px

เรื่อง : Star Rank Hunter
Chapter 19 มีบางอย่างที่แปลก..เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น


สินค้าที่ขายในร้านขายของเล็กๆ เหล่านี้ดูน่าสนใจไม่เลวเลย แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร เป็นเรื่องจริงที่ผู้ซื้อที่กำลังมองหาสินค้าไม่ได้มาซื้อที่นี่เป็นที่แรก ผู้ที่มาที่นี่ต้องการเห็นความแปลกใหม่ และถ้าพวกนักเรียนสามารถขายของเล่นใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ก็พร้อมที่จะมีอีกหลายคนยินดีที่จะซื้อสินค้าของพวกเขาในราคาที่สูง

ร้านถัดไปคือ...แผงลอยที่ขายต้นไม้ ซึ่งได้รับความสนใจจากซิลลินเป็นอย่างมาก ต้องขอบคุณการศึกษาจากเจญญ่าที่ทำให้ซิลลินได้รับการฟูมฟักมาจากพื้นที่ที่มีความเขียวชอุ่มของต้นไม้ ดอกไม้ในแผงลอยนี้วางไว้บนริมขอบข้างทางของถนน บางต้นได้รับการปลูกจากคนที่ชื่นชอบดอกไม้ด้วยกัน บางส่วนก็มีเมล็ดและกิ่งไม้ที่รวบรวมมาตอนที่พวกเขาออกจากโลกไปเพื่อฝึกฝนภาคสนาม ซิลลินเคยเห็นหนังสือทั้งหมดเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์บนจอแสดงผลมาก่อน แต่เมล็ดพันธุ์บางต้นนั้นเขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน

หลังจากสังเกตต้นไม้เล็กน้อย ซิลลินก็เหลือบไปเห็นเถาสีเขียวที่ผนึกอยู่ในไบโอฟิล์มและแร่ธาตุ รวมทั้งชื่อบนฉลากนั้นเขียนว่า “บิ๊กฟุต พาทิโนไซซัส ไตรคัสพิดาต้า” หรือก็คือต้นเถาไอวี่นั่นเอง เมื่อเทียบกับต้นตระกูลพาทิโนไซซัสแบบปกติ มันมีความสามารถในการขึ้นบนเขาได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังทนต่อรังสีและความแห้งแล้งมากกว่าแบบปกติถึงสิบเท่า ซิลลินเลยลองจับป้ายราคาของเจ้าต้นนี้ขึ้นมาดู โดยราคาของมันอยู่ที่ 8,000 เหรียญกาแล็กซี ซึ่งค่อนข้างแพงเลยทีเดียว

โดยผู้ขายเป็นเพียงนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น และเมื่อเขาเห็นซิลลินจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วอธิบายว่า “พี่ชาย..นี่อาจจะราคาสูงไปหน่อย แต่มันเป็นของจริงเลยนะ เจ้าบิ๊กฟุตต้นนี้น่ะไม่เหมือนกับสายพันธุ์ที่คุณเคยเห็นมาก่อนหรอกนะ เราพบเถาไอวี่นี้โดยบังเอิญตอนที่ไปฝึกอบรมที่นอกดาวเคราะห์ พวกเราได้เจ้าต้นนี้มาไม่มากนักหรอกเพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา มันไม่เพียงแต่หาได้ยากเฉพาะในดาวเคราะห์เซเว่นไลท์เท่านั้นนะ..แต่ทั่วทั้งกาแล็กซีก็หาได้ยากเช่นกัน” ผู้ขายพูดชักจูงอย่างมีเลศนัย แล้วเขาก็นำเครื่องวัดเส้นผ่านศูนย์กลางอินฟราเรดออกมาโบกผ่านซิลลิน แล้วจากนั้นเขาก็วางเถาไอวี่ไว้ข้างขวาของตัวเอง เมื่อซิลลิน เห็นภาพบนมาตรวัด เขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะภาพรอบๆ เถาไอวี่นั้นถูกเบลออย่างไม่น่าเชื่อ เขาแทบจะมองไม่เห็นหน้าของคนขายที่อยู่หลังเถาไอวี่เลย

“งั้นฉันเอาอันนี้” เจ้าของแผงลอยดูดีใจมากกับการตัดสินใจของซิลลิน “สิ่งนี้คุ้มค่าต่อการซื้อไปอย่างแน่นอน ถ้าคุณปลูกต้นนี้ไว้ที่บ้าน มันจะทำให้รอบๆ บริเวณที่คุณอาศัยอยู่สามารถพรางตาจากคนนอก ทำให้คนนอกมองเข้าไปในบ้านของคุณได้ยากขึ้น อีกทั้งยังช่วยกำบังจากกล้องโทรทรรศน์ในกลางคืนอีกด้วยนะครับ” ก่อนที่ซิลลินจะได้ทันแสดงความคิดเห็นของเขา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาเสียก่อน

“เฮ้!! ฉันเคยเห็นสิ่งนี้ที่สถาบันวิจัยพฤกษศาสตร์ในเขตวิจัยที่เซเว่นไลท์มาเมื่อวานนี้เอง ฉันได้ยินมาว่ามันสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงสิบวันหลังจากที่ออกมาแล้ว แล้วขณะนี้มันก็เป็นวันที่แปดแล้วนิ”

เขาคือ..ลังค์ แอนเดรีย!! นั่นเอง หลังจากลังค์เดินมา ซิลลินก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก ส่วนเขานั้นก็มองดูแผงลอยด้วยความสงสารเล็กน้อย “อะแฮ่ม.. นี่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดหรอก ถ้ามันถูกผนึกอยู่ในไบโอฟิล์มและแร่ธาตุก็จะสามารถเก็บไว้ได้สิบวันหรือมากกว่านั้น” ผู้ขายมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อเขาถูกแฉโดยลังค์ เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับใครที่จะมีความรู้ในด้านพฤกษศาสตร์จริงๆ ..วันนี้นี่แมร่งโคตรโชคร้ายเลย

ลังค์มองไปที่เถาไอวี่แล้วหยิบมันขึ้นมา “ผมได้ยินมาว่างานวิจัยห้าสิบกว่าตัวอย่างที่สถาบันได้ตายทั้งหมด แต่คงยังมีตัวอย่างบ้างต้นที่ยังเหลืออยู่และถูกเก็บรักษาเอาไว้ด้วยวิธีนี้ หากอาจารย์ออกไปสำรวจที่ต้นแม่ พวกเขาคงจะได้ตัวอย่างเป็นจำนวนมากภายในเวลาไม่กี่วันแน่”

ห้านาทีผ่านไป... ด้วยอากัปกิริยาที่แสดงถึงความเศร้าเสียใจจากผู้ขาย ซิลลินจึงให้เงินเขาไป 80 เหรียญกาแล็กซีสำหรับต้นเถาไอวี่นั้น และสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ลังค์ ..ผู้ชายคนนี่เป็นคนที่ควรจะหนีไปให้ไกลๆ ไกลแค่ไหนได้ยิ่งดี ซิลลินคิดกับตัวเองว่า.. นี่เหรอคือตัวจริงของสมาชิกในครอบครัวที่ไม่มีอะไรดีนอกจากเงิน

“งั้น? ฉันควรจะได้รางวัลอะไรบ้างนะเนี่ย เพราะนายได้ลดราคาลงมาตั้งมากขนาดนั้นเพราะฉันเลยนะเนี่ย” ลังค์พูดและมองไปที่ซิลลินอย่างร่าเริง ซิลลินถอนหายใจเล็กน้อยและพูดออกมาว่า “งั้นถ้านายต้องการอะไรก็บอกฉันมาได้เลย..” คนในตระกูลแอนเดรียไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีนัก พวกเขาจะไม่ทำอะไรหากไม่ได้รับผลประโยชน์ด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ลังค์ช่วยพูดกดราคาจนซิลลินสามารถซื้อต้นเถาไอวี่มาได้ในราคาที่ถูก เพราะเขาหวังผลประโยชน์จากซิลลิน ด้วยความที่ซิลลินรู้ทันจึงเสนอให้ลังค์บอกสิ่งที่ต้องการมาได้ เขาจะทำให้ตราบใดที่มันดูสมเหตุสมผลและสามารถยอมรับได้

“เยี่ยมมาก.. นายเป็นคนตรงๆ ดีนะ งั้นสำหรับรางวัลของฉันล่ะก็.. ถ้าหากว่านายสามารถปลูกเถาไอวี่นี้ให้เติบโตได้ นายจะต้องบอกเทคนิควิธีการปลูกมันให้กับฉันก่อนใครเลยนะ”

“แล้วนายแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะปลูกมันได้สำเร็จ? เพราะแม้แต่นักวิจัยของสถาบันยังล้มเหลว นายคิดว่าฉันจะทำมันสำเร็จได้อย่างนั้นเหรอ นอกจากนี้ก็คงเป็นอย่างที่เจ้าของร้านบอกว่าเราสามารถซื้อของพวกนี้ไว้เป็นที่ระลึก หรือไม่ก็เพื่อความสนุกส่วนตัวมากกว่า”

“เหตุผลของฉันงั้นเหรอ? ก็นะ..ฉันบอกได้แค่ว่ามันเป็นสัญชาตญาณของคนตระกูลแอนเดรียก็แล้วกัน” ลังค์พูดอย่างคล่องแคล่ว

“งั้นก็..ได้สิ ถ้าหากว่ามันสำเร็จน่ะนะ” ซิลลินตอบด้วยรอยยิ้มและเดินเลี้ยวออกมาทางซ้ายของถนนในศูนย์การค้า

ซิลลินต้องการซื้อสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเอาไว้ใช้เดินทางไปไหนมาไหนระหว่างที่เขาอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ เพราะโซนมหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์นั้นค่อนข้างกว้าง โดยจากพาหนะทั้งหมดที่มีนั้นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีราคาถูกที่สุดซึ่งถูกกว่ารถบินมาก สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้านั้นมีลักษณะเหมือนกับสเก็ตบอร์ด และเคลื่อนไหวด้วยมอเตอร์สามารถบังคับด้วยมือได้ แต่หากต้องการจะฝึกร่างกายของคุณไปด้วยและเพื่อเป็นการประหยัดพลังงานก็สามารถดันพื้นด้วยเท้าตัวเองก็ได้

โดยก่อนที่เขาจะไปซึ้อสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซิลลินได้เดินผ่านร้านหนังสือ หน้าร้านนั้นเก่าและใหญ่มากอีกทั้งยังให้ความรู้สึกที่แปลกตาด้วย ที่ร้านหนังสือนั้นมีงานครบรอบเจ็ดร้อยปีของร้าน ซิลลินไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษของร้านได้เพราะเขานั้นไม่ได้เป็นสมาชิกของทางร้าน แต่เขาสามารถเข้าร่วมตอบคำถามทั่วไปได้ ซึ่งแหล่งที่มาของคำถามนั้นก็มาจากหนังสือในร้านนั่นเอง และผู้ที่ตอบคำถามได้มากที่สุดก็จะได้รับเงินรางวัลไป 10,000 เหรียญกาแล็คซี และสามารถเลือกรับหนังสือจำนวนสิบเล่มจากทางร้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ รวมทั้งได้บัตรสมาชิกแบบวีไอพีไปด้วย อีกทั้งยังมีรางวัลสำหรับผู้ที่ตอบคำถามได้ถูกต้องโดยมีคะแนนระหว่างห้าสิบเปอร์เซนต์ถึงเก้าสิบเปอร์เซนต์ด้วยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะได้รับคูปองส่วนลดของร้านไว้ใช้ลดหนังสือในครั้งต่อไปที่มาซื้อ

ซิลลินไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ดังนั้นเรื่องอะไรที่เขาจะพลาดโอกาสในการร่วมแข่งขันในครั้งนี้... เพราะซิลลินนั้นเคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อน หนังสือพวกนี้เป็นขั้นพื้นฐานจากหนังสือมากมายที่เขาเคยอ่านมาก่อน งานนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก หลังจากตรวจสอบการ์ดเซเว่นไลท์และตรวจสอบเข้าแล้ว พนักงานก็จัดลำดับในการตอบคำถามให้แก่ซิลลิน

คำถามเกือบทั้งหมดเป็นไปตามข้อกำหนด แต่มีบางคำถามเกี่ยวกับความจำประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่างเช่น ข้อความนี้มาจากหนังสือเล่มใด, สงครามนี้เกิดขึ้นในปีใด, แม้กระทั่งคำถามที่เกี่ยวกับสูตรโมเลกุลของยาบางชนิดก็มี.. แต่โชคดีที่ซิลลินมีความจำที่ดี และเขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็ตอบคำถามได้ถูกทั้งหมด 100 ข้อ เขาส่งคำตอบแล้วรอให้ระบบเริ่มประเมินผลในทันที “100 คะแนน!! ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะด้วยนะครับ คุณสามารถไปรับรางวัลแรกจากการตอบคำถามได้เลย”

ตามคำแนะนำที่ปรากฏอยู่ที่กระดานด้านหลัง ซิลลินได้ส่งคำตอบให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยมีค่าใช้จ่ายบางส่วน เพื่อให้เขาพาซิลลินไปยังจุดรับรางวัล “ขอแสดงความยินดีกับคุณซิลลิน ดัวแอส ที่ได้รางวัลที่ 1 จากการตอบคำถามด้วยนะครับ” ซิลลินเป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้และมีรายชื่อจัดแสดงอยู่บนบอร์ดใหญ่ของทางร้านค้าด้วย ทุกคนที่ได้เห็น ได้แต่ร้องอุทานว่า ..“โห..มีคนทำคะแนนได้เต็มแม้จะมีคำถามแปลกๆแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”

..“ตระกูลดัวแอส? ชายคนนี้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวตระกูลดัวแอสงั้นเหรอ?”

..“นี่เป็นรางวัลที่สองของวันนี้ใช่ไหม?”

..“อย่าบอกนะ..ว่านี่เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้คะแนนเต็มอีกครั้งน่ะ?”

..“ดูเหมือนอีกคนเขาจะชื่อซี...หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ” ซิลลินไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกกำลังพูดถึงเขาอย่างไร เพราะตอนนี้เขากำลังวุ่นวายกับการรับรางวัลอยู่ เมื่อเขาได้รับเงินรางวัลหนึ่งหมื่นเหรียญกาแล็กซีลงบนการ์ดเซเว่นไลท์เรียบร้อยแล้ว ซิลลินก็เดินไปยังจุดแสดงหนังสือเพื่อเลือกหนังสืออีกสิบเล่มของเขา ซึ่งบางเล่มก็เป็นหนังสือที่หาได้ยากมาก

พื้นที่ที่แสดงหนังสือระดับพรีเมี่ยมไม่ได้เปิดให้บริการในวันนี้ แต่นี่เป็นข้อยกเว้นสำหรับผู้ได้รับรางวัลเท่านั้น เมื่อซิลลินมาถึงพื้นที่จัดแสดงหนังสือเขาสังเกตได้ว่ามีอีกคนหนึ่งที่ได้รับรางวัลและกำลังยืนเลือกหนังสืออยู่ เขามองไปทางคนผู้นั้นซึ่งมีวัยเดียวกับซิลลิน เขาดูเหมือนกำลังศึกษาทางด้านการแพทย์อยู่ ซึ่งเขากำลังยืนอยู่หน้าตู้หนังสือและพลิกอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ

“จินฉาง...ดูเหมือนจะมีคนอื่นที่ได้คะแนนเต็มเหมือนนายด้วยนะ” พนักงานที่นำซิลลินไปเลือกหนังสือนั้นยิ้มและทักทายกับชายคนนั้น

“โอ้.. งั้นเหรอ?” ความสนใจของชายคนนั้นถูกดึงไปจากหนังสือในมือของเขา เขายิ้มให้ซิลลินด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “มันยากที่จะทำได้นะผมว่า”

หลังจากทักทายกันแล้ว ซิลลินก็เดินกลับออกมามาอย่างสุภาพก่อนที่เขาจะเริ่มอ่านหนังสือบนชั้นวางหนังสือบ้าง

และไม่นานหลังจากนั้น..

“เฮ้.. จินฉาง นายไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นมีอะไรแปลกๆ เหรอ?” พนักงานที่นำซิลลินไป เข้าไปยืนข้างๆ จินฉางและกระซิบกับเขา ..ซี จินฉาง ขยับสายตาออกมาจากหนังสืออีกครั้งแล้วมองไปทางซิลลินที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขายังคงมองไปยังซิลลินเพื่อสังเกตพฤติกรรมอย่างไม่วางตา

เร็วเกินไป.. เขาพลิกหน้าหนังสือเร็วเกินไป เขาพลิกหน้าถัดไปแทบจะทันทีกับที่เขากำลังมองหน้าปัจจุบัน และนี่มันไม่ใช่หนังสืออิเล็กทรอนิกส์นะ ที่จะใช้ความเร็วขนาดนั้นในการพลิกหน้ากระดาษอ่านน่ะ

“จินฉาง..บอกฉันซิ นายคิดว่าเขากำลังอ่านอยู่จริงๆ เหรอ? หรือว่าเขาเพียงแค่ทำเป็นว่ากำลังอ่าน? เขาพลิกอ่านหนังสือแบบนี้มาสองสามเล่มแล้วนะ”

“เขาเป็นใครน่ะ?” จินฉางได้เกิดความสนใจในตัวของซิลลินขึ้นมา

“จากข้อมูลที่แสดงอยู่ในบัตรเซเว่นไลท์ บอกว่าเขาชื่อ..ซิลลิน ดัวแอส เขาเป็นนักศึกษาใหม่ในเทอมนี้เหมือนกับคุณเลย เขาก็พอตัวนะ แต่ว่าไม่ใช่นักศึกษาที่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นพิเศษ”

“ตระกูลดัวแอสเหรอ?” ซี จินฉางมั่นใจว่าเขาจำคนที่มีชื่อเสียงทุกคนที่อยู่ในตระกูลดัวแอสได้ แต่เขาแทบจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของซิลลินเลยสักนิด..

รีวิวผู้อ่าน