การสะกดจิต.. ต้องสะกดจิตตัวเอง
ร่างกายของซิลลินกำลังชัก หลังจากที่ต้องหายใจอย่างติดขัดมาระยะหนึ่ง ซิลลินก็ค่อยๆ หลับตาลง
..........
ขณะที่ชายชรามองดูเข็มที่ขึ้นสูงอีกระดับหนึ่งบนหน้าจอควบคุม ตัวของเขาสั่นขณะที่ถอดแว่นตาออก เขากดหน้าเข้าหาหน้าจอ ดวงตาของจับจ้องอยู่ที่หน้าจอควบคุมอย่างไม่ละสายตา ราวกับว่ากำลังพยายามที่จะแยกแยะว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่
ชายชราบิดลูกบิดมาแล้วสองร้อยเจ็ดสิบองศา และเปิดใช้ชิพไปแล้วเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เขาไม่ได้สนใจมองซิลลินที่อยู่บนโต๊ะทดลองเลยแม้แต่น้อย ชายชราหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เนื่องจากชีพจรที่แสดงถึงการมีชีวิตของมนุษย์ทดลองยังคงเต้นค่อนข้างแรง นั่นหมายความว่าชายชราสามารถทำการทดลองให้สูงขึ้นอีกระดับได้..
สองร้อยแปดสิบองศา ... สองร้อยเก้าสิบองศา ... สามร้อยองศา...
หน้าจอทดลองเริ่มส่งสัญญาณเตือนเป็นสีแดงเข้ม และมีเสียงไซเรนดังจนน่ารำคาญ แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อชายชราเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ดวงตาของชายชราเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง !!
ในอดีตเคยมีการทดสอบในลักษณะนี้เกือบพันครั้ง และไม่มีผู้ใดที่สามารถทดลองไปได้ถึงสามร้อยองศาเลยสักคนเดียว แต่ในวันนี้มันต่างออกไป....
“ฮ้า!! ฮี่ฮี่ฮี่.... ฉันจะเรียกนี่ว่าโฮเรย์ ..มันวิเศษมาก นี่จะไปปรากฏใน ‘กรอรี่’และ‘โค้ด’ !!” ซิลลินไม่ได้มีอารมณ์มาสนใจกับคำพูดของชายชรา ตอนนี้เขาคิดว่าชายชราคนนี้นี่มันคนบ้าโดยสมบูรณ์แบบแล้ว!! แต่เขาเองก็เคยฝันว่าจะไปปรากฏตัวใน‘กรอรี่’และ‘โค้ด’เหมือนกัน
‘กรอรี่’และ‘โค้ด’เป็นนิตยสารเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์สองเล่มที่มีชื่อเสียง และมีอิทธิพลที่สุดในเครือข่ายระหว่างดวงดาว ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบันทึกเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ ของ GAL หรือสหพันธ์กาแลกติก นิตยสารทั้งสองเล่มนี้เป็นสิ่งพิมพ์ที่อยู่ในแนวหน้าของนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งยังเป็นสิ่งพิมพ์เพียงอย่างเดียวที่ได้คะแนนมากกว่า 90 คะแนน จาก 100 จากการจัดอันดับโดยสหพันธ์กาแลกติก ซึ่งงานวิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์ที่จะได้ตีพิมพ์ในนิตยสารทั้งสองฉบับนี้ต้องได้คะแนนอย่างน้อง 90 คะแนนเท่านั้นซึ่งบุคคล หรืองานวิจัยใดที่ไปปรากฏใน ‘กรอรี่’และ‘โค้ด’ สามารถทำให้สหพันธ์กาแลกติกสั่นคลอนได้เลยทีเดียว โดยนิตยสาร‘กรอรี่’ มักจะให้ความสำคัญกับนายพลและนักการเมือง ในขณะที่นิตยสาร‘โค้ด’ จะให้ความสำคัญกับนักวิชาการและผู้ชำนาญเฉพาะสาขา
ไม่สำคัญว่าบันทึกภายในนิตยสารทั้งสองจะเป็นบุคคลหรือการกระทำ ที่อาจจะมาจากบุคคล, ทรัพยากร, ความมั่งคั่งและเวลา ในโลกดาวเคราะห์โลกสีน้ำตาล ซิลลินเคยมีผลงานที่ดีที่สุดปรากฏในข่าว ซึ่งได้คะแนนอยู่ที่ 20 และลงตีพิมพ์ในนิตยสารที่มีชื่อเสียงเล็กน้อย ในความจริงข่าวที่ได้เกินสิบคะแนนจะได้รับการเผยแพร่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบวันโดยสถานีโทรทัศน์ของดาวเคราะห์แล้ว เพราะฉะนั้นคนธรรมดา ๆ คงจะคิดว่าคำพูดของชายชรานั้นเป็นเพียงแค่จินตนาการ
ชายชราหันลูกบิดอีกครั้ง สามร้อยสิบองศา ...
สามร้อยยี่สิบองศา ...
ติ๊ด- ติ๊ด- ติ๊ด-
สัญญาณเตือนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น สัญญาณชีพจรที่แสดงถึงการมีชีวิตอยู่ของซิลลินเริ่มมีความผันผวนอย่างไม่ปกติ เครื่องมือทดลงสองสามชิ้นเริ่มสั่นสะเทือน เริ่มมีปุ่มบางปุ่มที่เกิดการระเบิดขึ้น และกำลังแย่ลงเรื่อยๆ แม้แต่ท่อที่ติดอยู่กับซิลลินก็เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เคร็ง !!
กุญแจที่ล็อคติดอยู่กับนิ้วอของซิลลิน เริ่มขยับออก
ชายชราไม่ได้สนใจซิลลินแม้แต่น้อย เนื่องจากความสนใจทั้งหมดของเขาถูกดึงดูดไปกับความสนใจบนหน้าจอควบคุม นิ้วของเขาบิดลูกบิดอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ทันที่จะไปถึงตัวเลขสุดท้าย ปุ่มทุกปุ่มบนเครื่องมือก็ระเบิดออกจากเครื่องทดลอง
ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าข้อจำกัดของซิลลินอยู่ที่ไหน นิ้วมือสองนิ้วของซิลลินหลุดจากเครื่องพันธนาการมาได้ เนื่องจากปุ่มบนเครื่องทดลองพัง หลังจากที่ซิลลินสะกดจิตตัวเองภายใต้ความเจ็บปวดมายาวนาน นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของเขา..
จากสติที่หลงเหลือเพียงน้อยนิด ซิลลินคีบปุ่มที่ตกอยู่ใกล้กับนิ้วมือเขาและยิงปุ่มออกจากมือภายในเสียววินาที
ปุ๊!!
ปุ่มบินกระดุกกระดิกอยู่สามครั้ง แล้วพุ่งผ่านผนัง และแผ่นกั้นของเครื่องทดลอง ก่อนที่จะยิงผ่านตาซ้ายของชายชราไปยังระบบประสาทส่วนกลางของสมอง ไปตัดวงจรของเส้นประสาท แล้วฆ่าเขาแทบจะในทันที ขณะเดียวกันนั้นนิ้วมือของชายชราก็จับอยู่ที่ลูกบิดพร้อมที่จะทำการปรับในขั้นสุดท้าย โดยตัวเลขบนลูกบิดชี้ไปที่สามร้อยห้าสิบองศา ดังนั้นนี่จึงไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงเกินไปว่าหากลูกบิดสามารถหมุนไปได้ถึงสามร้อยหกสิบองศาแล้วล่ะก็ ซิลลินคงไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เป็นแน่
ขอบคุณพระเจ้าที่ชายชรายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ และต้องขอบคุณพระเจ้าที่ชายชราไม่ได้เปลี่ยนร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่งเกินไป จึงมีโอกาสที่ได้เห็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตของชายชราคนหนึ่งที่ตายอยู่ข้างกับเครื่องทดลองอย่างหมดสภาพ
หลังจากที่ชายชราตายแล้ว แท่งแก้วทั้งหลายที่ล้อมรอบตัวของซิลลินอยู่ก็หดกลับแทบจะในทันที และปรากฏคำเตือนขึ้นที่ด้านบนของเครื่องทดลอง จากนั้นก็มีเสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นว่า “เจ้าบ้านตายแล้ว เริ่มทำการลบโปรแกรม”
ซิลลินไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ ร่างกายของเขายังคงเป็นอัมพาตอยู่ ซิลลินค่อยๆหันมองไปรอบๆ แล้วพยายามปีนลงมาจากโต๊ะทดลอง เขาไม่สามารถยืนขึ้นได้ ทำได้เพียงแต่ยกศีรษะของเขาขึ้นมา เพื่อดูภาพและข้อมูลที่กระพริบอยู่บนหน้าจอทดลองนั้น ข้อมูลทุกอย่างกระพริบผ่านหน้าจอและกำลังจะถูกลบ
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ายีนอันดับ B หรือแม้กระทั่งอันดับหนึ่งของมนุษย์จะสามารถจำข้อมูลทั้งหมดนี้ได้หรือไม่ แต่ซิลลินสามารถจดจำข้อมูลทั้งหมดได้จากหน้าจอนับสิบหน้า ถ้าเป็นในอดีตแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเป็นคนความจำดีคนหนึ่ง แต่ก็ไม่มีทางจะจดจำได้เร็วขนาดนี้ แต่ดูเหมือนศักยภาพของซิลลินจะเพิ่มขึ้นจนน่าแปลกใจ..
ร่างกายของซิลลินเริ่มปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาสามารถจดจำข้อมูลทั้งหมดบนหน้าจอไว้ในสมองของเขาได้ สิ่งที่ชายชราเคยฉีดเข้าไปเหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าเขาถอดรหัสข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ เขาอาจต้องเสียชีวิตด้วยระเบิดเวลานี้ก็เป็นได้
ห้านาทีต่อมา โปรแกรมทั้งหมดได้ถูกลบอย่างสมบูรณ์ และข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าจอทดลองที่เกี่ยวกับการทดลอง รวมทั้งข้อมูลของชายชรานาม โฮเรย์ แฮนด์สัน ได้ถูกจดจำไว้ภายในหัวของซิลลินเรียบร้อยแล้ว
"การลบโปรแกรมเสร็จสมบูรณ์ โปรแกรมทำลายตนเองจะถูกเรียกใช้ภายในห้านาที นับถอยหลังสู่การสู่โปรแกรมทะเลทรายใน ... "
แมร่งเอ้ยย !! ซิลลินสาปแช่งออกมา เขาขยับตัวเล็กน้อย ร่างกายของเขาค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาบางส่วน ซิลลินพาร่างกายที่อ่อนล้าออกเดินโซเซมาตามทางออกด้วยความยากลำบาก
ทุกประตูของห้องใต้ดินเปิดอยู่ ห้องอื่นๆ ถูกใช้ในการจัดเก็บตัวอย่างอาหาร, อุปกรณ์ยา และอื่นๆ ส่วนห้องทดลองที่ซิลลินอยู่ เขาไม่มีเวลาในการตรวจสอบสิ่งของใดๆ เลย ทำได้เพียงย้อนกลับไปตามเส้นทางที่เขาเดินเข้ามา
ประตูทุกบานถูกเปิดออก สิ่งกีดขวางที่มีก็หายไป โปรแกรมทะเลทรายถูกเปิดใช้งานเมื่อซิลลินเดินทางไปถึงช่องระบายอากาศที่ขอบห้องทดลอง จู่ๆก็ปรากฏเหมือนทรายดูดเกิดขึ้นกลางห้องแล็ป ห้องเครื่องมือรวมทั้งชายชราที่ตายแล้วถูกดูดลงไปในทรายทั้งหมดอย่างรวดเร็ว และทรายดูดค่อยๆ ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ โชคดีที่ซิลลินออกจากช่องระบายอากาศและกลับมาที่ตึกหน้าสุดแล้ว แต่ทะเลทรายเพิ่งจะมาถึงช่องระบายอากาศ
ซิลลินแทบไม่มีเวลาพัก เขารู้ว่า “โปรแกรมการทำลายตนเองของชายชรา” ไม่เพียงแค่เกิดทะเลทรายเท่านั้น ด้วยความที่ชายชราเป็นคนโหดร้ายไร้ความปราณี ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าผลงานการวิจัยของเขาจะไม่ถูกบุกรุก เขาจึงตั้งโปรแกรมให้ทำลายตึกทั้งหมดทิ้งทันที โชคดีที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น และยังไม่มีใครอยู่บนถนน ภายใต้ความมืดซิลลินพยายามเดินให้อยู่ในเส้นทางที่อยู่ใต้หลังคา เพราะหากเขาถูกค้นพบโดย “ดวงตาแห่งท้องฟ้า” มันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ดังขึ้นปลุกทุกคนจากการหลับใหล มีควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เปลวไฟลุกโชติช่วง เกิดช่องว่างลึกและกว้างขึ้นบนพื้นดิน อาคารได้รับผลกระทบจากการระเบิด กลายเป็นซากปรักหักพัง หลังการระเบิดก็มีเสียงเด็กที่ตื่นขึ้นมาร้องไห้ระนาว รวมทั้งผู้ใหญ่ที่พากันสาปแช่งไม่หยุดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ก่อนที่ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นจะเข้าไปใกล้บริเวณเกิดระเบิด ได้มีแสงสีขาวจาก “ดวงตาแห่งท้องฟ้า” ทอดลงมาจากฟากฟ้าเพื่อปกคลุมบริเวณการระเบิด และแยกมันออกจากชุมชน ไม่นานหลังจากนั้นตำรวจก็เขามาลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบ และระงับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โชคดีที่ซิลลินสามารถหลบหนีกลับไปยังห้องกว้างสิบตารางเมตรในพื้นที่ยากจนได้อย่างปลอดภัย อาการปวดเส้นประสาทจากความตึงเครียดของเขาค่อยๆหายไป ขณะที่เขาล้มตัวลงนอนและหลับลึกไปในที่สุด..