Chapter 471: การมาของเทพ(I)
หนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะมีม่านสีเลือด ทุกอย่างนั้นทั้งโหดร้ายและไร้ปราณี ตอนนั้นทุกคนต่างก็ทุ่มเทกันอย่างเต็มที่
...
ชาบ่า กำดาบสั้นแน่นและตามนักสำรวจคนอื่นๆไปในสนามรบ
ด้ามจับของเขานั้นมีเชือกรัดเอาไว้ ตอนนั้นเชือกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ดังนั้นแล้วมันจึงลื่นอย่างมาก
ก่อนที่จะเข้าไปในสนามรบ ชาบ่า ได้ดื่มน้ำทั้งหมดของเขา
ตั้งแต่ที่อุโมงค์ได้ถล่มลงมาและมีแผ่นดินไหวเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นักสำรวจทุกคนต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
ชาบ่า อายุเพียง 18 ปี เขาก็เป็นเหมือนนักสำรวจทั่วไป เพราะพ่อของเขาเป็นนักสำรวจ เขาจึงเป็นนักสำรวจด้วย เขาไม่รู้ว่าแม่ของเขาเป็นใคร เพราะเขารู้สึกว่ามันเข้าท่า เขาจึงเลือกที่จะเข้าร่วมทีมนักสำรวจและมากับพ่อของเขาด้วย
พ่อของเขาได้จากไปเมื่อสองปีก่อน ก่อนที่จะตายความหวังสุดท้ายของพ่อคือเห็น ชาบ่า ได้ตั้งรกรากในเมืองหางานธรรมดาทำและแต่งงานแล้วใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา..
เขาไม่เข้าใจคำขอของพ่อจนอาทิตย์ที่แล้ว แม้ว่าเขาจะเข้าใจมันตอนนี้แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้ชีวิตแบบนั้นเพราะ ชาบ่า รู้ว่าเขาคงต้องตาย แม้ว่าเขาจะรอดไปได้ในวันนี้แต่เขาคงตายในวันพรุ่งนี้
ความสิ้นหวังแผ่กระจายออกไปในหมู่นักสำรวจ ซากนี้คือกรงขังและสุสานในที่มืดซึ่งกำลังฝังนักสำรวจทุกคนที่นี่
การเจอกับกองทัพที่แข็งแกร่งและถูกฝึกมาอย่างดีของพันธมิตรนั้นแค่เพียง 2 วันหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น นักสำรวจทุกคนต่างก็รู้ว่าพวกเขาคงออกจากสุสานแห่งนี้ไม่ได้...
ขุมนรกที่สิ้นหวังที่นักสำรวจต้องเผชิญ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มที่จะคลุ้มคลั่งออกมา
หนึ่งอาทิตย์ก่อนไม่มีนักสำรวจสักคนที่คิดถึงผลลัพธ์กับการสู้กับพันธมิตรแต่ตอนนี้นักสำรวจไม่ได้สู้แค่กับพันธมิตรแต่ยังต้องโจมตีโต้กลับเพื่อทวงคืนแหล่งน้ำด้วย
ตอนนั้นก็มีมือสากๆมาตบที่ไหล่ของ ชาบ่า
“ ชาบ่า ตามข้ามา ใจเย็นๆ วันนี้เราจะเป็นอิสระ ..” – มิลาน วัย 50 ปีผู้เป็นหัวหน้าทีมเล็กๆพูดขึ้นมา ในหลายวันที่ผ่านมาริมฝีปากของ มิลาน แตกเพราะการขาดน้ำ ตาที่เป็นประกายก็หายไป ตอนนี้เขาดูสิ้นหวังและหงุดหงิดสุดๆ
“ เรา...จะตายมั้ย ?” - เสียงแหบแห้งดังขึ้นมา เพื่อนในทีมอีกคนถามขึ้นมาซึ่งเขาแก่กว่า ชาบ่า 2 ปี
มิลาน ยิ้มและพูดด้วยท่าทีอ่อนแรง – “ ในตำนานนักสำรวจ ซากพวกนี้โดนสาป ก่อนภัยพิบัติที่แห่งนี้น่ะกลืนกินวิญญาณและเลือดเนื้อมานับไม่ถ้วน ตอนนี้มันเริ่มจะทำแบบนั้นอีกครั้ง เพราะพวกคนที่มาที่นี่รบกวนคนตาย พวกเขาต้องตายไปด้วย.. “
“ ข้า..ข้าไม่อยากตาย.. “ – บางคนคร่ำครวญออกมา
“ ไม่ต้องกังวล เราจะอยู่กับเจ้า มันคงไม่เป็นไรสักพัก ถ้าเราชนะ เราก็จะอยู่ได้ต่อ.. “ – มิลาน ปลอบใจตัวเองซึ่งดูสิ้นหวังมากกว่าเดิม
นักสำรวจได้ออกไปสู้กันทีละทีมๆ พวกเขาไม่ได้มีรูปแบบการโจมตี พวกเขาแค่ตามคนที่พวกเขาคุ้นเคยและหัวหน้าของพวกเขาไปหาที่ตาย
ถ้าพวกเขาต้องออกไปสู้หลังจากนี้ พวกเขาคงอ่อนแอเกินไปที่จะไปสู้ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ต้องสู้ในวันนี้เพื่อแก้ปัญหาทุกอย่าง ในสนามรบการโดนฆ่าอาจจะดีกว่าต้องมากระหายน้ำและหิวจนตาย
...
“ นี่มันคือการต่อสู้อันสิ้นหวังซึ่งไม่มีเกียรติเลยสักนิด ! “ – ที่ห่างออกไปในสนามรรบ เมื่อเห็นนักสำรวจนับหมื่นที่มารวมตัวกันห่างออกไปจากพันธมิตร 1 กม.ได้พุ่งมา โรสลาฟ ได้ถอนหายใจออมา – “ ไม่มีกำลังใจในกองทัพทั้งสอง ไม่มีกลุ่มไหนที่จะชนะ พวกเขาล้วนแต่ฆ่าเพื่อให้ตัวเองรอด ข้าคงไม่เข้าร่วมการต่อสู้เช่นนี้ ! “
“ น่าสงสารจริงๆ ! “ - วาจิด ถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปมองแคมป์พันธมิตรที่ห่างไป 5 กม.และส่ายหน้า – “ ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าคนนั้นอาจจะคือคนที่เราต้องการ ข้าไม่คิดว่า..”
“ ไม่ใช่เด็ก 17-18 ปีทุกคนที่จะทนรับความเครียดจากความเป็นความตายได้ อัจฉริยะหลายคนน่ะสุดท้ายก็เติบโตไม่ได้เพราะพวกเขาไม่อาจทนแรงกดดันได้ แม้แต่ทหารในพันธมิตรก็ยังทนความกดดันไม่ได้และคลุ้มคลั่ง ! “
“ บางทีเราคงคาดหวังกับเขามากเกินไป นั่นแหละที่ทำให้เราต้องรับความจริงในตอนนี้ ! “
“ หวังว่าเขาจะได้สติ! “
“ ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเอาเผ่าหมีใหญ่กลับไปอย่างปลอดภัย ชีวิตของพวกเขาและภารกิจนั้นเป็นของนายท่าน พวกเขาไม่ควรตายที่นี่โดยไม่มีเหตุผล ! “ – วาจิด หันกลับมาและมองไปยังนักรบเผ่าหมีใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
โรสลาฟ ได้พยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม
...
“ สั่งออกไป อาหารและน้ำของทหารแต่ละคนที่มาต่อสู้นั้นไม่ต้องส่งเข้ากองกลาง ! “ – เสียงของ แกนกู ในเต็นท์หลักดังขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำสั่งหัวหน้าของแต่ละเผ่าก็เริ่มคึก หลายคนวิ่งออกมาเพื่อสั่งทหารของตน
ก่อนสงคราม แกนกูลา เห็นค้อนที่ห้อยไว้ที่แผง เขานึกถึงการเคลื่อนที่อันสวยงามของ จางเทีย ในตอนที่เหวี่ยงค้อนไปมา เขาจึงถามขึ้นมา – “ ปีเตอร์ ไปไหน เขาทำอะไรอยู่ ? “
“ เขายังนั่งอยู่บนตึก ! “ -เนอร์โด ตอบด้วยเสียงใจเย็น
“ โอ้ ! “- แกนกูลา มองไปที่ ซาบีน่า ที่ดูใจเย็นและ โอลอร่า ที่ใส่หน้ากากซึ่งกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำถามนี้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยิ้มออกมา – “ ไม่เป็นไร จำไว้ว่าให้ส่งอาหารให้เขาหลังจากที่ชนะสงครามแล้วพาหมอมาด้วย อย่าปล่อยให้เขาอดตาย ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นแขกของเรา ! “
เมื่อได้ยินแบบนั้นหัวหน้าเผ่าบางคนของเผ่าขนาดเล็กและกลางก็ฮึดฮัดออกมาเหมือนกับได้ยินเรื่องตลก
โอลอร่า แค่เพียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา เธอหันกลับแล้วเดินออกมาจากเต็นท์
“ เจ้าหัวเราะอะไร ? “ - แกนกูลา มองไปยังคนที่ล้อเลียนตะกี้และถามอย่างเย็นชา เมื่อได้ยินแบบนั้นพวกคนที่ฮึดฮัดตะกี้ก็เงียบลงไปทันที
...
ที่หนึ่งห่างไปจากสนามรบใกล้ๆกับแคมป์พันธมิตรซึ่งไม่ได้มีบรรยากาศกดดันของสงครามที่กำลังมาถึง ถ้าซากแห่งนี้คือสุสาน ที่นี่คงเป็นสุสานของสุสาน
นี่คือที่ที่ทหารที่บาดเจ็บของพันธมิตรอยู่กันอย่างสิ้นหวัง
ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานเท่าไหร่ แม็กซิม ค่อยๆลุกขึ้นมาจากเตียงที่ปูไว้ที่พื้น เขารู้สึกคอแห้งและได้หยิบเอาสมุดและปากกาออกมาจากกระเป๋า
ในฐานะของเลขาของเผ่าเล็กๆแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บในตอนที่เข้าร่วมการลงมือเมื่อสามวันก่อน หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งมาที่นี่ราวกับตายเหมือนกับทหารที่บาดเจ็บคนอื่นๆหลังจากได้รับการรักษานิดๆหน่อยๆ
เขามาที่นี่เพื่อตายจิรงๆ ในตอนที่ถูกส่งมาที่นี่ อาหารได้ลดลงไป 2/3
หลังจากที่จับสมุดและปากกาแล้ว แม็กซิม รู้สึกได้ถึงความหวังขึ้นมา หลังจากทำนิสัยประจำตัวที่ทำมาตลอดสิบปี มันได้กลายเป็นสัญชาตญาณและความสุขของชีวิต ถ้าเขาจับสมุดและปากกาและเขียนคำพูดลงไปได้ เขาจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงราวกับหอยทากที่จะได้เปลือกกลับมาอีกครั้ง
แม๊กซิม ขยับตัวอย่างยากลำบาก สุดท้ายเขาก็เห็นมุมหนึ่งใกล้ๆกับตะเกียงที่ลานและกำลังจะไปเขียนอะไรที่นั่น ตอนนั้นเองก็มีเสียงฮึดฮัดดังขึ้นมา
ทหารคนหนึ่งล้อเลี่ยนเขาเมื่อเห็นสิ่งที่เขาทำในตอนนั้น
“ เจ้านี่มันสุดยอดจริงๆ เจ้าเขียนความต้องการของเจ้ารึไง ? ถ้าเจ้ามีเวลา เจ้าไปดูทีว่า เชอ ที่อยู่ข้างเจ้าน่ะตายรึยัง ถ้าเขาตายแล้วก็เรียกคนมาแบกออกไปตอนนี้ ไม่งั้นแล้วคนอื่นจะตายไปด้วย...”
เมื่อเห็นทหารที่บาดเจ็บมากมายหลายคนมองมาที่เขา แม๊กซิม ก็ได้วางสมุดของเขาลงและพยุงตัวเองไปหาทหารที่นอนไม่ห่างจากเขา เขาเริ่มตรวจสอบทหารคนนั้นอย่างระมัดระวัง
ปากของ เชอ นั้นแห้งมีจนเป็นชั้นหนัง ต้องขอบคุณที่มันยังคงสั่น แม๊กซิม ก้มตัวลงและเอาหูไปใกล้ๆปาก เขาได้ยินเสียงเบาๆ – “น้ำ...น้ำ.. “
มีบ่อน้ำในลานแต่มันแห้งแล้วและมีแต่ฝุ่น มีถังน้ำที่ถูกทิ้งไว้ข้างๆ หลังจากที่ประคองตัวเองดินไปตรงนั้น แม๊กซิม ก็ได้หยิบขวดน้ำขึ้นมาแล้วเทมันลองดู หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็ได้มีหยุดน้ำหยดหนึ่งค้างลงมาที่ปากขวด
“ เชอ ต้องการน้ำแต่ไม่มีน้ำที่นี่เลย.. “
ทุกคนต่างก็เงียบในตอนที่บรรยากาศสิ้นหวังเริ่มก่อตัวเมื่อเห็นน้ำที่หยดลงมาจากขวด แม้แต่ทหารที่พูดตะกี้ยังต้องก้มหน้า..
หลังจากที่วางขวดลงด้วยท่าทีหงุดหงิด แม๊กซิม ก็ไม่ได้พูดอะไร เขากลับไปที่มุมเดิมแล้วเปิดสมุดและต้องการเขียนบางอย่างลงไป สุดท้ายเขาก็เขียนคำพูดไว้บนกระดาษ
---- วันที่ 7 ตุลาคม ปี 890 เงาของความตายได้ปกคลุมแคมป์ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นวันที่ห้าตั้งแต่ที่เราขาดน้ำ ข้าไม่รู้ว่าข้าจะรอดไปได้นานแค่ไหน...ไม่มีใครรู้ว่ากี่วันที่เราจะรอดไปได้ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บมาหรือไม่ก็ตาม ในที่นี้มีแค่ตะเกียงที่ให้แสงสว่าง แต่ละคนต่างก็หายใจออกมาด้วยความสิ้นหวังและกลัวความตาย... ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่คนสำคัญ ข้าไม่ได้มีความเชื่อด้วย แต่ตอนนี้ข้าทุ่มเทเพื่อภาวนา ถ้าเทพมีจริงในโลก โปรดช่วยคนที่ดิ้นรนที่นี่ โปรดให้มนุษย์ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของเทพ ด้วยความเชื่อของเราที่มีต่อเทพแล้วโปรดช่วยให้เราไร้ความกลัวด้วย
เสียงระเบิดของกองนั้นดังขึ้นมาขัดอารมณ์ของ แม๊กซิม เขาหยุดปากกาแล้วเงยหน้าขึ้น เขามองออกไป เขารู้ว่าวันนี้มีหลายคนต้องตาย แคมป์แห่งนี้อาจจะกลายเป็นตลาดค้าสัตว์ที่เต็มไปด้วยเลือดและศพของทหารมากมาย
...
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...
เสียงกองและสัญญาณต่อสู้ระหว่างพันธมิตรและนักสำรวจก็ได้ดังขึ้นมาจากสนามรบ ด้วยการต่อสู้เอาเป็นเอาตาย นักสำรวจได้ทุ่มเทออกมาสุดตัวและเข้าห้ำหั่นกับพันธมิตร ผลก็คือสนามรบได้ถูกแบ่งเป็นสนามรบย่อยๆกว่าร้อนรึพันอัน..
ด้านนอกสนามรบ โรสลาฟ ที่ซึ่งมองดูการต่อสู้อยู่ๆก็ใจเต้นรัว เขาหันกลับมาและอึ้งกับสิ่งที่เห็นในแคมป์ของพันธมิตร
หลายไมล์ห่างออกไป สัญลักษณ์ฉีอันใหญ่ค่อยๆโผล่มาเหนือเส้นขอบฟ้าราวกับธงที่ลุกไหม้ มันเปล่งแสงออกมาเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นมาตามขอบฟ้า
“ นั่นอะไร ? “ – หลังจากที่รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวด้านหลัง วาจิด ได้หันกลับมาและอึ้งกับสิ่งที่เห็น
แม้แต่พวกที่สู้อยู่ในสนามรบก็เห็นม่านสีเลือดที่เปล่งแสงครอบคลุมไปทั่วทุกที่ การเจอกับฉากที่ตระการตาและหาดูยากแบบนี้ทำให้ทุกคนช็อกและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น....
หลังจากที่เห็นแล้ว แกนกูลา ก็ได้เดินออกมาจากเต็นท์ เขามองออกไปและแสดงท่าทีตะลึงออกมา
เมื่อเห็นฉากแปลกๆใกล้แคมป์ของตน หัวหน้าเผ่าขนาดกลางและเล็กต่างก็อ้าปากค้าง
โอลอร่า หันกลับมาและพบว่าที่ที่ม่านสีเลือดได้โผล่ออกมาคือที่ไหน – “มันเหมือน..เหมือนมาจากที่ที่ ปีเตอร์ อยู่ “ - โอลอร่า พุ่งไปที่นั่นทันที
“ ดูเหมือนว่ามาจากที่ที่ ปีเตอร์ อยู่ ! “ - ซาบีน่า พึมพำ แกนกูลา ถึงกับคิ้วกระตุก
ด้วยผลจากฉากแปลกๆนี้เสียงการต่อสู้ได้หายไป ทหารและนักสำรวจทุกคนมองไปรอบๆและดูฉากที่เกิดขึ้น
...
“ แม๊กซิม เกิดอะไรขึ้น? มีไฟไหม้รึไง ”
“ อ่า มันต้องเป็นไฟขนาดใหญ่แน่ .. “
“ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีฟืนที่นี่ มันจะไหม้อย่างรุนแรงได้ยังไง ? “ – ทหารคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บถามออกมาในตอนที่นอนอยู่ที่พื้นและมองไปยังแสงที่อยู่ด้านข้าง คนที่ยากที่จะขยับได้ก็ยังคงประคองตัวเองออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอนนั้น แม็กซิม อึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเคยเห็นสัญลักษณ์พลังฉีต่อสู้มาก่อนแต่เขาไม่คิดว่ามันเกี่ยวข้องกับฉากที่เกิดขึ้นตอนนี้ กับสัญลักษณ์พลังฉีที่เขาเคยเห็นมาก่อนได้ มันรู้สึกราวกับพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมา
ในตอนที่ทึ่งนั้นร่างนั้นค่อยๆเดินมาหาแคมป์ของทหารที่บาดเจ็บ แต่ละก้าวนั้นรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และทำให้ใจของ แม๊กซิม เต้นรัว