มหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์ขึ้นชื่อในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงไปทั่วกาแล็กซีไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการวางแผนทางภูมิศาสตร์และการเมือง หรือการจัดสรรทรัพยากรและอุปกรณ์ซึ่งหาได้ยากยิ่งสำหรับในสิบเขตการปกครอง ที่นี่มีโซนการวิจัยและเทคโนโลยีที่พร้อมสรรพ พวกเขามีพื้นที่ใช้ในการฝึกอบรมที่เปิดกว้าง ในเมืองมีสีสันคึกคักมีทั้งการพักผ่อนและความบันเทิง ทั้งยังเป็นเขตการค้าที่มีสินค้าหลากหลายประเภทอีกด้วย พวกเขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่พร้อมสรรพและสมบูรณ์แบบเหลือเกิน
บริเวณมหาวิทยาลัยนั้นอยู่ใกล้กับท่าเรือมากที่สุดและมีเขตที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ติดกับท่าเรือด้วย มีกลุ่มอาคารสูงและวิลล่าอยู่รวมกัน ตามที่คู่มือมหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์ได้อธิบายไว้ห้องพักของนักศึกษาจะได้รับการคัดเลือกจากทางมหาวิทยาลัย ซึ่งนักศึกษาไม่สามารถเลือกเองได้อิสระ แน่นอนว่ามีบ้านหรูอยู่หลายแห่ง ทั้งยังมีอาคารสำนักงานให้เช่าและก็มีนักศึกษาบางคนที่เช่าอาคารเหล่านี้อยู่ เพราะเงินเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญคือขีดจำกัดอำนาจของการ์ดเซเว่นไลท์ต่างหาก ถ้าคุณมีการ์ดเซเว่นไลท์อยู่ในระดับหนึ่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องเหล่านี้เลย
มหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์นั้นตั้งอยู่ใจกลางและล้อมรอบไปด้วยเขตบันเทิงต่างๆ, โซนการฝึกอบรม, เขตการค้าและอื่นๆ ซิลลินนั้นไม่ได้ตรงไปที่มหาวิทยาลัยทันที แต่เขาตั้งใจจะลงทะเบียนที่นั่นหลังจากที่ไปสำรวจรอบดาวเคราะห์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไปตามป้ายบอกทางบนแผนที่ ซึ่งจุดแรกที่รถไฟจะไปคือย่านเขตการค้า อาจเป็นเพราะไม่ใช่เวลาเร่งด่วนที่ชานชาลาจึงมีผู้คนไม่มากนัก บางคนก็หลับตาลงขณะที่กำลังนั่งพักอยู่ เมื่อพิจารณาจากป้ายที่หน้าอกของพวกเขาแล้ว ทั้งหมดเป็นนักเรียนเกรดสามหรือสี่จากมหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์แทบทั้งสิ้น
ซึ่งมหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์จะแบ่งออกเป็น 7 ระดับตามระดับการศึกษา เกรดหนึ่งถึงเกรดสี่จะได้อำนาจสิทธิประโยชน์ในการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน โดยนักศึกษาสามารถสมัครเรียนเกรดห้าต่อได้หลังจากสำเร็จการศึกษาถึงเกรดสี่ แน่นอนว่าผู้ที่มีผลการเรียนที่ดีย่อมสามารถสมัครเพื่อศึกษาต่อได้ และในเซเว่นไลท์ผู้ที่ศึกษาต่อจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุด เหตุผลที่ไม่มีนักเรียนจากเกรดห้าถึงเกรดเจ็ดเดินทางไปต่างเมืองด้วยรถไฟเนื่องจากพวกเขาทุกคนมีรถส่วนตัว ซึ่งสะดวกมากกว่าการนั่งรถไฟหรือการเช่าแท็กซี่นั่นเอง ตอนที่ซิลลินพูดคุยกับคัง แมนที่สถานีขนส่ง เขาได้รู้ว่าหลักสูตรการศึกษาของคัง แมนคือสี่บวกสามซึ่งเป็นหลักสูตรที่พัฒนาผสมผสานขึ้นมา ซึ่งหลักสูตรนี้เปิดให้เรียนเฉพาะนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกมาเป็นพิเศษ อีกทั้งพวกเขายังได้รับการดูแลที่ดีต่างจากนักเรียนคนอื่นๆ ทั่วไปด้วย ซิลลินและนักศึกษาบางคนมีเซเว่นการ์ดขั้นพื้นฐานเป็นสีแดงเข้ม แต่คัง แมนนั้นได้ขั้นพื้นฐานเป็นสีส้ม ซึ่งมีลำดับสูงกว่าหนึ่งขั้นเมื่อเทียบกับบัตรของพวกซิลลิน
เมื่อซิลลินได้ยินประกาศจากรถไฟว่าถึงจุดหมายแล้ว เขาก็ลุกจากที่นั่งและสะพายกระเป๋าไว้บนหลัง ขณะที่ซิลลินกำลังออกไปเขาก็ต้องงงอีกครั้งกับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขาอ่านคำอธิบายในโซนของการค้าในคู่มือเซเว่นไลท์แต่มันก็ต่างกับสถานที่จริงไปมาก
สถานที่แห่งนี้เปรียบเหมือนเป็นอาณาจักรธุรกิจขนาดยักษ์ใหญ่.. โซนการค้าที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนจะเกิดขึ้นมาจากถนนและอาคารพาณิชย์รุ่งเรืองที่ซับซ้อนมากมายนับไม่ถ้วนตัดกันไปมา มีรถบินขับไปมา บวกกับฝูกชนที่เสียงดังมากมาย.. นี่เป็นแค่มหาวิทยาลัยจริงๆ เหรอ? ทำไมมันไม่ได้ดูแตกต่างไปจากถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าบนดาวเคราะห์ในเขตการปกครอง D ตอนที่เขาไปหาไอฟรอนเลย? มีป้ายบอกถนนและป้ายโฆษณาจำนวนมากที่นำทางให้ผู้คนมาถึงที่นี่ มีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ติดอยู่กลางอากาศซึ่งจะมีโฆษณาฉายเป็นครั้งคราว เช่นโฆษณาที่มีเด็กสาวสวมชุดชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าถืออุปกรณ์ในมือและแนะนำสินค้าต่างๆ ซึ่งหน้าจอโฆษณาดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ในทุกที่และครอบคลุมในทุกสิ่งจากความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดในชีวิตประจำวัน ไปจนรองเท้าโรลเลอร์สเก็ตและรถยนต์บิน ทุกอย่างมีภาพที่สวยงามแล้วยังนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งดีพอที่จะดึงดูดความสนใจแก่ผู้บริโภคได้ไม่น้อยเลย
ซิลลินลองสุ่มเข้ามาในร้านค้าแห่งหนึ่ง ขณะเข้ามาเขาแทบจะรู้ได้ทันทีเลยว่าร้านนี้ไม่ได้ขายสินค้าธรรมที่มีราคาย่อมเยาเลย และทางร้านก็ไม่มีของที่ซิลลินต้องการด้วย ซึ่งคงจะเป็นเรื่องน่าอายอย่างมากที่ในถนนการค้าระดับไฮเอนด์ที่ไม่มีของที่ลูกค้าต้องการ และแม้ว่าซิลลินจะมีเงินออมอยู่ในบัตรของเขา แต่ก็ไม่ได้มีมากพอที่จะสามารถซื้อของในร้านนี้ได้ นั่นนับเป็นโชคดีที่เขายังไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของพวกนี้ในเวลานี้
หลังจากเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าและซื้อสิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเรียบร้อยแล้ว ซิลลินก็เดินไปตามตลาดนัดซึ่งแต่ละร้านไม่ได้ติดป้ายชื่อร้านอย่างเป็นทางการอะไร แต่คนที่เปิดร้านขายของบนถนนสายนี้นั้นล้วนแต่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่สองแทบทั้งสิ้น สินค้าที่นำมาขายส่วนหนึ่งเป็นของรางวัลที่พวกเขาได้รับขณะออกสำรวจภาคสนามนอกดาวเคราะห์ หรือจากรางวัลระหว่างการสอบในชั้นมัธยมปีที่หนึ่ง บางส่วนของสิ้นค้าเป็นของเล่นขนาดเล็กที่ดูไม่ค่อยมีราคาอะไรนอกจากเป็นของที่ใช้ประดับตกแต่งในห้องนั่งเล่นเท่านั้น แต่ของประดับบางชิ้นก็เป็นของแปลกหายากทำให้บางคนก็สนใจที่จะลงทุนซื้อไป สิ้นค้าบางชิ้นก็มีทั้งโลหะมีค่าหรือบล็อกพลังงาน ที่ถ้าส่งไปยังร้านค้าขนาดใหญ่ก็อาจจะถูกอัพราคาค่าธรรมเนียมบ้างบางส่วน นี่จึงเป็นเหตุผลให้ผู้ขายหลายๆ คนทำการขายสินค้าด้วยตัวเอง
โดยในตอนนี้ซิลลินก็กำลังเดินชมสินค้าไปยังร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งอยู่ตลอดถนนสายนี้
“นี่เป็นเปลือกหอยใหญ่ที่เราได้มาตอนไปตกปลาที่ดาวเคราะห์ทะเลสีฟ้าเมื่อเดือนที่แล้วครับ เมื่อลมพัดผ่านเปลือกหอยนี้คุณจะสามารถได้ยินเสียงคลื่นทะเล และเมื่อคุณมองไปยังเปลือกหอยจะพบว่ามันเปลี่ยนสีได้ด้วยนะครับ..”
“โอ้..พี่ชายสุดหล่อ นี่คือแร่โลหะผสมที่เราขุดขึ้นมาได้ระหว่างการสำรวจภาคสนาม ครูผู้สอนที่นำทีมของเราในครั้งนั้นบอกว่าโลหะนี้มีอัตราส่วนขององค์ประกอบบางอย่างที่มีนัยสำคัญที่ทำให้แร่โลหะนี้สามารถใช้สร้างและซ่อมแซมอาวุธรวมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนอาวุธได้ด้วยนะครับ..”
“.....”
ซิลลินมองไปรอบๆ ในบริเวณนี้มีคนขายสินค้าหลากหลายรูปแบบแทบจะทุกประเภท สำหรับบางคนก็อาจเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเพิ่งมาลองขายเป็นครั้งแรก ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าบางคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขายแค่ไหนผ่านทางเสียงตะโกนและคำพูดเรียบลื่นในการนำเสนอสินค้าที่แทบไม่ต่างจากพ่อค้ามือเก๋าเลยทีเดียว เห็นได้จากหญิงสาวคนหนึ่งที่มีท่าทางคล่องแคล่ว สามารถนำเสนอสินค้าได้อย่างน่าสนใจและการปรากฏตัวของเธอก็น่าสนใจไม่น้อยเลย อย่างน้อยที่สุดก็มีคนจำนวนสามคนที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าแผงลอยของเธอ และดูเหมือนเขาจะกำลังสนใจสินค้าที่เธอนำเสนออยู่ด้วย
ขณะที่ซิลลินเดินผ่านแผงลอยต่างๆ ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่แผงลอยข้างๆ เขา ชายผู้นั้นดูอายุราวๆ กับซิลลิน ผมของเขาดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย สวมกางเกงยีนส์และรูปร่างอ้วนท้วน เขาใส่รองเท้าแตะถักหวายและมือกำลังถือพัดที่ทำจากใบไม้ ซึ่งซิลลินเคยเห็นพัดชนิดนี้อยู่บนแผงลอยที่ขายผลิตภัณฑ์จากต้นไม้มาก่อน
ชายคนนี้ก้มตัวลงที่หน้าแผงลอย และโบกพัดไปมาด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกมือกำลังจับของชิ้นเล็กๆ ที่หยิบมาจากแผงลอย ซึ่งดูเหมือนเขากำลังตรวจสอบวัตถุดิบของสินค้าและคุณภาพของมันอยู่ อย่างไรก็ตามซิลลินรู้สึกว่าพ่อค้าที่อยู่ด้านหลังเขานั้นมีอะไรแปลกๆ แต่เมื่อซิลลินจึงหันไปดู ตอนแรกซิลลินทำทีจะพูดอะไรบ้างอย่างแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ซิลลินรู้สึกว่าพ่อค้าคนนั้นมีแรงดึงดูดที่ทำให้มีคนมารุมที่แผงลอยของเขาอย่างมากมาย ซึ่งมันได้กระตุ้นความอยากรู้ของซิลลินอย่างมาก เขาจึงยืนอยู่ตรงนั้นและเฝ้ามองดูอย่างเงียบๆ แต่พ่อค้าคนที่อยู่ข้างๆ เขาก็ไม่ได้มีท่าทีที่แปลกไปกว่านี้ ซึ่งตอนนี้เขากำลังอธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบและคุณภาพของสินค้าอยู่อย่างกระตือรือร้น
จากนั้นกระบวนการต่อรองราคาที่แสนร้อนแรงก็ได้เริ่มขึ้น ซิลลินสังเกตเห็นดวงตาของพ่อคาขยับจากใบหน้าที่ดูรื่นเริงให้กลายเป็นเหมือนตัว U ที่น่าสะพรึงกลัว เขาไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธขณะที่กำลังพูดว่า “ลืมมันไปเถอะหนูน้อย คุณดูเหมือนเป็นนักเรียนใหม่ คิดซะว่าสิ่งนี้เป็นของขวัญจากเพื่อนผู้อาวุโสล่ะกันนะ”
“ไม่ล่ะ! ฉันไม่ได้รู้จักคุณ และก็ไม่จำเป็นต้องรับของของคุณ นอกจากนี้ถ้าคุณไม่รับเงินอย่างน้อยก็น่าจะมีความสำนึกผิดสักนิดนะรู้ไหม!!” มโนธรรม.. คุณยังมีสิ่งนี้อยู่ไหมเนี่ย? ราคาสินค้าถูกต่อจาก 500 เหรียญเป็น 50 เหรียญ น้ำตาแทบจะไหลออกจากดวงตาของพ่อค้า เด็กผู้ชายปฏิเสธเมื่อเขาพยายามขายของให้ แล้วเด็กคนนั้นก็เดินหายไปจากสายตาเขาทันที
ในมุมหนึ่งของตึกที่ถัดจากร้านนั้นมาเล็กน้อย ซิลลินเห็นชายคนหนึ่งเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อของเด็กชายและหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าจำนวนหนึ่งพันเหรียญ แล้วเขาก็ขมวดคิ้วและล้วงไปที่กระเป๋าอีกใบ หยิบบัตรเซเว่นไลท์และบัตรวีไอพีอีกสองสามใบจากร้านค้าสุดหรูที่มีเพียงไม่กี่แห่งจากเขตการค้าออกมาจากกระเป๋า เขาใช้เวลาในการค้นหาเป็นเวลานานก่อนที่จะได้เงินอีกจำนวนห้าสิบเหรียญจากอีกกระเป๋าหนึ่ง“มีแค่ห้าสิบเหรียญ อย่าพูดว่าฉันได้จากนายมาเยอะเลยนะ” ชายคนนั้นยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูอันตราย และเด็กผู้ชายคนนั้นก็ทำหน้าตาเหยเกเหมือนกับมีอาการท้องผูกเรื้อรังยังไงอย่างนั้น ซึ่งเพียงแค่มองไปที่เขาซิลลินสามารถรับรู้ได้ถึงความทุกข์ของเขาได้แล้ว
ซิลลินเฝ้าดูการจากไปของชายคนนั้น ถ้าเขาเป็นเจ้าของร้านเข้าคงจะจัดการไอ้เลวคนนั้นไปแล้ว ซิลลินเห็นเด็กคนนั้นก้มเก็บของอย่างน่าสงสาร และได้แต่ชี้ไปที่ด้านหลังของไอ้ชั่วคนนั้น เขาไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียวเป็นเวลานาน ซิลลินได้ยินที่พ่อค้าเข้าไปปลอบโยนที่ด้านหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังชี้นิ้วอย่างสั่นไหว “ปล่อยเขาไปเถอะ..ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดี และเธอก็ไม่ใช่คนเดียวที่เดือดร้อนเพราะเขาหรอกนะ”
“เขา..เขามันเป็นพวกไอ้เลว” เด็กชายพูดออกมาอย่างเคียดแค้น
“เฮ้เพื่อน..ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวานจากวิทยากรคนหนึ่ง เมื่อฉันค้นพบความจริงมันก็ทำให้ฉันมีแรงกระตุ้นที่จะวิ่งชนกับปัญหา ไหนบอกความจริงกับฉันมาซิ ว่าเจ้านั่นเป็นใคร!!” พ่อค้าถามออกมาสีหน้าจริงจัง
เด็กชายจึงตอบเขาไปว่า “เจ้านั้นถูกเรียกว่า ลังค์ แอนเดรีย”
“นามสกุลนี้คุ้นมาก...” พ่อค้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนที่ดวงตาของเขาจะเปิดกว้าง “แอนเดรีย..เขา...เขามาจาก..ครอบครัวที่ไม่มีอะไรดีนอกจากเงิน”
“ใช่เลย!!” เด็กคนนั้นพูดสมทบขึ้นมา
“....”
ซิลลินยิ้มและสั่นศีรษะเล็กน้อย
ชื่อเสียงของตระกูลแอนเดรียในกาแล็คซีนั้นมีมากกว่ากระกูลดัวแอส ซึ่งในความเป็นจริงครอบครัวดัวแอสนั่นมีความมั่งคั่งมากกว่า แต่เหตุผลที่ครอบครัวแอนเดรียมีชื่อเสียงมากก็เนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้นำตระกูลแอนเดรีย ซึ่งได้พูดดูถูกเกี่ยวกับคนยากจนบางคนในงานเลี้ยงวันเกิดของนายพล แล้วนายพลก็พูดติดตลกว่า “ใช่..คุณช่างน่าสงสารเหลือเกิน แต่จะมีดีหน่อยก็คงเรื่องเงิน” ดังนั้นชื่อ “ครอบครัวที่ไม่มีอะไรดีนอกจากเงิน” จึงแพร่กระจายไปทั่วทั้งกาแล็กซี