ตอนที่ 29 ซ่อนตัวไปฆ่า
ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็ปล่อยเด็กหญิงเปลือกหอยที่ถูกเขาชมจนเวียนหัวมึนเมาไปหมด
เขาลุกขึ้นยืน แล้วบิดขี้เกียจ
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ดวงตาของเขาจู่ๆ ก็หรี่ลง
บนทะเลที่อยู่ไกลออกไป ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มีเรือไม้แคนูปรากฏขึ้น บนเรือมีคนเถื่อนสองคนนั่งอยู่ พวกเขาพายเรือไม่หยุด ดูเหมือนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ คนเถื่อน! ”
เขาดึงสติกลับมาพลางตื่นตัว รีบหมอบหลบอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ร่างกายของเขาได้รับการปรับแต่งไปหนึ่งครั้ง ความสามารถในการมองเห็นของเขาพัฒนาขึ้นมาก ในเวลานี้ถึงแม้ว่าเรือไม้แคนูจะอยู่ไกลออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตร แต่เขาก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เรือไม้แคนูลำนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เฉินโจวอี้ลองคาดการณ์ดูน่าจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสี่ถึงห้าเมตร มีความยาวประมาณสิบเมตรได้
จิตนาการออกเลยว่า ตอนแรกที่ต้นไม้ต้นนั้นถูกตัดมันมีความใหญ่ขนาดไหน มีความสูงขนาดไหน
รอบเอวของคนเถื่อนสองคนที่นั่งอยู่บนเรือไม้แคนูมีหนังสัตว์เส้นหนึ่งล้อมรอบอยู่ ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่า เฉินโจวอี้มองไม่เห็นว่าพวกเขาถืออาวุธหรือไม่ แต่กล้ามเนื้อเป็นมัดขนาดนั้น แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทั้งสองคนได้อย่างชัดเจน
หัวใจของเขาเต้นแรง ลมหายใจเริ่มขาดช่วง ในใจของเขารู้สึกหวาดกลัวมาก ทำให้เขาอดที่จะตัวสั่นไม่ได้
ตั้งแต่พบกับเหตุการณ์นองเลือดที่ร้านหนังสือในครั้งที่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินข่าวว่าชาวยุทธอาวุโสอย่างโจวฉ่าวเฟิงถูกฆ่าตาย เขาก็เกิดความหวาดกลัวต่อพวกคนเถื่อนขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนเถื่อนทุกคนจะทรงพลังได้เหมือนคนเถื่อนคนนั้น แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็มักจะคิดถึงภาพคนเถื่อนคนนั้นเข้ามาแทนทุกครั้ง
“ อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องรายงานเรื่องอุโมงค์มิตินี้ ”
เฉินโจวอี้รีบเก็บหนังสือที่หล่นกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นเข้ากระเป๋าเอกสาร แล้วจับเอาเด็กหญิงเปลือกหอยที่กำลังตกตะลึงขึ้นมา วิ่งไปยังปากอุโมงค์มิติที่อยู่ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว
แค่ไม่กี่ก้าว เขาก็กลับมายังลานจอดรถชั้นใต้ดิน แล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง
ยิ่งเขาวิ่งมันก็ยิ่งช้าลง จนกระทั่งเขาวิ่งไปถึงปากทางของลานจอดรถ เขาก็หยุดฝีเท้าของตัวเอง
ในใจดูเหมือนจะมีแรงกระตุ้นอันแข็งแกร่ง มันกระตุ้นลามไปยังสมองของเขา เลือดลมสูบฉีดทั่วร่างกาย
หรือว่าเขาจะปล่อยอุโมงค์มิติไปแบบนี้จริงๆ เหรอ ?
ปล่อยทรายทองคำบนเกาะไปงั้นเหรอ?
แค่เพราะคนเถื่อนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น แถมยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของทั้งสองคนนั้น
สมรรถภาพทางกายของเขาในปัจจุบันมาถึงระดับมาตรฐานของชาวยุทธแล้ว แตกต่างจากพลังของคนเถื่อนไม่เท่าไหร่
อีกอย่าง บางทีอาจไม่ใช่คาดเดาความแข็งแกร่งไม่ได้ซะหน่อย
ทันใดนั้นเฉินโจวอี้ก็เกิดความคิดขึ้น เขามองไปซ้ายทีขวาที ในไม่ช้าเขาก็เดินไปที่กำแพงที่อยู่ด้านข้าง เอาหลังพิงกำแพง ปล่อยความคิดของเขาให้เข้าสู่มิติหมอกสีเทาอย่างรวดเร็ว เขารีบไปดูที่ใบไม้แห่งความทรงจำ มองเห็นคนเถื่อนสองคนที่อยู่บนเรือไม้แคนู
……
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลืมตาขึ้น
จากการรับรู้ของร่างกาย ร่างกายของคนเถื่อนทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งกว่าเขาไม่มากเท่าไร แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขามีอยู่อย่างจำกัด มากสุดก็ไม่น่าจะเกิน 1.5 เท่า ถือว่าอ่อนแอกว่าคนเถื่อนลึกลับที่ร้านหนังสือนั่นตั้งเยอะ
เขากล้าหาญมากขึ้นในทันที แต่มันจะไม่ต่อสู้ก็ไม่ได้ งั้นถ้าเขาระวังตัวขึ้นมาสักนิดล่ะ?
หัวใจของเขาเต้นแรง สีหน้าดูมีความพยายาม ครั้งนี้ไม่ใช่การอบรมสั่งสอน แต่มันคือการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายของจริง ถ้าโชคไม่ดี เขาอาจจะตายขึ้นมาจริงๆ แต่พอนึกถึงว่าต้องละทิ้งทองคำบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ทันใดนั้นเขาก็กัดฟันแน่น แล้ววิ่งเข้าไปในอุโมงค์มิติทันที
เขาวางแผนที่จะรอดูสถานการณ์ก่อน แล้วค่อยรอโอกาสลงมือ
พอเข้าสู่โลกที่แตกต่าง เขาก็รีบหาท่อนไม้ที่ตกอยู่บนพื้น
ไม้ท่อนนี้ไม่ใช่ท่อนเดียวกันกับท่อนแรกที่เขาเก็บได้ที่ตึกร้าง ท่อนนี้เป็นท่อนที่เขาตัดต้นไม้ต้นเล็กของที่นี่ตอนที่เขาเบื่อๆ แล้วใช้มีดค่อยๆ เหลาเปลือกไม้ที่แข็งราวกับเหล็ก
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เหลาไว้แหลมอะไรมากมาย แต่ถ้าความเร็วมันเร็วมากพอ ที่จะทำให้เนื้อที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
เขาหมอบลงบนพื้นหญ้ามองไปยังเรือไม้แคนูลำนั้น
ในเวลานี้เรือไม้แคนูลำนั้น ค่อยๆ เข้าเทียบที่เกาะแล้ว
หลังผ่านไปสิบกว่านาที ในที่สุดเรือไม้แคนูก็สัมผัสกับหาดทราย แล้วทิ้งสมอไว้
คนเถื่อนทั้งสองคนกระโดดลงมาจากเรือ แล้วดึงเชือกหนาขึ้นมาลากเรือเดินไปตามแนวของชายหาดจนพบกับโขดหินยักษ์ พวกเขาผูกเรือไว้กับโขดหินอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้เรือถูกกระแสน้ำพัดไป
คนเถื่อนทั้งสองคนมองมาที่เกาะลูกนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดีใจเป็นอย่างมาก พูดคุยกันไม่หยุด บางครั้งก็หัวเราะลั่นเกาะ พวกเขาย้อนกลับไปที่เรือไม้หยิบเอาของบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายแผ่นหนัง ไม่นานพวกเขาก็เดินขึ้นมายังบนภูเขา
เฉินโจวอี้สังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ถืออาวุธมาด้วย สำหรับเขาถือเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถหมายความได้ว่า มีโอกาสสูงที่พวกเขาไม่ได้มาที่เกาะเล็กๆ ลูกนี้เป็นครั้งแรก ในฐานะที่เป็นคนเถื่อนที่ยังอาศัยอยู่ในยุคสมัยของชนเผ่าอันล้าหลัง ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย พวกเขาจำเป็นที่จะต้องตระหนักถึงภัยอันตราย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าที่นี่ไม่มีอันตรายอะไร ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ประมาทเลินเล่อเช่นนี้
แต่ข้อสงสัยอีกหนึ่งอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัวของเฉินโจวอี้
ทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่ล่ะ?
เมื่อมองไปยังแผ่นหนังที่มีลักษณะเหมือนเอาไว้ใส่น้ำ ในใจของเขาก็บอกให้มองไปที่สระน้ำที่อยู่ห่างออกไปราวหนึ่งร้อยเมตรทันที
หรือว่าพวกเขามาเพื่อเอาน้ำจืด!
ยิ่งเขาคิดก็ยิ่งดูเป็นไปได้ สระน้ำขนาดเล็กแห่งนี้เป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียวบนเกาะนี้ ขนาดใหญ่ราวสิบกว่าเมตร แต่ว่าลึกมาก มองแวบแรกก็ไม่เห็นก้นบ่อแล้ว เพื่อความระมัดระวัง ในเวลาปกติเฉินโจวอี้จะไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด เวลาที่เขาหิวน้ำ เขาก็จะพกน้ำแร่มาเอง
ถ้าหากมีสถานที่ใดที่น่าจะเป็นเป้าหมายของพวกเขามากที่สุด ก็น่าจะมีแค่สระน้ำแห่งนี้นี่แหละ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้ววางเด็กหญิงเปลือกหอยไว้ข้างๆ จากนั้นเขาก็คว้าท่อนไม้ไว้แน่น และภายใต้การบดบังของหญ้า เขาย่อตัวเดินย่องเบาๆ ไปที่สระน้ำอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปครึ่งนาที เขาก็ย่อเข่าลงอีกครั้ง
ความคิดของเฉินโจวอี้ถูกต้อง พวกเขาดูเหมือนจะมาเอาน้ำจริงๆ
คนเถื่อนทั้งสองคนเดินอย่างชำนาญเส้นทาง พวกเขาพูดคุยกันไปด้วยพลางเดินมาด้านนี้ไปด้วย
รูปลักษณ์ของคนเถื่อนสองคนนี้ดูไม่สอดคล้องกับความงามของมนุษย์ อย่างน้อยๆ สองคนนี้นี่ไม่ใช่แน่นอน ใบหน้าของพวกเขาหยาบกร้าน ดูอัปลักษณ์จนไม่น่ามอง
คนหนึ่งดูค่อนข้างจะมีอายุอยู่บ้าง หน้าผากของเขาเหี่ยวย่น ฟันสีเหลืองยื่นออกมานอกปาก จมูกแหงนขึ้นฟ้า
คนเถื่อนอีกคนหนึ่งยังดูหนุ่มอยู่ แต่ตาของเขาเหล่ ใบหน้าของเขาราวกับถูกทุบด้วยก้อนอิฐ ทั้งหน้าดูแบนไปหมด
ทั้งสองคนดูไม่ตื่นตัวเลย คาดว่าไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่า บนเกาะที่ว่างเปล่าแห่งนี้ยังมีคนที่แฝงตัวอยู่ในกอหญ้า เตรียมพร้อมที่จะเอาชีวิตพวกเขาได้ทุกเมื่อ
หลังจากเดินอยู่ไม่กี่นาที พวกเขาก็มาถึงริมสระน้ำ
ทันใดนั้นพวกเขาก็ก้มตัวลงเริ่มตักน้ำ
เฉินโจวอี้ที่ในเวลานี้มีเจตนาฆ่าอยู่ เขาไม่พิจารณาเลยสักนิดที่จะปล่อยให้พวกเขาออกไปหลังจากตักน้ำเสร็จแล้ว เกาะนี้มีขนาดไม่ใหญ่ พื้นที่แค่หนึ่งตารางกิโลเมตรไม่ได้ใหญ่อะไร แค่ยืนบนภูเขาก็สามารถมองเห็นเกาะทั้งเกาะได้อย่างรวดเร็ว
วันนี้พวกเขามาเอาน้ำได้ บางทีผ่านไปไม่กี่วันพวกเขาอาจจะมาอีก หรืออาจจะพาคนมาเยอะกว่าเดิม พอถึงตอนนั้นถ้าไม่ระวัง อาจถูกพวกเขาเห็นเข้า หรือพวกเขาอาจจะเข้ามาใกล้ๆ อย่างเงียบๆ แบบนั้นมันอันตรายเกินไป
ถ้าไม่ละทิ้งเกาะนี้ไป ก็ต้องกำจัดคนเถื่อนสองคนนี้ไปซะ ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม เขามีทางเลือกแค่สองอย่างนี้เท่านั้น
“ ตอนนี้แหละ! ”
หัวใจของเขาเต้นอย่างดุเดือด อะดรีนาลีนพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาแดงกล่ำ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ดูโหดเหี้ยม เขาออกแรงที่ฝ่าเท้ากระโดดพุ่งตัวขึ้นมาจากกอหญ้าที่เขาใช้ซ่อนตัวอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่พุ่งไป
แค่ไม่กี่ก้าว เขาก็กระโดดข้ามไปได้ไกลถึงสิบกว่าเมตร
คนเถื่อนที่มีอายุคนนั้นดูเหมืนจะสังเกตได้ถึงความเคลื่อนไหว เขาหันหน้ามาในทันที
เห็นเพียงแค่ไม้หนึ่งท่อนพุ่งเข้ามาตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อมาท่อนไม้แทงเข้าที่คอของคนเถื่อนอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วของมัน ทำให้คนเถื่อนคอหัก ท่อนไม้เจาะทะลุหลังคอของเขา
ในเวลานี้เฉินโจวอี้ไม่ได้ใช้ความกลัวอะไร กระบวนการนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า จนกระทั่งเวลานี้ คนเถื่อนอีกคนถึงจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ เขาคำรามด้วยความโกรธ แล้วพุ่งใส่เฉินโจวอี้อย่างโหดเหี้ยม
ในใจของเฉินโจวอี้กลับสงบอย่างน่าประหลาดใจ เขาไม่ได้มีความตื่นตระหนกเหมือนการต่อสู้ในครั้งแรก เขาดึงท่อนไม้ออกจากลำคอของคนเถื่อน เท้าก้าวถอยไปด้านหลัง
เขาใช้กระบวนท่าพุ่งแทงดาบตามมาตรฐาน ท่อนไม้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด แทงทะลุหน้าอกของคนเถื่อนไป
เขาไม่ได้หยุดอยู่ตรงที่เดิมแต่อย่างใด หลังจากที่เขาโจมตีแล้ว เขาก็รีบดึงไม้กลับออกมาอย่างรวดเร็ว
บาดแผลที่หน้าอกที่มีขนาดเท่าแขนเด็กทารกสอดเข้าไปได้ ทันใดนั้นบริเวณบาดแผลก็มีเลือดทะลักออกมามากมาย
อย่างไรก็ตามบาดแผลดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาตายในทันที
เขาร้องคำราม เสียงดังก้องราวกับฟ้าร้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ไม่แม้แต่จะมองบาดแผลของตัวเอง พยายามพุ่งมายังเฉินโจวอี้
เพียงแต่เดินมาได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้าของเขาก็ค่อยๆ ช้าลง ในที่สุดก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ล้มลงไปกองกับพื้น
การต่อสู้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาไปแค่ไม่กี่วินาทีก็สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่าถ้าเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ของจริง คนเถื่อนสองคนนี้คงไม่ดูไร้ความสามารถเช่นนี้ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะประการแรกเลยในมือของพวกเขาไม่มีอาวุธ ประการที่สองคือเหตุการณ์มันเกิดขึ้นกระทันหันไป พวกเขาคงรับมือไม่ทัน
……
หลังจากรอให้คนเถื่อนทั้งสองคนตายอย่างแน่นอนแล้ว เฉินโจวอี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขานั่งลงบนพื้นหญ้า
มือของเขาสั่นเทาจนควบคุมไม่ได้
ตอนที่ต่อสู้อยู่เขาเอาแต่จดจ่อไปกับมัน ไม่ได้คิดถึงเรื่องวุ่นวายอื่นๆ เลย ในใจมีแค่ความคิดที่อยากจะฆ่าคนอย่างเดียว แต่ในเวลานี้พอเขาตั้งสติได้ ก็เริ่มรู้สึกกลัวทีหลัง
เขารู้สึกว่าตัวเองพึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เป็นคนที่ไม่มีความลังเล ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีความหวาดกลัว เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าในส่วนลึกของจิตใจเขาจะมีความโหดร้ายทารุณซ่อนอยู่
ท้ายที่สุดแล้วระหว่างเขากับคนเถื่อนทั้งสองคนนั้นไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวต่อกัน มีแค่เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกันเท่านั้น
พวกเขาดันมาขวางทางของเขาเองนี่นา!
หรือบางทีอาจเป็นผลมาจากการโฆษณาชวนเชื่อที่เพิ่มเข้ามา ทำให้ภาพลักษณ์ของคนเถื่อนในโลกมนุษย์เกือบจะดูเหมือนกับปีศาจร้าย ทุกครั้งที่พวกเขาปรากฏตัวมักมีเรื่องของการนองเลือดเข้ามาเกี่ยวข้อง พอได้เห็นกับตาตัวเอง ในใจของเขานอกจากที่คิดจะหนีแล้ว ก็มีแค่ความต้องการฆ่าพวกเขาเท่านั้น
เขาค่อยๆ ดึงสติกลับมา ก็แค่คนเถื่อนสองคนเท่านั้น ฆ่าไปแล้วก็คือฆ่าไปแล้ว เขาไม่คิดอะไรต่อให้มากมาย
เขาลุกขึ้นยืน ในใจกลับมาสงบอย่างรวดเร็ว
บางครั้งความตื่นตระหนักหลังจากการฆ่าคนนั้นไม่ใช่มาจากการที่เราฆ่าร่างกายของใคร แต่มันคือผลที่ตามมาหลังจากการฆ่าต่างหาก บนเกาะเล็กๆ ที่โลกที่แตกต่างนี้ อย่าพูดเลยว่ามีคนเถื่อนตายสองคน ต่อให้ตายมากกว่าสองคน ก็คงไม่มีใครตรวจสอบได้
แต่ว่าเขาจำเป็นต้องจัดการกับศพทั้งสองร่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงแค่ว่าศพจะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ถ้าหากมีคนเถื่อนมาอีกครั้ง มันจะต้องทำให้เกิดความสับสนในระดับหนึ่งแน่นอน
เขาก้าวไปข้างหน้า มืออีกข้างแบกศพขึ้นมา เท้าของเขาก้าวลงเขาไปทีละก้าวอย่างเงียบๆ
สมอเรือของเรือไม้แคนูยังคงแขวนอยู่ที่เดิม
เขาลากมันไปตรงน้ำทะเล แล้วเอาศพวางไปบนเรือ
เรือไม้แคนูมีขนาดค่อนข้างกว้าง ถ้านั่งแบบเบียดๆ กันล่ะก็ สามารถนั่งได้ถึงสิบกว่าคนเลย
บนเรือเขาพบปลาทะเลขนาดน้อยใหญ่มากมาย มีอวนหยาบหนึ่งอัน ไม้พายสองด้าม แล้วก็มีอาหารลูกสีดำๆ เหมือนมันเทศอยู่ไม่กี่ลูก รวมถึงหอกสองอัน
เมื่อเขามองดูหอกยาวขนาดสามเมตร ที่มีปลายหอกแหลมคมทั้งสองด้าน ในใจของเฉินโจวอี้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ถ้าหากในตอนแรกคนเถื่อนสองคนนี้ถืออาวุธมาด้วย การต่อสู้คงไม่ได้ง่ายแบบนี้
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่สองรอบ เอาศพขึ้นไปไว้บนเรือจนครบ
จากนั้นเขาก็ปลดเชือก ให้สายน้ำพัดพามันไป เขารีบใช้แรงผลักเรือออกไปสู่ทะเล
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าบนเรือลำนี้และศพที่อยู่บนเรือนี่ยังคงมีอันตรายที่ซ่อนอยู่
แต่เรือไม้แคนูลำนี้มีขนาดใหญ่จนเกินไป อีกอย่างมันก็หนักมากเกินกว่าที่จะทำลายได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ เกรงว่าจะเป็นอันตรายยิ่งกว่า
มองดูเรือไม้แคนูที่ค่อยๆ ลอยออกไปไกลมากขึ้น
เขาได้แต่ภาวนาอยู่ในใจเงียบๆ หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงที่นี่ในเวลานี้ และเขาทั้งสองคนจะอยู่รอดปลอดภัย
……
เขาเฝ้าดูอยู่เป็นเวลานาน สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วถือหอกไว้ในมือสองอัน หมุนตัวเดินกลับไป
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้อุโมงค์มิติ ตรงบริเวณสถานที่ให้เด็กหญิงเปลือกหอยรอ กลับพบว่าเธอหายไปแล้ว
เหงื่อของเขาไหลท่วมตัวในทันที
ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่เลือดเดือดพุ่งพล่าน สมาธิจดจ่ออยู่กับความอยากฆ่า ตอนที่เขาวิ่งไปที่สระน้ำ เขาไม่ได้สนใจที่จะมัดเด็กหญิงเปลือกหอยไว้อีกครั้ง เขาแค่เหวี่ยงเธอออกไป
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอมีโอกาสหลบหนีแล้ว