อัลเลนไม่เคยได้รับข่าวใดๆ มาก่อนว่าทั้งสามคนนี้จะเดินทางมายังมหาวิทยาลัยเซเว่นไลท์ อัลเลนคิดมาตลอดว่าดวงดาวที่จะสุกสว่างที่สุดในเทอมนี้จะต้องเป็นดาวแฝดแห่งเจ็ดดาวเคราะห์เจิดจรัส ซึ่งก็คือไพรส์และคัง แมนนั่นเอง แต่ในวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างแรง เมื่อเห็นทั้งสามคนมาพร้อมกันกับซิลลิน เขาผู้ซึ่งเป็นคนชอบเข้าสังคมและอยู่ในข่าววงในเสมอแต่กลับตกข่าวในเรื่องนี้ไปได้ มันเลยทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากในตอนนี้!
ย้อนกลับไปในสมัยก่อน พ่อของเขาชี้ไปที่บุคคลสามคนในนิตยสาร 'ทูมอร์โรว์ สตาร์' และบอกกับเขาว่าต่อไปพวกเขาทั้งสามคนจะกลายเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจที่สุดในวงการธุรกิจทางทหาร และสถาบันการศึกษาต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน ในตอนนั้นอัลเลนไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาจะต้องยกย่องพวกเขามากขนาดนี้ อัลเลนไม่เคยเห็นพ่อให้คำชมเชยอะไรใครมากมายถึงแม้ว่าจะเป็นดาวแฝดแห่งเจ็ดดาวเคราะห์เจิดจรัสก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นอัลเลนก็ยังคงเชื่อถือในคำพูดของพ่อเขาเสมอ
โชคดีที่อัลเลนมีประสบการณ์มากมายจึงสามารถปรับความคิดของเขาได้อย่างรวดเร็ว และทำเป็นเหมือนเขาไม่ได้ตื่นตกใจอะไร “ซิลลิน... ทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องของนายเหรอ? เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกันในวันนี้.. ฮ่าฮ่า” อัลเลนได้แต่คิดในใจ ..โอ้พระเจ้า วีไอพีทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนของซิลลิน!
“พวกนายรู้จักกันแล้วใช่ไหม? งั้นฉันจะขอข้ามการแนะนำไปแล้วกันนะ” ซิลลินถามพวกเขา
“แน่นอน.. แน่นอน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพวกนายทุกคน” อัลเลนรีบตอบขึ้นมาทันที
ระหว่างทางที่นำพวกเขาไปยังโต๊ะ อัลเลนกำลังไตร่ตรองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแผนการต้อนรับวีไอพีทั้งสามของเขา เพื่อตอบสนองความต้องการให้พวกเขาพึงพอใจมากที่สุด อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่อัลเลนต้องการนัก ระหว่างที่พวกเขากำลังจะเดินเข้าไปยังทางเข้าของ 'ฟรีดอม ฮอลล์' พวกเขาก็ได้ยินผู้คนจับกลุ่มคุยกันอยู่ภายใน
“นายว่าคนไหนคือเด็กที่อัลเลนลงไปรับ?” มีเสียงถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ปนความหยิ่งผยอง
“โอ้..ฉันรู้ ก็ผู้ชายคนนั้นไง ฉันรู้จักเขาจากสถานีขนส่ง” ซิลลินเคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้มาก่อนที่สถานีขนส่ง
หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะที่เต็มไปด้วยความรังเกียจตามมาไม่ขาดสาย “เขาไม่มีอะไรเลย นอกจากเพื่อนที่อยู่ในที่ห้องพักรูปสี่เหลี่ยมที่มาด้วยกัน และมากินอาหารที่ร้านอาหารสาธารณะ” จากนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครคิดจะเก็บอาการเลย
ดวงตาของอัลเลนจางลง และเขาเกือบจะเป็นลมนอนหงายอยู่บนพื้น แมร่งเอ้ย!! นี่ถ้าฉันรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นนะ ฉันจะไม่ได้เชิญพวกเขามาเลยให้ตายสิ! นอกจากนี้ทำไมไอ้นรกพวกนี้มันไม่รู้จักดูบ้างว่ะ! ถ้าต้องการที่จะนินทาลับหลังใครบางคน อย่างน้อยก็ทำให้มันเงียบๆ ไม่ได้รึไง แต่ถ้าจะให้ฉันพูดนะ พวกแกไม่ควรจะพูดมันเลยด้วยซ้ำ!
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าทั้ง 4 คนนั้นได้ยินคำพูดนินทาของพวกเขาอย่างชัดเจน ก่อนที่ซิลลินจะทันได้พูดอะไรออกมา ลังค์ก็เริ่มคร่ำครวญออกมาว่า “ทำไมดูเหมือนว่าใครบางคนที่นี่จะไม่ต้อนรับเรา! ฉันเดาว่าทุกคนที่นี่คงจะอยู่ในตระกูลใหญ่โตกัน.. ใช่มั้ย?” ลังค์ไม่สนใจสีหน้าของอัลเลนเลยสักนิด เขาแค่จะพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูดเท่านั้น
อัลเลนไม่ได้มีเวลาที่จะมาร้องไห้คร่ำครวญนักเพราะความคิดของเขาในตอนนี้มุ่งแต่จะเอาใจแขกวีไอพีเหล่านี้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนอยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะ ราวกับว่าก้นของเขาโดนไฟล้นก่อนที่จะละล่ำละลักพูดออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “นะ ... นายน้อยลังค์...”
ซึ่งเผอิญว่าก่อนหน้านี้นั้นเด็กหนุ่มคนนี้ได้เจอกับลังค์เมื่อตอนที่พ่อของเขาไปประชุมเกี่ยวกับธุรกิจ เขาได้สังเกตว่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าลังค์ แม้กระทั่งพ่อของเขาเองก็ยังต้องระวังคำพูดและมารยาทของตัวเองต่อหน้าลังค์เลย ในที่นี้ไม่มีใครที่ดูโง่เง่าไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ในขณะที่พวกเขาเห็นปฏิกิริยาของเพื่อน พวกเขาก็พยายามกลั้นหัวเราะในทันทีและพยายามทำหน้าให้เป็นปกติที่สุด
ลังค์ไม่ได้สนใจมองคนที่ยืนขึ้นเลย แม้ว่าโซฟาทั้งหมดจะถูกนั่งจนเต็มไปหมดแล้ว เขาก็เดินตรงไปดึงเก้าอี้มาแล้วนั่งลง ซิลลินและคนอื่นๆ จึงได้เดินตามเขาไปแล้วนั่งลงข้างๆ เขาด้วย ซึ่งบรรยากาศช่างดูแปลกประหลาดมากจริงๆ ในขณะที่มุมนอื่นมีคนหลายสิบคนนั่งอยู่บนโซฟานุ่มหรู แต่มุมนี้กลุ่มคนสี่คนนั้นมีแค่เพียงเก้าอี้ธรรมดาให้นั่ง แต่กลับดูเหมือนว่ากลุ่มคนสี่คนนี้จะมีพลังมากจนกลุ่มคนนั่งอยู่ที่โซฟาหรูรู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะยกศีรษะของพวกเขาขึ้นมามองหน้าของทั้งสี่คนได้ พวกเขารู้สึกอึดอัดราวกับกำลังถูกยึดตรึงไว้กับเก้าอี้ก็ไม่ปาน
แต่คนที่เขามาทำลายบรรยากาศที่แสนแปลกประหลาดนี้ก็คือไพรส์นั่นเอง เขามาพร้อมกับบอดี้การ์ดที่เดินเข้าไปก่อน แล้วเขาก็หันไปเห็นกลุ่มซิลลินในตอนแรกไพรส์ก็รู้สึกเฉยๆ แต่เขาก็รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อพบว่ามีไนท์อยู่ในกลุ่มของซิลลินด้วย อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากขึ้น เพราะตอนแรกเขาคิดว่าสถานที่นี้คงจะมีความหลากหลายของผู้คนและอาจจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับเขานัก แต่ถ้าหากว่ามีพวกเขาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
“หึ..มีพวกบ้าน้ำลายอยู่ที่นี่ด้วยแฮะ?" ไนท์พูดเสียดสีขึ้นมา
ด้วยความหยิ่งยโส ที่แม้แต่คางก็ต้องเชิดขึ้นเสมออย่างไพรส์ เขาไม่เคยใส่ใจที่จะสนใจผู้ใด แต่เขากลับมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วราวกับแมว แมวที่ยกหางขึ้นและก้าวสองขาไปตามเสียง หลังจากที่เขาได้ยินเสียงของไนท์ “ไนท์.. ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้?!”
“ก็ถ้าพวกบ้าน้ำลายอย่างนายสามารถมาได้ แล้วทำไมฉันจะมาบ้างไม่ได้?” ไนท์ตอบออกมาแบบกวนๆ
“ฮึ่ม!” ไพรส์คำรามออกมาเล็กน้อย แล้วหันศีรษะกลับไปเพื่อลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ กับไนท์ เขาอาจจะไม่สามารถยืนข้างไนท์ได้ แต่คนพวกนั้นที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ไม่คุ้มค่าให้เขาเข้าไปเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว
แม้พวกโง่งี่เง่าเหล่านี้รู้ว่าคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นไม่ควรที่จะไปพูดล้อเลียนได้ แล้วทำไมไพรส์ถึงจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่น่ากลัวแบบนั้น? ทุกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาได้แต่คิดอยู่กับตัวเอง จากเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นก็ทำให้สาวๆ มองซิลลินก็เปลี่ยนไป
ซิลลินเล็มเมล็ดแตงโม และมองดูการแสดงจากด้านข้าง นี่มันน่าสนใจมากจริงๆ เมื่อถึงเวลาฉันจะเล่าให้ดิแอสกับคนอื่นๆ ฟังเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้..
หลังจากเขานั่งลงไพรส์ก็มองด้วยสายตาแสดงความแปลกใจไปที่ซี จินฉาง และลังค์ เขานั้นเคยเจอกับซิลลินมาก่อนที่สถานีขนส่ง ดังนั้นไพรส์จึงมองข้ามซิลลินไปโดยอัตโนมัติ
“นี่คือเพื่อนร่วมห้องของฉัน.. ซิลลิน, ซี จินฉาง และ ลังค์” ไนท์ได้แนะนำอย่างง่ายๆ ก่อนที่จะหันไปหา ซิลลินและคนอื่น ๆ “นี่คือไอ้คนบ้าน้ำลาย หรือที่เขาเรียกกันว่าไพรส์นั่นแหละ” ไนท์ได้แนะนำชื่อของไพรส์และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก
การตอบสนองเพียงอย่างเดียวของไพรส์หลังจากได้ยินชื่อ “คนบ้าน้ำลาย” ซึ่งเป็นเล่นที่ไนท์ตั้งให้เขาคือ..ฮึ่ม!! แต่ถ้าเป็นคนอื่นเรียกเขาแบบนี้ ไพรส์คงจะไม่ปล่อยเอาไว้แบบนี้แน่ๆ นี่มันทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ต่อไนท์อีกครั้ง หลังจากการท้าทายครั้งสุดท้ายของพวกเขา ดังนั้นไพรส์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทนกับชื่อเล่นที่ไนท์ตั้งให้เขา ไพรส์กัดฟันยิ้ม ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องเอาคืนไนท์ให้ได้ แล้วเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เขาจะเอาคืนให้หนัก ให้รู้กันไปว่าเขาเป็นใคร!
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะไปอาศัยอยู่ในที่พักสี่เหลี่ยมแบบนั้น” ไพรส์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแสดงความเย่อหยิ่ง
ไนท์ยักไหล่และพูดขึ้นว่า “มันก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ ฉันมันเป็นคนที่น่าสงสาร ต้องมาซื้ออาหารที่ร้านอาหารสาธารณะแบบนี้ แล้วยังต้องมาอาศัยอยู่ในห้องพักสี่เหลี่ยมที่ไม่มีใครต้องการอีก ส่วนนี่มันก็เป็นเรื่องบังเอิญที่พวกเราดันไปเจอเข้ากับเพื่อนของซิลลิน เขาจึงพาพวกเราขึ้นมาที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าเราก็ไม่ได้ต้องการแบบนี้สักเท่าไรน่ะนะ”
อัลเลนเหงื่อแตกออกมาเป็นทาง ขอคัดค้านเลย! เขาสาบานกับพระเจ้าได้เลยว่าเขานั้นไม่เคยคิด และจะไม่กล้าคิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน! แต่ในตอนนี้อัลเลนก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี คนเหล่านี้มีอารมณ์ที่ผิดปกติและอัลเลนก็ไม่สามารถจะเอาได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ในตอนนี้ เขาได้แต่มองดูซิลลินเพื่อขอความช่วยเหลือเท่านั้น
เมื่อซิลลินได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือของอัลเลน เขาจึงได้เอาเมล็ดแตงโมใส่ปากและพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันหิวแล้ว ทำไมนายถึงไม่สั่งอาหารมาสักจานล่ะอัลเลน”
“ได้สิ.. เอาล่ะเราจะสั่งอาหารสักจานสองจานก่อน กรุณาสั่งอะไรก็ได้ที่พวกนายต้องการได้เลยนะ” อัลเลนรีบเดินผ่านเมนูอาหารราวกับว่าเขานั้นได้เป็นอิสระแล้ว
ในที่สุด.. รอบโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ก็มีกลุ่มคน 5 คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ และกำลังรับประทานอาหารอย่างสนุกสนาน ในขณะที่กลุ่มคนที่นั่งอยู่บนโซฟานั้นตัวสั่น และเหงื่อออกกันเป็นแถว ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอะไรก็ต้องทำอย่างระมัดระวังที่สุด
แต่อย่างไรก็ตามบรรยากาศของอาหารมื้อกลางวันนี้ก็แสนแปลกประหลาดอยู่ดี ไนท์เป็นประเภทที่ทำอะไรรวดเร็ว เขากินข้าวสามชามหมดก่อนที่ไพรส์จะกินข้าวหนึ่งชามเสร็จเสียอีก แต่ซิลลินและคนอื่นๆ นั้นก็ไม่ช้าเช่นกัน หลังจากที่ทั้งสี่คนกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ออกตัวเพื่อขอกลับก่อน และแม้ว่าไพรส์จะกินช้าเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นไนท์และคนอื่นๆ ไปแล้ว เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกินต่อ แล้วยังต้องมาเผชิญหน้ากับผู้คนที่เหลืออยู่อีก เขาจึงผลักชามออกแล้วทิ้งไว้และจากไปด้วยเช่นกัน ซิลลินและคนอื่นๆ ไม่สนใจว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะพูดอะไรหลังจากที่พวกเขาออกมาแล้ว
หลังจากที่พวกเขากลับไปยังที่พักแล้วจัดการเก็บข้าวของของพวกเขาเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็แยกย้ายกันไปนอนและหลับสนิทกันทุกคน
เช้าวันรุ่งขึ้นซิลลินตื่นขึ้นจากการปลุกของไนท์ โดยไนท์บอกว่าพวกเขาควรที่จะไปซ้อมที่ห้องฝึกอบรมเฉพาะกิจในเขตมหาวิทยาลัยหลังจากที่พวกเขาได้เลือกหลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตามกฎนั้นนักศึกษามีเวลาเรียนสองวันหลังจากที่ได้ลงทะเบียนไว้ โดยห้องพักทุกห้องจะมีลานกว้างเพื่อใช้สำหรับลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ค่อยเลือกหลักสูตรของพวกเขาต่อในช่วงเวลาอาหารเช้า
อาหารเช้าถูกจัดทำโดยหุ่นยนต์ของลังค์ และมันก็ผลลัพธ์ออกมาไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งสี่คนได้ตั้งโปรแกรมหุ่นยนต์เอาไว้และวางส่วนผสมอาหารเช้าไว้ในครัว ด้วยวิธีนี้พวกเขาก็จะสามารถทานอาหารเช้าได้ทุกเช้า
หลังจากเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารเช้าแล้ว กลุ่มคนทั่งสี่ก็นั่งรถบินของลังค์ไปที่ห้องฝึกซ้อมที่บริเวณมหาวิทยาลัย แม้ว่าที่พักของพวกเขาจะมีห้องฝึกอบรมอยู่ภายในแต่มันก็มีขนาดเล็กเกินไป และเหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายง่ายๆ เพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งสถานที่เดียวที่พวกเขาสามารถปลดปล่อยความสามารถตัวเองและต่อสู้ได้นั้นมีเพียงห้องฝึกอบรมที่อยู่ในโซนของมหาวิทยาลัย ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางและสามารถออกกำลังได้ทุกรูปแบบ
มีหลายคนที่กำลังใช้ห้องฝึกอบรมในวันนี้ ซิลลินจึงได้ใช้บัตรสีส้มของซี จินฉางเพื่อเลือกห้องฝึกอบรมขนาดกลางเนื่องจากบัตรสีแดงของพวกเขานั้นสามารถจองได้เพียงห้องฝึกอบรมขนาดเล็กได้เท่านั้น และอีกอย่างห้องฝึกขนาดเล็กนั้นก็เพียงพอสำหรับการต่อสู้เพียงคู่เดียว ซึ่งไนท์รู้สึกว่ามันเล็กเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงได้เลือกห้องฝึกขนาดกลางแทนนั่นเอง
ภายในห้องฝึกอบรมขนาดกลางนั้นมีพวกเขาอยู่เพียงแค่สี่คน โดยซี จินฉางและลังค์มองพวกเขาจากเขตที่พักบริเวณด้านข้าง ในขณะที่ซิลลินและไนท์กำลังทำการวอร์มร่างกายเพื่อย่อยอาหารเช้าก่อนเล็กน้อย เสื้อคลุมของพวกเขาถูกวางทิ้งไว้ที่เขตที่พักบริเวณด้านข้างเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างการประลองนั่นเอง
“นายพร้อมหรือยัง?” ไนท์ถามซิลลินก่อนที่พวกเขาจะเริ่มประลองกัน
“พร้อมแล้ว.. เริ่มกันเถอะ” ซิลลินตอบออกมาอย่างมั่นใจ