระดาษคำตอบจนเต็มหน้า

            สอบได้คะแนนดีหรือไม่ดีเขาไม่รู้ อย่างน้อยเฉินโจวอี้ก็ค่อนข้างพอใจกับมัน

            วิชาที่สองซึ่งเป็นวิชาคณิตศาสตร์นั้นค่อนข้างยากมากสำหรับเฉินโจวอี้ เขาเลือกทำข้อที่เขาทำได้ให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยทำข้อยาก จนกระทั่งหมดเวลาสอบ เหลืออีกสองข้อที่เขาไม่ได้เขียนอะไรลงไป

            หลังจากนั้นก็เป็นการทดสอบวิชาภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์พื้นฐาน

            หลังจากรอให้สอบเสร็จ เฉินโจวอี้รู้สึกว่าทั้งตัวแทบทรุดลงไป

                        "เฉินโจวอี้ เธอสอบเป็นอย่างไรบ้าง?" หลังจากเดินออกมาจากห้องเรียน ทันใดนั้นจางเซียวเยว่ก็รีบเดินเข้ามาหาเฉินโจวอี้พลางพูดขึ้น

            มองไปยังจางเซียวเยว่ที่มีรอยยิ้มสะกดใจ เฉินโจวอี้อดที่จะนึกถึงเมื่อวันก่อนที่เขาจับมืออันอ่อนนุ่มเล็กๆ ของเธออย่างอดไม่ได้ ยิ่งนึกใจของเขาก็เต้นแรงตึกตักๆ

            แต่ทว่าบนใบหน้าของเขากลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา จากการ “ฝึกฝน” มาตลอดหนึ่งเดือนนี้ ทำให้เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิง อย่างน้อยๆ สีหน้าของเขาก็ยังแสดงความเรียบเฉยออกมาได้บ้าง

                        “คะแนนของฉันคงคาดหวังอะไรมากไม่ได้แล้วแหละ”

            มีเนื้อหาอีกมากมายที่เขายังเรียนไม่ทัน ไม่ใช่แค่ตั้งใจในหนึ่งเดือนแล้วจะสามารถเติมเต็มได้หมด

                        “แต่ว่า นายน่าจะสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้อยู่นะ?” จางเซียวเยว่เงยหน้ามองเฉินโจวอี้ด้วยรอยยิ้มชวนมอง สายตาของเธอแฝงความหมายบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้

                        “อืม ถ้าไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาน่ะนะ”

                        “แล้วเธอหล่ะ?”

                        “ยังไม่รู้เลย แต่ว่าฉันจะสมัครมหาวิทยาลัยจงไห่ไว้”

            ทั้งสองคนพูดคุยกันเหมือนจะสนิทสนมรู้ใจกัน ทำให้ซุนซินที่อยู่ข้างๆ ตกตะลึง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจเขาเลย

            ที่ป่าเล็กๆ ด้านหน้า มีคนกำลังยืนล้อมรอบกันอยู่ ดูเหมือนจะทะเลาะกัน

            เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจอะไร ก็เหมือนกับโรงเรียนมัธยมตงหนิงที่เป็นโรงเรียนมัธยมปลายธรรมดาแบบนี้ มีการดูแลจัดการที่หละหลวม การทะเลาะเบาะแว้งกันถือเป็นเรื่องธรรมดามาก เห็นจนเป็นเรื่องชินไปซะแล้ว

            วัยรุ่นที่มีฮอร์โมนพลุ่งพล่านก็แบบนี้แหละ แค่มีอะไรมากระทบกระทั่งนิดหน่อยก็ระเบิดอารมณ์แล้ว

                        “คนที่ถูกตีอยู่ดูเหมือนจะเป็นจ้าวอี้เฟิงนะ” ซุนซินกระซิบ

            ทันใดนั้นเฉินโจวอี้ก็หยุดฝีเท้าตัวเองทันที

            จางเซียวเยว่พอได้ยินว่าเป็นนักเรียนในห้องของตัวเอง ก็รีบตะโกนเสียงดัง "หยุดเลยนะ ไม่ต้องตีกันแล้ว พวกนายอยู่ห้องไหน ฉันจะไปฟ้องครูแล้วนะ!"

                        “โอ้โห คนสวยจะฟ้องครูเหรอ ฉันกลัวจังเลย!” ทั้งสามคนนั้นหยุดตี ชายร่างสูงคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำ เขาลูบบนผมที่กำลังไหลปรกลงมา แล้วพูดขึ้นอย่างไร้ยางอาย

            เฉินโจวอี้มองไปยังใบหน้าที่ทั้งอายทั้งไม่พอใจของจางเซียวเยว่ ในใจแอบส่ายหัว เผชิญหน้ากับคนแบบนี้ คุยกันด้วยเหตุผลก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งเธออ่อนแอมากเท่าไร ก็จะยิ่งถูกรังแกมากยิ่งขึ้น มีแค่กำปั้นที่หนักกว่าเท่านั้นถึงจะโน้มน้าวเขาได้

            เมื่อก่อนเขารู้ความจริงข้อนี้ดี แค่เขายังไม่มีกำปั้นที่หนักกว่าก้เท่านั้น แต่ตอนนี้เขามีแล้วนี่

            เขาจึงรีบพุ่งเข้าไป

            ความเร็วเร็วจนทำให้คนตกใจ แค่ก้าวเดียวก็พุ่งเข้าไปในฝูงชน

            ชายร่างสูงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ก็ถูกมือของเฉินโจวอี้ซักเข้าไปเบาๆ เขาเซถอยหลังไปไม่กี่ก้าว จากนั้นล้มก้นจ้ำเบ้าลงที่พื้น

            ชายวัยรุ่นอีกสองคนพึ่งจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ พวกเขารีบพุ่งเข้ามา เตรียมรวมแรงกันจัดการเฉินโจวอี้

            น่าเสียดายที่พวกเขาเผชิญหน้ากับคนที่เสมือนเป็นชาวยุทธฝึกหัด การต่อต้านเช่นนี้ช่างไร้ความหมายเหมือนกับการที่เด็กน้อยพยายามจะต่อต้านผู้ใหญ่

            เขาเอื้อมมือไปคว้าแขนของทั้งสองคนนั้น แล้วออกแรงดึงอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ทั้งสองคนนั้นพุ่งลงไปที่พื้น ล้มหน้ากระแทกลงไป

                        “แกรอฉันก่อนเถอะ”

                        “ถ้ากล้าก็มาสิวะ!”

                        ……

                        “ขอบใจ!” จ้าวเฟิงที่จมูกเปื้อนเลือดและหน้าบวมลุกขึ้นยืน มองดูเฉินโจวอี้ แล้วมองไปยังจางเซียวเยว่ผู้น่ารัก พลางพูดขึ้นอย่างงุ่มง่าม

                        “พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันหรือไง?” เฉินโจวอี้พูดขึ้น

                        “จ้าวอี้เฟิง ทำไมพวกเขาถึงตีนาย?” จางเซียวเยว่ถาม

                        “มะ…...ไม่มีอะไร!” ปากของเขาขยับ เขาพูดขึ้นด้วยความโมโห

                        ……

            สุดท้ายแล้วจ้าวอี้เฟิงก็ไม่ได้พูดว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร ไม่นานเขาก็เดินขากะเผลกจากไป

            เฉินโจวอี้ได้แต่มองดูเงาของเขาที่เดินจากไปอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่ากำลังมองเห็นตัวเองเมื่อก่อน

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน