Chapter 0: Hard Knocks
เดวิดรัสเตอร์ มองไปที่สถานีอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทุกอย่างนั้นถูกเก็บไว้อย่างดีแล้วก่อนที่จะปิดไฟ ไฟด้านในส่วนมากถูกปิดลงไป นอกจากไฟบนป้ายบริษัทเองก็มืดยกเว้นแค่เพียงคำว่า ‘ ปิด ’ ที่เปล่งแสงสีแดงออกมา
เมื่อทำตามลำดับทั้งหมดแล้วเขาก็ได้เดินลงมาที่ถนนก่อนจะถีบจักรยานไปต่ออีก 4 ไมล์มุ่งหน้าไปยังโมย่า
เดฟ อยู่ในโมย่ามาตลอดชีวิต มันตั้งอยู่ที่เนินเขาทางใต้ระหว่างเพนซีเวเนียกับนิวยอร์ค ขับรถแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงจากนิวยอร์คก็มาถึงที่นี่ได้แต่ เดฟ ก็ยังไม่เคยเข้าไปในเมืองเลยสักที
เดฟ ปั่นจักรยานไปเรื่อยๆพร้อมกับคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เขามองไปยังท้องฟ้าด้วยตาที่เหม่อลอย ลมในยามค่ำคืนที่พัดเข้ามานี้ทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมา
“ ทั้งหมดนี่ดีสำหรับฉันแล้วเหรอ ? “ -ความคิดของ เดฟ ยังคงยุ่งเหยิงเหมือนกับแฮมเตอร์ที่อยู่บนกงล้อ ความคิดเดิมแว็บเข้ามาในหัวเขาอยู่ตลอด – “ ไม่ได้เรียนมหาลัย , ไม่มีสมบัติอะไร, ไม่มีเงิน, ไม่มีอนาคต “- คำพูดพวกนี้ลอยอยู่ในหัวเขาก่อนที่จะนำไปสู่วงจรที่ไม่รู้จบ
เสียงเหล็กชนกันดังขึ้นมา
ตอนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเขาลอยได้ จากนั้นเขาก็ชนเข้ากับพื้นถนนก่อนจะไถลออกไปไกลเกินกว่าเขาจะมีสติรับรู้ได้
เดฟ ลืมตาขึ้นมาและค่อยๆปรับสายตาเหม่อมองไปที่ท้องฟ้า เขาคิดว่าตัวเขานั้นคงอยู่ในท่าแปลกๆ เขารู้สึกเจ็บ เจ็บมากๆ บางครั้งการหันไปด้านข้างก็ยังทำให้หัวของเขาเจ็บยิ่งกว่าเดิม
เขาเห็นรถคันหนึ่งพร้อมกับแสงไฟหน้ารถที่ส่องไปที่ต้นไม้พร้อมกับไฟฉุกเฉินที่กระพริบไปมาด้านหลังเขา ส่วนหน้าของรถชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ตรงข้ามคูน้ำ
“ ฉันคิดว่ามันคงพุ่งผ่านคูน้ำมาและชนกับต้นไม้เข้า สมควรแล้วที่มาพังจักรยานฉัน ! “
การให้เหตุผลและการตัดสินของ เดฟ นั้นไม่ต้องบอกเลยว่าถือว่าดีเลยทีเดียว
เขามองไปรอบๆรอให้คนออกมาเพื่อที่เขาจะได้บอกความคิดที่เขามีให้กับพวกนั้น เขาอาจจะพูดอะไรไม่ได้แต่เขามั่นใจว่าคงรู้ว่าใครเป็นคนขับรถ
บางส่วนในสมองของเขาทำงานบอกให้เขาเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดโทรหาเบอร์ฉุกเฉิน ใช้เวลาสักพักเพราะนิ้วที่มือนั้นหักและยังชุ่มเลือดอีกต่างหาก
ด้านข้างของหน้าเขารู้สึกเหมือนกับโดนไหม้และมันมีความรู้สึกเหมือนโดนเผาด้านหลังแขนและไหล่ของเขาจนไปถึงต้นขา ท้องเขาด้านหนึ่งปวดและเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่ว่าจะขยับท่าไหนเขาก็รู้สึกเหมือนมีเลเซอร์มาจี้ มันยังมีบางอย่างที่เขารู้สึกที่หลังหัวของเขาด้วย
เขายังคงมองไปที่รถ
พวกนั้นไปไหน ? ! ทำไมไม่ลงมาจากรถ ?
มันมีเปลวไฟพุ่งออกมาที่ด้านหน้ารถแต่รถไฟฟ้านี้คงไม่ติดไฟหรอก....ใช่มั้ย ?
เดฟ วางโทรศัพท์ไว้และพยายามที่จะลุกขึ้นยืน เขาไม่อาจที่จะลุกขึ้นได้ เขาทำได้แค่คลานไปข้างหน้าเหมือนกับปูเดิน
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นระยะทางที่ยาวไกลจากจุดที่เขาอยู่ไปที่รถแต่เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อมองไปยังเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่
บางครั้งเขาก็พยายามตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างในและรู้สึกโกรธขึ้นทุกครั้งที่ก้าวเดินหน้าไป
‘ ไอ้ห่าที่พังจักรยานฉัน.....ไฟไหม้อยู่ ...ออกมาสิ ! ....แกทำเสื้อฉันพัง ฉันมีเสื้อแค่สามตัว....ขับรถอย่างกับคนบ้า...ขับผิดเลน.....รู้จักกฎจราจรบ้างมั้ย ! ฉันให้โอกาสแก....พูดและแกก็ด้วย ’ ในที่สุดเขาก็ไปถึงส่วนที่แย่ที่สุด ส่วนที่แย่ที่สุดคือเขาต้องลงไปด้านหนึ่งของคูก่อนจะปีนกลับขึ้นมาที่อีกด้าน แน่นอนว่ามันคงไม่ดีสำหรับท้องเข้าแน่
หน้าต่างนั้นแตกออกมาแล้ว แสงไฟของมันสลัวซึ่ง เดฟ คิดว่าแบตรถคงจะพังแล้ว มันกำลังมีไฟไหม้ ดังนั้นมังคงดูมีเหตุผล
เดฟ พิงไปที่ที่นั่งคนขับและพยายามมองเข้าไปด้านในแต่เขาก็ไม่เห็นอะไร เขาพยายามเปิดประตูและแน่นอนว่าเขาเปิดมันไม่ได้ นี่คือเรื่องราวชีวิตเขา เขาเป็นใคร ? แค่คนที่พยายามหาทางเอาตัวรอด....เอ่อ พยายามช่วยคนจากรถ
“ มีสติเข้าไว้เพื่อน “ – เดฟ เตือนตัวเอง
อีกตั้งนานกว่าฉันจะตายได้
เขาเอาเครื่องมือของเขาออกมาพยายามหาที่พังกระจก เขาจับเครื่องมือนั้น ที่เหมือนกับที่ทิ่มน้ำแข็งแล้วแทงเข้าไปที่หน้าต่างจนกระจกหน้าต่างรถแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เศษกระจกพวกนี้ยังไงก็แข็งอย่างมาก
หน้าต่างเปิดแล้ว เพื่อน...พวกนายพักพอแล้ว ขยับได้แล้วโว้ย !
“ หมอ ! เขาตื่นแล้ว ! “ - พยาบาลพูดขึ้นมา
“ นี่ฉันอยู่ไหน ? “ - เดฟ ถาม
พยาบาลเช็คไปที่มอนิเตอร์แล้วตอบเขา
“ คุณอยู่ในแผนกดูแลส่วนตัว คุณถือว่าเป็นคนที่โชคดี การบาดเจ็บของคุณสามารถทำให้คุณตายได้เลยนะ “ – เธอพูดขึ้น
“ บาดเจ็บ ? อ่ะ ....อุบัติเหตุ ฉันจำได้แล้ว....มันมีผู้หญิงอยู่ที่นั่นด้วย....เธอเป็นอะไรรึเปล่า ?” - เดฟ ถาม
“ ผู้หญิง ? “ - เธอตอบกลับด้วยท่าทีสับสน – “ คุณเป็นแค่คนเดียวที่อยู่ที่นั่น มันเป็นเรื่องปกติหากจะมีการจำสับสนบ้าง “
“ หือ ? อะไรนะ....?”
เขาจำได้ชัดเจนว่ามีคนอยู่ในรถที่ชนเขาและจากนั้นรถก็ชนเข้ากับต้นไม้
“ คริสตินา ! “ – ชายวัยกลางคนในชุดขาวตะโกนขึ้นมา
“ คุณรัสเตอร์ โปรดอย่าถือสาสิ่งที่เธอพูด มันมีคนอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ “ - หมอพูดขึ้น
ในตอนที่หมอพูดนั้นก็ได้มีชายสองคนในชุดสูทปรากฏตัวที่ประตู
พวกนั้นเหมือนกับคนที่มาจากหนัง MIB รึ....บางทีอาจจะเป็นพวกบอดี้การ์ด ?
“ หมอเฮนดริค ขอเวลาส่วนตัวเราหน่อย “ – ชายตัวใหญ่สั่งแล้วเดินไปที่เตียง อีกคนมองไปที่หมอและพยาบาลบอกให้ออกจากห้องไป จากนั้นเขาก็ได้เดินไปพิงที่ประตูเอาไว้
ชายคนแรกนั่งที่เก้าอี้ใกล้กับเตียง เขาดูอายุ 30 กลางๆมีรูปร่างกำยำอย่างดี เขามีเสียงทื่อๆและสีหน้าจริงจัง
“ คุณรัสเตอร์ สถานการณ์ที่คุณเป็นอยู่นั้นคุณโชคดีมากๆ คุณรอดมาได้และช่วยคนที่สำคัญมากๆได้ สุดยอดจริงๆเลยพวก “ – ตาของเขาจ้องมาที่ เดฟ จนทำให้ เดฟ ต้องตัวแข็งทื่ออยู่กับเตียง
“ แต่นั่นแหละประเด็น คนสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมจะพูดถึงเรื่องอะไร ? “
ในตอนที่ชายคนนี้พูด เขาก็ได้ปลดกระดุมเสื้อตัวเองและหยิบเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วใช้ผ้าเช็ดมัน
นี่มันอะไร ?
จากนั้นสิ่งที่ชายคนนี้พูดก็ทำให้ เดฟ นึกอะไรออก
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าชายสองคนนี้ที่ไม่ได้แนะนำตัวเองนั้นมาเพื่อปกปิดเหตุการณ์ทั้งหมด พวกนั้นต้องการทำให้มันดูเหมือนว่า เดฟ ขับรถไปชนต้นไม้เข้าและพวกนั้นต้องการให้ เดฟ ร่วมมือด้วย
“ คุณคิดว่าฉันจะต้องรับผิดจากอุบัติเหตุครั้งนี้งั้นเหรอ ? ฉันช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งไว้และฉันบาดเจ็บกลับมาด้วย ยังไงซะเธอก็เป็นฝ่ายมาชนฉันก่อน ! ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าโรงพยาบลด้วยซ้ำแต่กลับอยากให้ฉันรับผิดเรื่องนี้งั้นเหรอ ? ต้องจ่ายค่าปรับและเข้าศาลอีกทั้งยังจะเข้าคุกอีก ฉันคงรับทั้งหมดไม่ไหวหรอก นี่คือวิธีการขอบคุณสำหรับการช่วยชีวิตคนหนึ่งไว้รึไง ? แม้แต่พูดว่าขอบคุณยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย “ - เดฟ พูดออกมาด้วยความหงุดหงิด
“ ใจเย็นๆพวก ทุกอย่างถูกจัดการหมดแล้ว ไม่มีความผิดทางกฎหมายให้ต้องคิด ไม่มีแม้แต่บันทึกเอาไว้ นายแค่ยอมรับว่าเป็นคนทำก็เท่านั้น “
“ ถ้านายยอมรับและเงียบปากไว้ เราจะดูแลค่ารักษาเองและ....จะให้ค่าเสียเวลากับนายด้วย สองแสน คุณรัสเตอร์ มันถือว่าเป็นเงินก้อนโตใช่มั้ยล่ะพวก ? “ – ชายคนนั้นยิ้มเผยให้เห็นฟัน
เขาขยับตัวก่อนจะปลดกระดุมอีกรอบ
เดฟ มองไปที่บอดี้การ์ดที่กำลังปลดกระดุม....
เขามองเห็นปืนอยู่ภายใต้เสื้อของอีกฝ่าย
ใจของ เดฟ เต้นรัวจนได้ยินถึงในหูและอะดรีนารีนในตัวก็ได้หลั่งออกมา
เหี้ย ปืนกับแม็คทำให้พวกขี้ขลาดต้องกลัวได้ทุกครั้งแหละน่า
เดฟ ไม่อาจจะทำอะไรได้ เขาพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ มันถือว่าเป็นการดูถูกและเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด
ชายทั้งสองคนนี้ไม่ได้มาขอให้เขาร่วมมือด้วย พวกนั้นมาที่นี่เพื่อดูว่าเขาจะเล่นตามบทบาทที่ให้ไว้มั้ย มันหมายความว่าพวกนี้มีเส้นสายที่มีอำนาจและมีเงิน เงินมากด้วย
ถ้าชายตรงหน้าเขาตัดสินว่า เดฟ เป็นภัยแทนที่จะยอมร่วมมือด้วย งั้น เดฟ คงถูกกำจัดทิ้ง
เขาไม่มีทางเลือก ไม่มีจริงๆ ไม่ร่วมมือก็ตายนั่นไม่ใช่ทางเลือก....มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ตัดสินใจได้ง่ายๆด้วย
เขาต้องเล่นไปตามเกมพวกนี้ รับเงินและขอบคุณที่เขายังมีชีวิตต่อได้ คำพูดเก่าๆได้บอกเอาไว้นั้นเป็นความจริง การทำดีใช่ว่าจะได้ผลตอบแทน
คนที่เฝ้าประตูเดินเข้ามาหาชายอีกคน
“ หัวหน้าบอกให้ขอบคุณเด็กนี่และขอให้เขาร่วมมือ “ – เขาพูดด้วยท่าทีปกติ
“อ่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก เขาก็ชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้มีค่าอะไร แค่เงินก็ปิดปากเขาได้แล้วและเขาจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อน “
“ อื้อ สำหรับเรื่องเงิน เราน่าจะเอาให้เขาล้านหนึ่งสิ เธอคงตายถ้าไม่ใช่เพราะเขา ถ้าใครเห็นรถของเธอเข้าคงต้องคิดแบบนั้น “
“ อ่ะ ไม่เอาน่า เด็กนี่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับเงินเยอะแยะนั่น ฉันเอาเงินให้พอเขาอยู่ได้จนกว่าเขาจะกลับไปทำงาน บวกกับเงินพิเศษอีกก็ถือว่าดีแล้ว ทุกคนควรดูแลตัวเองสิ “ – เขาแสยะยิ้ม
“ งั้นเงินส่วนที่เหลือล่ะ ?”
“ ไม่เอาน่า ไพแซน อย่ามาขัดลาภสิ ฉันจะเอาไปลงทุน โอเคมั้ย ?”
“ เหี้ย ! นายกลับไปเป็นแบบเดิมอีกไม่ใช่รึไง ? นายไม่คิดจะหยุดด้วยซ้ำ นายจะเสียหมดตัวแล้ว “
หน้าของบอดี้การ์ดคนแรกแดงขึ้นมา – “ ฉันจัดการเงินที่เหลือเอง เข้าใจมั้ย ? นายไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันหรอกพวก ! “- เส้นเลือดปูดขึ้นมาที่หน้าผากเขา
“ คริส นายคงต้องไปหาคนช่วยแล้ว ถ้าหัวหน้ารู้เข้านายต้องรับผิดไปเต็มๆ นายเข้าใจมั้ย?”
“ ได้ ได้ ฉันบอกนายแล้วนิว่าเด็กนี้ไม่สร้างปัญหาอะไรหรอก “