“โอ้ใช่ๆ.. โปรดรอสักครู่นะครับ” แล้วพนักงานก็เดินไปอีกฝั่งเพื่อหยิบเครื่องสแกนมาสแกนหนังสือทั้งสิบเล่มของซิลลินก่อนจะประทับตรา “ชนะการแข่งขันรางวัลที่ 1 ครบรอบร้อยปีร้านหนังสือ” จากนั้นเขาก็ส่งหนังสือกลับไปให้ซิลลิน “โปรดอย่าลืมไปรับบัตรสมาชิกวีไอพีของคุณที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์นะครับ”
“ขอบคุณมากครับ..” หลังจากที่ซิลลินออกมาจากห้องนั้นแล้ว พนักงานก็ยังคงประหลาดใจในตัวซิลลินไม่หาย “จินฉาง.. คุณว่าเขาอ่านทุกอย่างจริงๆ ไหม?” “เขาคงจะจดจำหนังสือทุกเล่มที่เขาอ่านได้แน่ๆ” จินฉางแสดงความคิดเห็นออกมา “แล้วอีกอย่างฉันว่าเขาเป็นคนแน่ๆ ฉันเคยได้ยินมานานแล้วเกี่ยวกับคนที่มีความจำดี แต่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะถ้าจะมีคนที่สามารถสแกนสิ่งต่างๆ ที่เห็นทุกอย่างได้อย่างกับเครื่องจักรอยู่จริงๆ” ขณะที่จินฉางกำลังพูดอยู่นั้น พนักงานของร้านก็มีทีท่าจะตอบโต้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ดูเหมือนว่าแถวนี้จะมีเสือซ่อนเล็บอยู่มากเลยสินะ” ซี จินฉางพูดพลางปิดหนังสือแล้ววางมันกลับลงบนชั้นวางหนังสือ “ฉันไปก่อนนะ แล้วจะกลับมาลงทะเบียนสมาชิกถ้าฉันมีเวลา แล้วหนังสือชุดใหม่จะมาถึงในอีกสองวันใช่ไหม? ฉันจะติดต่อคุณมาอีกทีนะ” “โอเค..แล้วฉันจะบอกเรื่องนี้กับผู้จัดการอีกทีนะ แต่ถ้ามีเวลาคุณก็รีบมายื่นใบสมัครสมาชิกของทางร้านเรานะ แล้วคุณจะได้สิทธิพิเศษอีกมากมายเลยล่ะ” พนักงานร้านพูดนำเสนอ “ได้สิ.. แล้วนายก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนั้นล่ะ” จินฉางแนะนำให้เขาผ่อนคลายก่อนที่จะเดินออกไปจากร้าน
หนังสือสิบเล่มที่ซิลลินได้เลือกไว้เป็นปกแข็งทั้งหมด และมันเป็นเรื่องที่ดีที่เขาจะไม่ใส่หนังสือเหล่านี้ลงไปภายในแหวนที่มีช่องว่างขนาดใหญ่เพราะเขาไม่อยากที่จะเปิดเผยความลับของแหวน แต่มันก็หนักเกินไปที่จะนำหนังสือทั้งหมดใส่กระเป๋าสะพายของเขา ดังนั้นซิลลินจึงเลือกที่จะฝากหนังสือทั้งหมดเอาไว้ที่ร้านก่อนแล้วเขาจะติดต่อพนักงานร้านกลับไปในภายหลังเพื่อให้ส่งหนังสือทั้งหมดกลับมาให้เขา หลังจากที่ซิลลินได้ที่พักในมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากที่เขาเป็นผู้ชนะรางวัลที่หนึ่งทางร้านจึงไม่เรียกเก็บเงินค่าฝากหนังสือเพิ่มแต่อย่างใด
หลังจากเดินออกมาจากร้านหนังสือ ซิลลินก็ต้องหยุดเดินกะทันหัน
“ซิลลิน ดัวแอส กรุณารอสักครู่!!” ซี จินฉาง เดินตรงเข้ามาหาซิลลินอย่างรวดเร็วทั้งที่ในมือหอบหนังสือเอาไว้จนเต็มอ้อมแขน
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” ซิลลินถามออกมาด้วยความงุนงง
“ฉันแค่อยากจะเตือนนายว่าผู้ที่ชนะรางวัลจะได้รับการประกาศบนจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ของทางร้าน แม้จะไม่ได้แสดงรูปถ่ายด้วย แต่ก็ยังคงมีคนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และดูจะเป็นเรื่องปกติมากสำหรับนักศึกษาที่จะกลั่นแกล้งคนที่เข้ามาเรียนใหม่ และถ้านายไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจน ตำรวจก็จะไม่เข้ามาให้ความช่วยเหลือนายอย่างแน่นอน”
ซิลลินยิ้มออกมาเล็กน้อยหลังจากได้ยินเรื่องนี้ “ขอบคุณมากนะสำหรับเรื่องที่นายเพิ่งจะเตือนฉัน แล้วนายชื่ออะไร?”
“เรียกฉันว่าจินฉางก็ได้ ฉันเป็นนักเรียนใหม่เพิ่งเข้ามาเรียนเทอมนี้เหมือนกัน แต่ฉันก็พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์มาบ้าง ถ้านายอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ถามฉันได้นะ”
อยู่ๆ ซิลลินก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงได้ถามจินฉางไปว่า “แล้วนายคุ้นเคยกับเขตการค้าไหม? นายรู้ไหมว่ามีร้านไหนบ้างที่ขายสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ราคาไม่แพงบ้าง” ตั้งแต่ที่ซิลลินได้ยินจินฉางแสดงความปรารถดีที่จะแนะนำสิ่งต่างๆ แก่เขา เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฎิเสธมัน อีกทั้งที่นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่และค่อนข้างซับซ้อน ยิ่งเขามีเพื่อนมากเท่าไรก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
“รู้สิ มีอยู่ร้านหนึ่งที่ขายสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ทั้งสวยและราคาไม่แพงด้วย และยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดเรียน ดังนั้นที่ร้านจึงมีโปรโมชั่นราคาพิเศษด้วยล่ะ แล้วสินค้าของทางร้านเองก็มีคุณภาพดีมากเช่นกัน ฉันเองก็เคยซื้อสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากที่ร้านนั้นมาเหมือนกัน”
จินฉางจึงได้พาซิลลินไปยังร้านที่เขาแนะนำ เมื่อไปถึงร้านพวกเขาก็เห็นป้ายลดราคาติดอยู่เต็มตู้โชว์หน้าร้าน แล้วมันก็เป็นอย่างที่จินฉางแนะนำเพราะสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ซิลลินเห็นนั้นสวยมาก อีกทั้งราคายังไม่แพงอีกด้วย ซิลลินจึงเลือกซื้อมาหนึ่งเครื่อง หลังจากนั้นทางร้านก็ยังแถมคูปองเครื่องดื่มชามาสองที่ซึ่งเป็นของร้านที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคารพาณิชย์มาให้ด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่จินฉางแนะนำร้านนี้ให้ ซิลลินจึงใช้คูปองชาสองที่นั้นทันที
ด้านบนสุดของอาคารพาณิชย์มีร้านเครื่องดื่มอยู่ โดยมีระเบียงยื่นออกมาจากตัวตึกเล็กน้อยที่นั่นมีโต๊ะกลมและโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ และยังมีร่มกันแดดประดับอยู่ข้างๆ แต่ละโต๊ะด้วย ซึ่งโดยรวมแล้วร้านนี้จัดร้านได้ดูดีน่านั่งมากๆ ที่นี่จึงเป็นที่ยอดฮิตที่ผู้คนมักจะมานั่งผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับชาและขนมขบเคี้ยวหลังจากที่ช็อปปิ้งที่ห้างเสร็จแล้ว
ประกอบกับในตอนนี้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนอะไร ในร้านจึงยังพอมีที่ว่างเหลืออยู่บ้าง ซิลลินและจินฉางจึงเข้าไปนั่งที่โต๊ะหนึ่งและสั่งเครื่องดื่มมาสองชุด แล้วนั่งดื่มชาพูดคุยกันเกี่ยวกับดาวเคราะห์เซเว่นไลท์ไปด้วย แต่พวกเขาก็ไม่ได้นั่งอยู่นานนัก ก่อนที่จะมีคนแปดคนเดินเข้ามาและเขามาล้อมรอบพวกเขา
“โย่ๆ พวก.. นี่พวกนายมานั่งดื่มชากันเหรอ? ทำไมไม่ชวนเพื่อนๆ อย่างเรานั่งดื่มชากับนายด้วยล่ะ?” หนึ่งในแปดคนนั้นพูดขึ้นมา ซิลลินและจินฉางหันมามองตากันทำนองว่า.. เป็นเรื่องซะแล้วไง
พวกชายแปดคนได้ล้อมรอบโต๊ะเล็กๆ ของพวกเขา และคนที่พูดทักทายก็ดึงเก้าอี้ข้างซิลลินและจินฉางออกแล้วนั่งลงพลางหยิบขนมใส่ปากอย่างไม่เกรงใจ แล้วพูดออกมาสบายๆ ว่า “พวกนายสองคนคงจะมีเงินเยอะอยู่ซินะ เพราะสำหรับเด็กดีที่ขยันหมั่นเพียรทั้งหลายอย่างพวกนายที่สามารถตอบคำถามบ้าๆ พวกนั้นได้ถูกต้องทั้งหมด นายคงต้องมีหนังสือแพงๆ สะสมไว้เพียบเลยสิท่า”
นั่นเป็นทั้งหมดที่ชายคนนั้นพูด แต่เห็นได้ชัดว่าสายตานั้นเต็มไปด้วยการเสียดสีมากแค่ไหน พวกนี้คงคิดว่าคนที่ตอบคำถามแบบนั้นได้จะต้องเป็นหนอนหนังสือแน่นอน และพวกหนอนหนังสือนี่แหละที่จะเป็นเป้าหมายง่อยๆ ที่พวกเขาจะรังแกได้ง่ายมาก พวกนี้จึงพุ่งเป้าไปที่นักวิชาการที่อ่อนแอทั้งหลายเหล่านี้ตลอดเวลา
ซิลลินเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขาออกหลังจากที่เขาออกจากท่าเรือ และชุดของจินฉางเองก็ไม่ได้สีฉูดฉาดอะไรมาก ทั้งคู่แต่งตัวตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยไม่สะดุดตาเพื่อให้ไม่เป็นที่น่าสนใจมากจนเกินไป ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนักเลงพวกนี้จึงเลือกพวกเขาเป็นเป้าหมายโดยไม่ต้องคิดมากเลยด้วยซ้ำ พวกนี้มั่นใจว่าทั้งซิลลินและจินฉางคงจะไม่มีปัญญาสู้กลับแน่ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม... สิ่งที่คาดไม่ถึงย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
มือของชายที่ถือขนมอยู่แช่แข็งอยู่กลางอากาศและเริ่มสั่น เพราะตอนนี้มีกระบอกปืนจ่ออยู่ที่ขมับขวาของเขา นอกจากซิลลินแล้ว คนพวกนี้ไม่ได้สังเกตการณ์กระทำของจินฉางสักนิด ไม่มีใครรู้ว่าปืนนั้นมาจากไหน จะรู้ตัวก็ตอนที่ปืนถูกกดลงที่ศีรษะแล้ว พวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้าหมายนั้นพกปืนมาด้วย คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นล่ะที่รู้..
เนื่องมาจากที่เซเว่นไลท์นั้นเข้มงวดมากเรื่องการพกพาอาวุธ และไม่มีร้านใดที่ขายหรือจัดหาอาวุธเลย พวกเขาจึงไม่คาดว่าหนึ่งในเป้าหมายนั้นจะพกปืนด้วย นอกจากนี้พวกนั้นคงคาดผิดไป และคงนึกไม่ถึงว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับนักวิชาการที่แข็งแกร่งมากที่สุดอยู่!!
พวกนักเลงทั้งแปดคนถูกแช่แข็งอยู่ในสถานการณ์ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเดินเข้าไปหาเป้าหมายผิดคน พวกนั้นไม่กล้าที่จะหนี ต้องกลัวแม้กระทั่งจะพูดดังๆ แม้แต่ลมหายใจยังต้องหายใจอย่างระวัง แม้จำนวนคนจะมากกว่าแต่จะไปสู้อะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายมีปืน พวกเขาแทบจะรู้สึกได้ว่าอากาศรอบตัวนั้นเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งเหลือเกิน มันแผ่ซ่านไปทั่วจนกระจายเข้าไปถึงในร่างกายเหมือนเป็นหวัดในหน้าหนาวอย่างนั้นแหละ..
ซิลลินรู้สึกประหลาดใจอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อจินฉางได้เอาปืนออกจากขมับชายคนนั้น ไม่มีใครสามารถเดาใจจินฉางจากท่าทางภายนอกของเขาได้เลย เขายังคงกลับมานั่งดื่มชาและเพลิดเพลินกับอาหารว่างของเขาต่อ.. ก็จะให้ทำไงล่ะก็จ่ายเงินไปแล้วนิ ไม่กินคงจะเสียของแย่..
จินฉางจับถ้วยชาด้วยมืออีกข้างหนึ่งที่ว่างจากการถือปืน แล้วดื่มชาของเขาอย่างสบายใจ “ฉันเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ฉันไม่ชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงหรอกนะ..”
โอ้..ใช่สิ พ่อสุภาพบุรุษซาตาน!!
พวกนักเลงทั้งแปดคงจะตะโกนอยู่ในใจ ..ไม่รุนแรงเหี้ยอะไรล่ะ นี่ยังไม่ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอีกงั้นเหรอ นั่นมันปืนเลเซอร์พลังงานสูงเลยนะเว้ยย?!
“พะ.. พวก.....เรา” ชายที่ถูกจ่อปืนที่หัว พูดตะกุกตะกักจนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง
“ออกไป..” จินฉางไม่ได้ตั้งใจแม้แต่จะฟังคำอธิบายของพวกนั้นด้วยซ้ำ เขาขยับมือเล็กน้อยแล้วปืนของเขาก็หายไป จินฉางวางมือลง แล้วเริ่มดื่มชาต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบเขาแทบไม่มองหน้าพวกนั้นสักคนแม้แต่ครั้งเดียว
พวกเขารู้ว่าไม่ใช่ว่าปืนนั้นหายไปในอากาศหรอก แต่การเคลื่อนไหวของจินฉางนั้นรวดเร็วเกินไปจนพวกเขามองไม่ทันต่างหาก แม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็ยังตระหนักได้ว่า จินฉางไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ แล้วพวกนักเลงทั้งแปดคนยังอยากกลายเป็นคนโง่อยู่งั้นเหรอ!! ..ทีนี้แหละพวกเขาแทบจะวิ่งออกไปแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว
จินฉางยังคงสวมรอยยิ้มเอาไว้บนหน้าหนอนหนังสือของเขา แล้วพูดขึ้นมาสบายๆ ว่า “วิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาในเซเว่นไลท์ ก็คือต้องควบคุมทุกอย่างเอาไว้ให้ได้ทั้งหมดนี่แหละ..”
ซิลลินยกถ้วยชาของเขาขึ้นและดื่มให้แก่จินฉาง “เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก.. เฉียบขาด”
หลังจากที่พวกเขาเสร็จสิ้นจากการดื่มชาแล้ว พวกเขาก็แลกเปลี่ยนเลขหมายกันเพื่อเอาไว้ติดต่อกันหลังจากนี้ก่อนที่จะแยกกันไป แล้วซิลลินก็ขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าใหม่ของเขาและออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟที่จะไปทั่วดาวเคราะห์ แม้จะมีช่องทางพิเศษทางอากาศโดยเฉพาะสำหรับยานรับส่ง แต่เที่ยวบินนั้นก็ช้ากว่าการใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเดินทาง แล้วอีกอย่างซิลลินเองก็ไม่ชอบด้วย สำหรับยานพาหนะที่เร็วกว่า ก็เช่นรถบิน แต่พวกเขาก็มีเลนเป็นของตัวเอง
ซิลลินซื้อขนมบางอย่างเอาไว้ และใส่มันลงไปในกระเป๋าของเขา ดังนั้นหากว่าเขาหิวก็ไม่จำเป็นต้องมองหาร้านอาหารเลย มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษที่จะขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าอยู่กลางอากาศขณะที่มองดูตึกที่แปลกตาทั้งสองข้างถนนรวมทั้งผู้คนที่เดินเท้าผ่านไปมาด้วย ซิลลินไม่ได้ใช่ระบบควบคุมอัตโนมัติเพราะมันจะทำให้เสียพลังงานมากขึ้น อีกอย่างพวกแร่พลังงานหรือแบตเตอรี่นั้นไม่ใช่ราคาถูกๆ เลย บวกกับซิลลินเองก็มั่นใจว่าเขานั้นจะสามารถควบคุมสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบควบคุมอัตโนมัติเลยสักนิด
เมื่อซิลลินไปถึงสถานีรถไฟแล้ว ปรากฏว่ารถไฟขบวนถัดไปที่จะออกเดินทางนั้นห่างออกไปอีกยี่สิบนาที ดังนั้นซิลลินจึงวางสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าลง และไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านขณะที่กำลังนั่งรอรถไฟอยู่บนม้านั่งที่ไม่ห่างออกไปนัก ข้อดีของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคือ ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากเกินไป เพราะหากไม่ใช้ก็สามารถพับเก็บได้ หลังจากพับเก็บมันมีพื้นที่ยาวไม่ถึงหนึ่งเมตรยี่สิบเซนติเมตร และเนื่องจากซิลลินเก็บขนมเอาไว้ในกระเป๋าของเขา เขาจึงวางสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเอาไว้ด้านข้างแทน
“เฮ้!! ..เด็กคนนั้นน่ะ”
เงียบ..... ไม่มีใครตอบ
“เฮ้ ..เด็กที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตรงนั้นน่ะ!!”
แล้วก็ยังไม่มีใครตอบ..
“เฮ้ ..เด็กที่นั่งอ่านหนังสือเซเว่นไลท์วีคลี่ พร้อมกับมีสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าวางอยู่ด้านข้างทางซ้าย และมีกระเป๋าวางอยู่ทางด้านขวาตรงม้านั่งทางนั้นน่ะ!!”
O_O