px

เรื่อง : Castle of Black Iron
Chapter 431: ปัญหาจากคนที่คุ้นเคย


Chapter 431: ปัญหาจากคนที่คุ้นเคย
หลังจากที่ดูดซับพลังงาน Seven-Strength Fruit ของไฮยีน่า 7 ผล, Fruit of Brilliance และ Fruit of Judgment ทั้งหมดแล้ว  จางเทีย ก็ได้ออกมาจาก Castle of Black Iron ในวันที่เจ็ด

Seven-Strength Fruit ของไฮยีน่านั้นเป็น Seven-Strength Fruit ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ จางเทีย กินมา  สำหรับผลไม้ของสิ่งมีชีวิตระดับ 1 แล้ว Seven-Strength Fruit ที่ได้มานี้นั้นแข็งแกร่งกว่าของที่ได้จากหมาป่าและหนูปิศาจมาก  หลังจากที่ดูดซับพลังงานมันทั้งหมดแล้ว  จางเทีย รู้สึกว่าการระเบิดของแรงนี้เพิ่มขึ้นกว่า 40%

นี่คือการก้าวหน้าที่น่ากลัว  เขาสามารถโยนหอกได้ด้วยความเร็ว 1024 ม./วินาทีซึ่งมากกว่าความเร็วเสียง 3 เท่า  ระยะทำการสูงสุดก็ยังเกินกว่า 1000 ม.

ตามที่ เฮลเลอร์ บอกมา นอกซะจากว่านักรู้ระดับ 10 บางคนที่มีความสามารถพิเศษแล้ว  ด้วยความเร็วระดับนี้ จางเทีย มีโอกาสมากกว่า 98% ที่จะจัดการนักสู้ระดับ 10 ขั้น 4 รึ 5 ดาวได้ใน 100-200 ม.

จากนี้เป็นต้นไปแล้วนักสู้ระดับ 10 ส่วนมากไม่ใช่อันตรายสำหรับ จางเทีย    เขาสามารถฆ่านักสู้ระดับ 10 เกือบทุกคนได้ด้วยการโยนหอก  จางเทีย ได้ถามกับตัวเอง – “ ถ้าข้าไปเจอผู้ควบคุมสัตว์ในตอนนี้ ข้าคงจบการต่อสู้ด้วยการโยนหอกออกไปแค่ 1-3 อันเท่านั้น “

 

“ คนนั้นอาจจะหลบหอกอันแรกของข้าไปได้แต่หอกที่ตามออกมาอีกนั้นสามารถแทงทะลุเขาได้ง่ายๆ ข้าสามารถโยนหอกได้ไปเรื่อยๆแต่เขาน่ะจะหลบได้ด้วยความเร็วแบบนั้นไปได้ตลอดรึเปล่า ? แน่นอนว่าคงทำไม่ได้เพราะมันเกินความสามารถของนักสู้ระดับ 10 “

จางเทีย รู้ว่าความสามารถนี้มันน่ากลัวอย่างมาก  หลังจากที่พลังสายเลือดเข้ากับ Seven-Strength Fruit แล้ว การโยนของเขานั้นก็ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นกลายเป็นทักษะที่ร้ายกาจ

แล้วการใช้หอกต้องเสียอะไรบ้าง ? แล้วการบ่มเพาะไปจนถึงระดับ 10 ต้องเสียอะไรบ้าง ? หลังจากที่คิดถึงความต่างแล้ว จางเทีย ก็รู้ว่าทักษะการโยนของเขานี้น่ากลัวแค่ไหน

ทักษะนี้เตือนให้ จางเทีย รู้ถึงอาวุธที่ร้ายแรงก่อนภัยพิบัติซึ่งใช้ออกมาด้วยความเร็วสูงและแม่นยำอย่างพวกปืนไรเฟิล  จางเทีย รู้สึกเหมือนมีปืนไรเฟิลอยู่กับตัว

ก่อนภัยพิบัติ หลังจากฝึกสักพักแล้วเด็กสามารถที่จะฆ่าคนที่แข็งแกร่งได้ด้วยอาวุธแบบนั้น  จางเทีย เองก็ด้วย

บางทีในการต่อสู้ระยะใกล้เพราะระดับที่ต่ำและพลังฉีต่อสู้ที่อ่อนแอกว่า  จางเทีย อาจจะไม่สามารถที่จะเอาชนะนักสู้ระดับ 10 บางคนได้  เหมือนกับที่นักสู้ระดับ 10 ได้ทำลายพลังฉีต่อสู้ของเขาทิ้ง  ตราบใดที่ระยะห่างมันพอเหมาะ  จางเทีย ก็จะสามารถโยนหอกออกไปได้และจบการต่อสู้ได้ทันที  มันไม่ได้มีกฎว่าหอกนี้ไม่สามารถเอาไปใช้ได้โดยให้แค่นักสู้ระดับ 10 ทำลายพลังฉีต่อสู้ของเขาอย่างเดียว !

จางเทีย รู้ดีถ้าเขาต้องการที่จะแข็งแกร่ง  เขาไม่ต้องมีส่วนดีทุกด้านก็ได้  เขาแค่พัฒนาส่วนที่ได้เปรียบอยู่แล้วจนกระทั่งมันเหนือกว่าทุกคน  ในตอนที่เขาไปถึงระดับนั้นได้ เขาสามารถเอาชนะได้แม้ว่าศัตรูจะมีสักพันคน  ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งรึอัศวินในตำนานก็สามารถตายได้ด้วยหอกอันเดียว  ถ้าเป็นแบบนั้น จางเทีย จะถือว่าประสบความสำเร็จ

นอกจากแรงที่ Seven-Strength Fruit เอามาให้เขาแล้ว เขายังได้สกิลใหม่จาก Fruit of Judgment  สกิลซ่อนตัว

ผลของสกิลนี้ทำให้สนามพลังฉีของ จางเทีย น่ะอ่อนแอลง 1 ระดับ  ด้วยสกิลนี้แล้ว จางเทีย สามารถซ่อนตัวจากผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงหน้าได้  มันก็คล้ายๆกับการปลอมตัวเป็นหมูเพื่อจะไปกินเสือ  เขาสามารถซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้เพื่อไม่ให้คนอื่นสนใจ

สกิลนี้ทำงาน 6 ชม. ในตอนที่ใช้มันแล้วพลังต่อสู้ของ จางเทีย จะไม่ได้อ่อนแอลง ตามที่ เฮลเลอร์ ได้บอกมาหลังจากที่ใช้มัน จางเทีย เหมือนกับนักสู้ระดับ 4 และ 5 ในสายตาพวกคนที่แข็งแกร่ง

จางเทีย พอใจอย่างมากกับสกิลนี้ ตอนนี่ จางเทีย ได้กิน Fruit of Judgment   ไปสามผลแล้วและได้รับสกิลมาสามอย่าง – โจมตี,หนี,และซ่อนตัว  ดังนั้น จางเทีย จึงคาดหวังกับสกิลต่อไปที่เขาจะได้มา

Fruit of Brilliance ที่เขาได้มานั้นมีพลังวิญญาณของ ดอร์สัน และผู้ควบคุมสัตว์  ไม่นานหลังจากที่กินไป พลังวิญญาณของ จางเทีย ก็ได้เพิ่มขึ้น 160 เท่าจากดั้งเดิม  ช่างเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า !

จากการได้พลังนี้มา จางเทีย มีคำถาม

ก่อนหน้านี้ จางเทีย รู้สึกว่าการเติบโตของพลังวิญญาณนั้นดูเหมือนจะมาถึงทางตัน  เขารู้สึกว่าเขาสามารถที่จะทำลายเพดานขึ้นไปได้ถ้าพลังวิญญาณสูงขึ้นมาอีกนิดแต่แม้ว่าเขาจะเพิ่มพลังวิญญาณไปมากระหว่างช่วงนี้โดยเฉพาะสองสามวันที่ผ่านมาแต่เขาก็ทำลายเพดานนั้นไม่ได้ ดังนั้นแล้ว จางเทีย จึงอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาไม่สามารถทำลายเพดานนั้นได้ด้วยการเพิ่มพลังวิญญาณ   จางเทีย สงสัยว่าทำไมเขาต้องเจออุปสรรคแบบนั้น  ไม่รู้ว่าเพราะพลังวิญญาณได้เพิ่มมาถึงทางตันรึระดับของเขายังไม่สู้พอ  เขาไม่รู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังอุปสรรคนั้น ระหว่างที่ทำการฝึกฝน ไม่มีใครบอกเขาว่าทำไมรวมถึง เฮลเลอร์ ด้วย   แม้ เฮลเลอร์ จะบอกเขาได้ถึงน้ำหนักของฝุ่นใน Castle of Black Iron แต่ เฮลเลอร์ ก็ไม่อาจช่วย จางเทีย บ่มเพาะได้

“ การบ่มเพาะนี้คือส่วนสำคัญที่สุดของชีวิต  ในการบ่มเพาะแต่ละคำถามน่ะเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้และผลลัพธ์มากมายซึ่งมันถือ่วาเป็นตัวเลือกที่ต่างไปกับผลลัพธ์ต่างๆที่ต่อเนื่องกัน  มันนำทางไปถึงความหมายของชีวิต ถ้าข้าบอกคำตอบท่าน ข้าจะกลายเป็นทิศทางของชีวิตท่านและทำลายความเป็นไปได้อื่นๆ  ถ้าเป็นแบบนั้นท่านจะหมดอิสระในการเลือก  นี่น่ะขัดกับเป้าหมายและความหมายของการมีอยู่ของข้า ! ถ้าท่านคิดทิศทางด้วยตัวเอง ข้าสามารถเป็นผู้ช่วยที่ดีได้แต่ข้าไม่สามารถกำหนดเส้นทางของท่านได้  ! “- เฮลเลอร์ บอกออกมา

จางเทีย เข้าใจมัน ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลเกี่ยวกับคำถามอีกต่อไป  ดูจากบุคลิกของ จางเทีย แล้ว ถ้าเขาหาคำตอบไม่ได้ เขาก็จะไม่เสียเวลาในการหามัน 

แต่ข้อดีของการเพิ่มพลังวิญญาณโดดเด่น

ในจิตใจของ จางเทีย   พลังวิญญาณสีทองได้แผ่ขยายออกไปอีก  มันเหมือนกับจักรวาลที่หมุนวนในท้องฟ้า  ที่ใจกลางนั้นมีรูน 3 อันที่ จางเทีย ได้รับมา  ด้านล่างพลังวิญญาณนั้นคือเจดีย์

ในหลายวันที่ผ่านมา จางเทีย ได้สร้างผนึกขึ้นมาอีก 2 อันในชั้นหนึ่ง  จางเทีย เลือกอัญเชิญและเครื่องราง  ตามมาตรฐานของนิกายป่าเถื่อนแล้ว  จางเทีย น่ะถือว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของนิกายและมีสิทธิที่จะบอกคนอื่นว่าเขาเป็นผู้ควบคุมสัตว์แล้ว

ความต่างอย่างเดียวของ จางเทีย กับผู้ควบคุมสัตว์คือ จางเทีย น่ะยังไม่มีสัตว์เลี้ยง

ก่อนหน้านี้ จางเทีย ต้องการที่จะลองสกิลควบคุมสัตว์ระดับ 0 แต่หลังจากที่คิดถึงคำเตือนโครงกระดูกในถ้ำแล้ว  จางเทีย ก็ตัดสินใจว่าจะลองมันในตอนที่เขาเปิดเจดีย์ชั้นที่สองได้

หลังจากที่สร้างผนึก 2 อันในขั้นที่หนึ่ง  จางเทีย ก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและออกจาก Castle of Black Iron มา

จางเทีย ได้แบกซองหนังที่เอวซึ่งมีลูกดอกกว่า 20 อัน แม้ว่าลูกดอกเหล่านั้นจะอ่อนแอกว่าหอกและหน้าไม้แต่ จางเทีย ก็ยังสามารถใช้มันฆ่านักสู้ระดับ 10 ขั้น 2 ดาวและคู่ต่อสู้มากมายในระยะ 200 ม.ได้ง่ายๆ

นอกจากซองลูกดอกแล้ว  จางเทีย ก็ยังมีหอกสั้นอีกสองอัน

จากนี้ จางเทีย ได้ตัดสินใจ – “ ข้าจะไม่เผยความสามารถในการโยนนอกจากตอนวิกฤต ไพ่ตายควรจะน่าทึ่ง ข้าไม่สามารถแบกหอกไปไหนมาไหนได้และให้ทุกคนรู้ว่าข้าสามารถฆ่านักสู้ระดับ 10 ง่ายๆไม่ได้ ไม่งั้นแล้วถ้าคู่ต่อสู้ได้ส่งนักสู้ระดับ 10 รึ 11 มาฆ่าข้า งั้นมันคงมีปัญหา ! แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังต้องพักผ่อนในตอนเย็นเพื่อรักษาชีวิต งั้นข้าคงไม่ต้องพูดถึง “

นักสู้ระดับ 7 ที่สามรถฆ่านักสู้ระดับ 10 ได้ง่ายๆ  ช่างเป็นข่าวที่น่าตกใจแต่หลังจากที่คิดแบบนั้นได้ 2 วินาที  จางเทีย ก็ได้เลี้ยวเข้าไปในถ้ำ

เมื่อมาถึงทางเข้าถ้ำ จางเทีย ได้นั่งยองๆลงเพื่อเช็คหินและฝุ่นที่พื้น

ระบบการป้องกันของเขาโดนคนอื่นทำลาย มันบ่งบอกว่ามีคนมาถึงที่นี่

“ มันบังเอิญรึเปล่า ?” - จางเทีย ถามกับตัวเองก่อนจะมองเข้าไปในถ้ำ เพราะไม่มีร่องรอยของไฟรึถุงนอนข้างใน  จางเทีย รู้ว่าคนที่มาใหม่นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่นาน

แน่นอนว่าคนที่มาใหม่อาจจะไม่ได้นอนในถ้ำด้วย สำหรับคนที่แข็งแกร่งแล้วที่นี่ก็พออยู่ได้  พวกเขาแค่ต้องทำสมาธิและทำการบ่มเพาะทั้งคืนแต่ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่นานๆ เพราะการนั่งนานๆนั้นพวกเขาต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้าง น่าเสียดาย จางเทีย ไม่พบเบาะแสแบบนั้นเลยในถ้ำ

“ ในป่านี้อย่างน้อยก็เป็นไปได้ว่าจะมีคนแอบตามข้ามาถึงถ้ำ “

“ ข้าโดนคนเจอมากขนาดนั้นเลยเหรอ ? “ – ในตอนที่เขาคิดแบบนั้นสีหน้าของเขาก็หม่นลง

“ บัดซบ ! “ - จางเทีย ด่าออกมาเบาๆ – “ ไม่ใช่ว่าข้าฆ่าไอ้บัดซบจากเกาะงูเวทย์ไปแล้วรึไง ? แม้ว่าจะส่งคนมาเพิ่มแต่มันก็ไม่น่าจะเร็วแบบนี้ได้ อีกอย่างแล้วคนที่มาใหม่หาข้าเจอง่ายแบบนี้ได้ไง ? “

“ พวกเขาเป็นเพื่อนกับผู้ควบคุมสัตว์รึเปล่า ? “

แสงอันเย็นชาโผล่มาที่ตาของ จางเทีย    จางเทีย คิดสักพักก่อนจะใส่ถุงมือ  นอกจากพลังป้องกันแล้ว ถุงมือนี้ยังทำให้มือของเขายืดหยุ่นมากกว่าเดิม...
หลังจากที่สังเกตสถานการณ์ด้านนอกถ้ำแล้ว จางเทีย ก็ได้ยืนยันว่าข้างนอกไม่มีการซุ่มโจมตี ดังนั้นเขาจึงออกจากถ้ำไปและเร่งความเร็วไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้

แค่ครึ่งชั่วโมงในหุบเขาที่ห่างจากถ้ำไป 40 กม. ในที่สุด จางเทีย ก็รู้ว่าใครไล่ตามเขา

ไม่นานหลังจากที่ จางเทีย มาถึงหุบเขา เขาก็รู้สึกว่าแหวนเขานั้นอุ่นขึ้นมาซึ่งบ่งบอกว่าเขาโดนคนตาม  ใจเขาเต้นรัวและหยุดวิ่งทันที

ในตอนที่ จางเทีย หยุด  เขาได้เห็นคนสองคนยืนห่างออกไป 200 ม.ที่ด้านหน้าและหลัง พวกนี้กำลังกันทางเขาอยู่

สนามพลังฉีของทั้งคู่แข็งแกร่ง อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่า ดอร์สัน   คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จางเทีย ใส่หน้ากากทองแดง  เมื่อเห็นแบบนั้นใจของ จางเทีย ก็เต้นรัวเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมา  เมื่อรู้ว่าพวกนี้ไม่ใช่นักสู้ระดับ 10 รึ 11   จางเทีย ก็เริ่มมั่นใจขึ้น

“ เจ้าต้องการอะไร ? ปล้นเหรอ ? “ - จางเทีย ถามออกมาแล้วจับหอกมั่นตั้งใจที่จะป้องกัน

“ เจ้าคือ ปีเตอร์แฮมเพสเตอร์ รึเปล่า ?” - คนที่ยืนตรงหน้าถาม

คำถามของชายคนนั้นทำให้ จางเทีย ใจเต้น  จางเทีย พยักหน้าตอบ – “ ใช่ ข้าคือ ปีเตอร์แฮมเพสเตอร์ !  “

“ เราคือนักล่าที่เอสไชน์ได้จ้างมา ค่าหัวของเจ้าคือ 5000 ทอง เราจึงมาล่าเจ้า !  “

เมื่อได้ยินแบบนั้น จางเทีย ก็อึ้ง  เมื่อตระหนักได้ว่าชายคนนั้นกำลังจะโจมตี จางเทีย ก็รีบอุทานออกมา – “ เดี๋ยวนะ ข้ารู้ว่าข้าฆ่าคนในเอสไชน์และเป็นที่ต้องการแต่มันไม่ใช่แค่พันทองเองเหรอ ?  อีกอย่างแล้วพวกนั้นก็ไม่ได้ต้องการชีวิตก็แค่จับกุม ทำไมมันถึงเป็น 5000 ทองไปได้ ? “

 “ อย่ามาทำท่า ! “ – ผู้หญิงด้านหลังอ้าปากพูดซึ่งทำให้ จางเทีย ตะลึง – “ เจ้าฆ่านักล่าสองคนที่ตามจับเจ้าที่เนินเขาเทาอย่างโหดร้าย เจ้าลืมแล้วรึไง ? เพราะเรื่องนี้รางวัลจึงสูงขึ้นเป็น 5000 ทอง ! “

“ อะไรนะ ? ข้าฆ่านักล่าสองคนที่ตามจับข้า ?  ไม่มีทาง ! นอกจากเจ้าสองคนแล้วข้ายังไม่เจอนักล่าคนไหนตั้งแต่ที่ไปที่เนินเขานั่นเลย ! “ - จางเทีย อธิบายด้วยท่าทีจริงจัง – “ มันต้องเป็นเรื่องผิดพลาดแน่ๆ ! “

“ ผิดพลาด ? “ – ผู้หญิงฮึดฮัดออมาแล้วมองไปที่ถุงมือ จางเทีย – “ เราได้ตรวจสอบร่างของนักล่าแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยเกี่ยวกับบาดแผลพวกนั้น เมื่อเห็นถุงมือของเจ้า ในที่สุดข้าก็เข้าใจ ไอ้ชาติชั่ว  เจ้ารู้สึกเท่รึไงกับการควักหัวใจศัตรูด้วยกงเล็บของเจ้า ? วันนี้ข้าจะเอาหัวใจของเจ้าออกมาให้ดูเอง “

ในตอนที่ จางเทีย ได้ยิน เขาก็เข้าใจมันทันที – “ นักล่าสองคนนั้นคงเจอกับ ดอร์สัน และโดนฆ่า  ไอ้ห่านั่นทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้ข้าแม้จะตายไปแล้ว “

ด้วยความต้องการฆ่าจากทั้งสองคน  จางเทีย ปฏิเสธมันทันที่ เขาได้นึกถึงคำเตือนของ เคล   เผ่าหมีน่ะไม่ได้คุกคามได้ง่ายๆ – “ มีผู้แข็งแกร่งมากมายที่นี่  จากความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้แล้ว ข้าคงไม่มีสิทธิที่จะสู้กับเผ่าหมี แม้ว่าข้าจะฆ่าคนสองคนได้แล้วยังไงต่อ ? รางวัลจะเพิ่มเป็น 50000 ทองเหรอ ? จากนั้นก็จะมีนักล่าที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาตามล่าข้าอีกรึไม่ก็ข้าต้องหนีจากป่าน้ำแข็งหิมะในฐานะแพะรับบาปรึไง ? “

“ ต้องทำยังไง ?  ไอ้ห่า ดอร์สัน น่ะตายไปแล้วและกลายเป็นขี้ของพวกสัตว์อสูรไปแล้วด้วย ข้าไม่มีพยานมายืนยันด้วย “

ความคิดมากมายโผล่มาในหัวแต่ จางเทีย ก็ไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้

“เหี้ย ! “

“ ฮี่ม เจ้าไม่มีข้อแก้ตัวใช่มั้ย ? “ – เสียงของผู้หญิงนั้นเริ่มเย็นชา – “ งั้นก็ไปลงนรกซะ  !”

หลังจากที่พูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็พุ่งมาใส่ จางเทีย  ในเวลาเดียวกันเธอก็ได้ปรบมือของเธอปล่อยพลังฉีต่อสู้สีเงินใส่ จางเทีย โดยห่างจากเขาไป 10 ม......
 

รีวิวผู้อ่าน