px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 81 พลังจิต จากจิตวิญญาณ


"ต้วนหลิงเทียนผู้นี้เสียสติไปแล้วอย่างแท้จริง! ข้านั้นต่อให้หาญกล้าแค่ไหนก็มิอาจเชื้อเชิญหัวหน้าสมาคมซื่อมาร่วมรับประทานอาหาร แต่เด็กนั่นกลับกล่าวราวกับกลัวหัวหน้าสมาคมซื่อจักมากินอาหารบ้านมันฟรีๆ"

ลี่เฉียงนั้นเมื่อได้ฟังวาจาของหลิงเทียนมันถึงกับตกตะลึงอย่างถึงที่สุด

อีกทั้งว่ามันยังกังวลว่าหลิงเทียนกำลังสร้างปัญหาที่มิอาจแก้ไขได้ให้ตัวเอง ...

แต่ทันใดนั้นเอง

"เจ้าหนูอย่าได้กังวล ข้ากินมาแล้ว เจ้ากินของเจ้าไปเถอะข้าจะนั่งรอ "

วาจาเรียบๆราวกับไม่คิดอันใดของซื่อโหมวทำให้ลี่เฉียงถึงกับอ้าปากค้าง

นี่…

นี่เป็นไปได้อย่างไร!?

ทันใดนั้นคำถามมากมายก็ผุดขึ้นมาในใจของเขา

ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่สาวกของตระกูลลี่สาขาผู้หนึ่งหรอกเหรอ?

แล้วเหตุใดหัวหน้าสมาคมผู้หลอมโอสถ อีกทั้งยังเป็นถึงผู้หลอมโอสถระดับ 8 ถึงคุยกับมันอย่างสุภาพเช่นนั้น?

เขาไม่สามารถหาเหตุผลได้จริงๆ

แต่ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่ตอแยหรือสร้างปัญหาให้หลิงเทียนเป็นอันขาด

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกินข้าวเสร็จเขาก็เริ่มคุยและให้คำแนะนำกับซื่อโหมว

เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย และตั้งแต่เริ่มสนทนาใบหน้าของซื่อโหมวนั้นมีแต่ความตกตะลึงไม่หยุดหย่อน

เพราะเขาสามารถสังเกตได้ว่าเด็กน้อยตรงหน้านั้นรู้อะไรมากกว่าเขามากมายนัก อีกทั้งความเข้าใจและขอบเขตของเด็กน้อยผู้นี้ยังเหนือล้ำไปกว่าเขาแบบเทียบไม่ติด มันสามารถเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับผู้หลอมโอสถระดับ 7 อย่างที่ตัวเขาเองไม่มีวันรับรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กน้อยซื่อโหมวคิดจะกราบมันเป็นอาจารย์เสียตอนนี้เลย

ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ไม่นานแต่ซื่อโหมวก็ได้รับประโยชน์มากถึงมากที่สุด

เขาเชื่อมั่นว่าหากทำตามคำแนะนำของต้วนหลิงเทียนนี้อย่างเคร่งครัด คงใช้เวลาอย่างมากเพียง 2-3 วันเท่านั้นแล้วเขาต้องสามารถตัดผ่านไปยังระดับผู้หลอมโอสถระดับ 7 ได้อย่างแน่นอน เป็นการตัดผ่านที่ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นต่อให้โง่งมถึงเพียงไหนก็ตาม...

ก่อนที่จะจากไปซื่อโหมวอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามต้วนหลิงเทียนขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง "เจ้าหนูอาจารย์ของเจ้านั้นอยู่ระดับใดหรือ?"

ในความเข้าใจของเขาสาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนมีความรู้ความสามารถที่มากมายถึงเพียงนี้เป็นเพราะอาจารย์ของมัน

นอกจากนี้อาจารย์ของมันน่าจะสูงส่งกว่าผู้หลอมโอสถระดับ 7 อย่างเทียบไม่ติด ...

อีกทั้งผู้หลอมโอสถระดับ 6 หรือ ระดับ 5 ไม่สิแม้แต่ผู้หลอมโอสถระดับ 4 ก็เถอะ คงไม่มีทางสอนสั่ง และให้ความรู้จนศิษย์แตกฉานได้ถึงเพียงนี้

ยิ่งคาดเดามากเท่าไร ภายในใจของเขายิ่งบ้าคลั่ง

แต่เขาต้องการรับรู้จริงๆ

“เอ..แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ของข้านั้นอยู่ในระดับใด แต่ข้าบังเอิญโชคดีที่ได้เห็นท่านหลอมสร้างโอสถ ในตอนนั้นหากข้าจำไม่ผิดเปลวเพลิงหลอมโอสถที่ท่านอาจารย์จุดขึ้นมานั้นน่าจะเป็นสีม่วง ... อ่อ! จริงสิ รอบๆเปลวเพลิงสีม่วงของท่านอาจารย์นั้นมีประกายแสงสีเงินล้อมรอบไว้ด้วยอีกทีราวกับเป็นขอบเปลวเพลิง" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างจริงจัง ทีท่าของเขานั้นราวกับเป็นเรื่องจริงอย่างถึงที่สุด

"เปลวเพลิงหลอมโอสถสีม่วง?"

ใบหน้าของซื่อโหมวพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

เขาเคยอ่านในบันทึกโบราณที่บันทึกต่อๆกันมาของผู้หลอมโอสถในเมืองใหญ่ มันเป็นบันทึกของผู้หลอมโอสถที่บันทึกต่อกันมาเป็นรุ่นๆ

เปลวเพลิงหลอมโอสถของผู้หลอมโอสถระดับ 3 นั้นจะมีเปลวเพลิงหลอมโอสถเป็นสีม่วง และมีขอบเป็นสีทองแดง ...

มันถูกเรียกกว่าเปลวเพลิงหลอมโอสถ ม่วงประกายทองแดง!

และเปลวเพลิงหลอมโอสถที่มีเพลิงหลอมโอสถเป็นสีม่วงล้อมรอบด้วยขอบสีเงินจะถูกเรียกว่า เปลวเพลิงหลอมโอสถ ม่วงประกายเงิน

และมันเป็นเปลวเพลิงหลอมโอสถของผู้หลอมโอสถระดับ 2!

เปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 2!

ทันใดนั้นซื่อโหมวรู้สึกราวกับท้องฟ้าถล่มลงมาตรงหน้า!

ผู้หลอมโอสถระดับ 2 ...

"เจ้าหนู! เจ้าแน่ใจหรือว่าอาจารย์ของเจ้านั้นมีเปลวเพลิงหลอมโอสถสีม่วง? ทั้งๆรอบๆยังเป็นขอบสีเงิน?"

หน้าอกของซื่อโหมวนั้นกระเพื่อมขึ้นลงราวกับที่สูบลมยังไงยังงั้น

แม้แต่ตอนที่เขายังเด็กแล้วได้จุดเปลวเพลิงหลอมโอสถขึ้นมาจนกลายเป็นผู้หลอมโอสถได้เขายังไม่ตื่นเต้นเท่านี้

"แน่นอนสิข้ามั่นใจ อ่อจริงสิ... อาจารย์บอกกับข้าว่าท่านมาจากดินแดนลับแลและที่เขามาที่เมืองของข้าก็เพื่อพักผ่อนเท่านั้น บังเอิญตอนนั้นท่านได้เห็นถึงพรสวรรค์ของข้า ซ้ำยังกล่าวอีกว่ายอดเยี่ยมนัก หลังจากนั้นท่านจึงตัดสินใจรับข้าเป็นศิษย์"

หลิงเทียนทำท่าครุ่นคิดก่อนที่จะกล่าวออกมา

"ดินแดนลับแล?"

ท่าทางของซื่อโหมวพลันตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง

เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด…

เขาเองก็คาดเดาไว้ก่อนแล้ว และเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ของหลิงเทียนเขาก็ยืนยันได้แล้วว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง

เขามั่นใจว่าคำว่า 'ดินแดนลับแล' นี้ ไม่ต้องพูดถึงต้วนหลิงเทียนเลย ให้อาวุโสของทั้งสามตระกูลใหญ่ในเมืองออโรร่าแห่งนี้ ก็ไม่มีทางรู้จัก

และเหตุผลเดียวที่เขารู้ได้ก็เพราะว่าเขาอ่านเจอในบันทึกโบราณของสมาคมผู้หลอมโอสถ

สามารถกล่าวได้ว่าสาจาครั้งนี้ของหลิงเทียนนั้นหาได้โกหกไม่

ตอนนี้เขารู้สึกตื่นตะลึงพรึงเพริด

ชายหนุ่มชุดสีม่วงที่ยืนอยู่หน้าเขาตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวตนระดับสูงล้ำที่เขาไม่สามารถเปรียบเทียบได้ซะแล้ว...

ลูกศิษย์ของผู้หลอมโอสถระดับ 2!

ตอนนี้เขามั่นใจอย่างถึงที่สุด

หากเรื่องนี้มีการแพร่กระจายออกไปเกรงว่าแม้แต่ราชาของอาณาจักรเมฆาล่องคงต้องเชื้อเชิญหลิงเทียนผู้นี้ไปเป็นแขกกิตติมาศักดิ์อย่างแน่นอน

ลูกศิษย์ของผู้หลอมโอสถระดับ 2 แน่นอนว่าอนาคตของมันนั้นต้องไม่ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง

ซื่อโหมวพยายามระงับความตื่นตระหนกก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างช้าๆ "เจ้าหนู แล้วอาจารย์?ของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ ข้าจะมีโอกาสได้เจอเขาบ้างหรือไม่ "

"ยามนี้อาจารย์ข้าคงจากไปไกลแล้ว เขานั้นให้ข้าพยายามสั่งสมประสบการณ์ด้วยตัวเองและยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองให้ได้ ตัวเขานั้นจะพยายามมาเยี่ยมข้าบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อดูความก้าวหน้าเท่านั้น ...จริงสิ หากท่านอยากพบอาจารย์ข้าเช่นนั้นเมื่ออาจารย์ข้ากลับมาข้าจะพาท่านไปพบก็แล้วกัน "

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย

"อ่า ขอบคุณสหายตัวน้อยยิ่ง"

ใบหน้าของซือโหมวตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้แต่คำเรียกหาหลิงเทียนยังเปลี่ยนไป

ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่อไปอีกว่า "แค่เรื่องเล็กน้อย อาจารย์นั้นตามใจข้าอย่างถึงที่สุด ท่านบอกว่าในชีวิตนี้ของท่านตั้งแต่รับศิษย์มาพรสวรรค์ของข้านับว่าเหนือล้ำผู้อื่นมากนัก... อาจารย์ยังกล่าวอีกว่าศิษย์พี่อาวุโสต่างๆของข้าที่อยู่ใน 'ดินแดนลับแล' พวกเขายังเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วข้า เฮ้! นี่เชื่อรึไม่ ตอนนั้นข้าเองถึงกับเขินอายจนหน้าแดงเชียวนา... "

ยิงมาท่าทางของซื่อโหมวยิ่งตะลึงค้าง แต่เขาก็พอเข้าใจและยอมรับได้

หาได้ตลกไม่

ในแง่พรสวรรค์ตามธรรมชาติแล้ว สามารถกลายเป็นผู้หลอมโอสถ ตั้งแต่อายุ 16 นี้ แม้แต่ใน ดินแดนลับแล เองก็มิได้พบได้โดยง่าย

อย่างไรก็ตามซื่อโหมนั้นไม่ได้สังเกตเลยว่ามุมปากของต้วนหลิงเทียนนั้นยกขึ้นมาอย่างผิดปกติอย่างยิ่ง

ดูไปดูมาเหมือนคนกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลังอย่างไรอย่างนั้น...

"สหา..แฮ่ม.. น้องชายข้าสงสัยว่าเจ้ามีความคิดที่จะเข้าร่วมกับสมาคมผู้หลอมโอสถของพวกเราบ้างหรือไม่ ข้ารับประกันได้ว่าเมื่อเจ้าเข้าร่วมแล้วเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ... ในอนาคตแม้แต่พระราชาของอาณาจักรเมฆาล่องก็ไม่กล้าหายใจแรงๆต่อหน้าของเจ้า "ซื่อโหมวกล่าวออกมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเชิญชวน

"ฟังไปก็ดูไม่เลวนะ"

ต้วนหลิงเทียนทำท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย

ดวงตาของซื้อโหมวเบิกกว้างขึ้นมา

ดูเหมือนว่าอาจจะเป็นไปได้!

"แต่อาจารย์ของข้ากล่าวไว้ว่าห้ามให้ข้าไปเอ่ยถึงตัวตนของท่านหากไม่จำเป็น อีกทั้งห้ามให้ข้าอาศัยตัวตนของท่านเพื่อรับความสะดวกสบายใดๆทั้งสิ้น... ท่านต้องการให้ข้านั้นเดินด้วยตัวเอง หักถางหนทางแห่งความสำเร็จด้วยตัวข้าเอง และกลายเป็นตัวตนที่ทรงอำนาจด้วยการกระทำของข้าเอง "

ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ

"ข้าคงต้องกล่าวกับท่านอย่างตรงไปตรงมา คำกล่าวเชิญชวนของท่านเมื่อครู่นับว่าขัดคำสั่งของอาจารย์ข้าอย่างแรง ... เฮ่อ จะดีกว่านะหากท่านไม่เอ่ยถึงเรื่องตัวตนของข้าออกไป เกิดอาจารย์ข้าถามขึ้นมา ข้าเองก็ไม่อาจโกหกท่านได้เสียด้วย จะอย่างไรข้าก็ต้องบอกท่านอาจารย์ว่าท่านเป็นผู้กระจายข่าวเรื่องนี้ไป "

เมื่อกล่าวจบดวงตาของหลิงเทียนก็เรืองวูบออกมา มันแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้ไม่น้อย

ฟืด!

ใบหน้าของซื่อโหมวกลับกลายเป็นสีเขียวทันที...

"นะ..น้องชาย... เอาล่ะๆ อย่าได้ทำเช่นนั้น ... เอาเป็นว่าข้ามิเคยถามอันใดเจ้าดีหรือไม่ ตั้งแต่อาจารย์ของเจ้าสั่งเช่นนั้นข้าคิดว่าเหมาะสมแล้วเหมาะสมยิ่งนัก มิมีอันใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว ยะ..อย่าได้ทำให้ข้าเกิดปัญหาเลย..."

ซื่อโหมวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เพราะซื่อโหมวรู้ดีว่า อัตลักษณ์ของผู้หลอมโอสถระดับ 2 คืออะไร

นอกจากจะมีระดับผู้หลอมโอสถที่น่าพรั่นพรึงแล้ว เขายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังและมีระดับพรสวรรค์สูงล้ำในหนทางเต๋าแห่งการต่อสู้อีกด้วย

ตัวตนนี้นับว่าทรงพลังและมีอำนาจมหาศาลนัก!

ตอนนี้เขาเองยังอดกลัวไม่ได้เลย

เพราะก่อนหน้านี้เขาเองยังบังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาเล็กน้อย ...

ว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนช่วยให้เขากลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 7 แล้ว เขาจะหาทางนำแต้มภารกิจของเขาที่อยู่กับต้วนหลิงเทียนกลับคืนมา...

แต่ตอนนี้เขารู้สึกโชคดีอย่างมากที่เหตุผลและมโนธรรมของเขานั้นเอาชนะความคิดชั่วร้ายดังกล่าวได้

เพราะหากเกิดอะไรขึ้นหรือทำให้หลิงเทียนไม่พอใจแล้ว เกรงว่าตัวตนที่ทรงพลังอำนาจเหนือผู้ใดในอาณาจักรเมฆาล่องแห่งนี้จะบันดาลโทสะบันดาลเรื่องโหดร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้กับเขา

ในเวลานั้นแม้แต่เขาเองก็เดาไม่ได้ว่า เข้าจะมีจุดจบที่ทรมานถึงเพียงใด

"เอาล่ะน้องชายอย่างกังวลข้าสัญญาด้วยจิตวิญญาณของข้าเลยว่า เรื่องราววันนี้ข้าจะมิบอกกล่าวแก่ผู้ใดเด็ดขาด นอกจากนี้หากเจ้าต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งให้ข้าทราบ ตราบใดที่มันอยู่ในขอบเขตอำนาจที่ข้าสามารถกระทำได้ ข้าจะจัดการให้เจ้าอย่างเต็มที่"

ซื่อโหมวนั่นสาบานออกมาอย่างจริงจังและกล่าวมันออกมาด้วยใจจริง

"เฮ่ ท่านก็อย่าได้เกรงใจนักเลย ... เอาล่ะแต่ในเมื่อท่านตั้งอกตั้งใจถึงขนาดนี้ข้างเองก็มีเรื่องจะขอให้ท่านช่วยเหลือสักหน่อย พอดีข้าต้องการวัตถุดิบบางอย่าง แต่ว่ามันไม่สามารถหาได้จากเมืองออโรร่าแห่งนี้ ข้าอยากรู้ว่าท่านพอจะช่วยเหลือข้าได้บ้างหรือไม่ "

ต้วนหลิงเทียนเขียนรายการวัตถุดิบทั้งหมด ก่อนที่จะมอบให้แก่ซื่อโหมว

ซื่อโหมวก้มลงไปอ่าน

วัตถุดิบมีทั้งหมด 5 ชิ้น 2 ชิ้นนั้นเขารู้จักและคุ้นเคยดีแต่มันนั้นค่อนข้างหายากและมีมูลค่าสูง ส่วน 3 ชิ้นที่เหลือนั้นเขาไม่รู้จักมันแม้แต่น้อย

"เอาล่ะข้าจะพยายามรวมรวบวัตถุดิบนี้ให้เร็วที่สุด และข้าจะรีบส่งไปให้เจ้าทันที ที่ข้ารวบรวมมันได้ครบ"

ซื่อโหมวหันไปพยักหน้ากับหลิงเทียนอย่างจริงจัง

"เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านล่วงหน้าแล้ว"

ต้วนหลิงเทียนยิ้มเบาๆ ก่อนที่จะพยักหน้ารับอย่างกตัญญู

หลังจากซื่อโหมวจากไป ต้วนหลิงเทียนก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จนแทบจะถึงรูหู

ทุกอย่างที่เขากล่าวออกมาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องราวที่เขาเตรียมไว้เพื่อป้องกันตัวเอง ...

"ดินแดนลับแล" และเปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 2 ทั้งหมดนี้เขาได้มากจากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดทั้งนั้น

ใช้มันเพื่อข่มขู่ผู้คนนี่นับว่าไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย

นี่เป็นสถานที่และเรื่องราวที่ต่อให้เป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดของตระกูลลี่แห่งเมืองออโรร่านั้นไม่มีทางรู้แน่นอน แล้วจะเอาอะไรกับตระกูลลี่สาขาอื่นๆ นอกเหนือจากเมืองออโรร่า

ซื่อโหมวที่รู้เรื่องนี้เพราะมันเป็นคนของสมาคมผู้หลอมโอสถ

เพราะสาขาหลักของสมาคมผู้หลอมโอสถนั้นตั้งอยู่ใน 'ดินแดนลับแล'

"ข้าหวังว่าจะสามารถรวบรวมวัตถุดิบหายากนั่นทั้ง 5 ชิ้นให้ได้เร็วที่สุด เพราะเพียงแค่ข้าสามารถจารึกอาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตได้ล่ะก็ ถึงแม้จะไม่แข็งแกร่งเท่ากับอาคมโลหิตปะทุที่ติดกับอาวุธวิญญาณของผู้อาวุโสจากเมืองหมอกธาราผู้นั้น แต่ก็นับว่าใกล้เคียงกันไม่น้อย"

ดวงตาของหลิงเทียนเรืองวูบไปด้วยแสงเยียบเย็น

ศาสตร์แห่งการจารึกอาคมนั้นลึกล้ำสุดหยั่งถึง

ผู้จารึกอาคมนั้นแตกต่างจากผู้หลอมโอสถและผู้หลอมศาสตราอยู่บ้าง

สองอย่างหลังนั้นจำเป็นต้องบ่มเพาะให้ถึงระดับหนึ่งและพัฒนาพลังงานต้นกำเนิดไปตามระดับขั้น ถึงจะสามารถปรับเปลี่ยนยกระดับเปลวเพลิงหลอมโอสถ และเปลวเพลิงหลอมศาสตราได้

แต่ทว่าการจารึกอาคมนั้นอาศัยพลังจิต ที่มาจากจิตวิญญาณเท่านั้น

ตราบเท่าที่ผู้จารึกอาคมมีพลังจิตที่เข้มแข็งมากพอถึงข้อกำหนดและสามารถรวบรวมวัตถุดิบที่ต้องการได้แล้วล่ะก็ มันสามารถจารึกอาคมนั้นได้ในทันที ...

เพราะพลังงานต้นกำเนิดในสายตาของผู้จารึกอาคมนั้น ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าเครื่องมือในการเปิดใช้งานอาคมจารึกแม้แต่น้อย

ส่วนพลังจิตนั้นเป็นพลังที่เกิดจาก ตัว จิตวิญญาณของแต่ละบุคคล

บางทีอาจเป็นเพราะการเดินทางมายังโลกนี้ หรือหลอมรวมจิตสำนึกเข้ากับจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดก็ไม่รู้

แต่มันทำให้ พลังจิตและ จิตวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก

เมื่ออาศัยความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ทำการเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของพลังจิตของตัวเอง ต้วนหลิงเทียนสามารถสรุปได้ว่า พลังจิตของเขานั้นมากมายไม่ต่างอะไรกับ ผู้ฝึกยุทธ์ ระดับกำเนิดแก่นแท้

น่าเสียดายที่ทวีปแห่งนี้นั้น มีเพียงตัวตนที่ทรงพลังอำนาจอย่าง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิ เท่านั้นที่สามารถใช้พลังจิตในการต่อสู้ได้

ไม่เช่นนั้นล่ะก็อาศัยระดับพลังจิตของต้วนหลิงเทียนยามนี้ สามารถสยบเหล่าผึกยุทธ์ทุกคนที่มีระดับต่ำกว่ากำเนิดแก่นแท้ได้อย่างง่ายดาย

และแน่นอนว่านี่ย่อมเป็นสาเหตุ ว่าทำไมหลิงเทียนถึงหงุดหงิดนักที่ไม่สามารถหาวัตถุดิบในเมืองแห่งนี้ได้ เพราะตราบใดที่เขามีวัตถุดิบล่ะก็เขาสามารถจารึกอาคมระดับกำเนิดแก่นแท้ได้ทันที

อย่างเช่นอาคมจารึก จันทร์เสี้ยวโลหิต

อาคมจารึกจันทร์เสี้ยวโลหิตนั้นเป็นอาคมจารึกที่รุนแรงที่สุดที่เขาสามารถจารึกได้ในตอนนี้

"มันจะแตกต่างจากเมื่อก่อนมากมายนัก เพราะยามนี้ข้าตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิด และสามารถพัฒนาพลังงานต้นกำเนิดได้แล้ว ตอนนี้ตราบใดที่พลังจิตของข้าแข็งแกร่งพอข้าสามารถจารึกอาคมใดๆก็ตามที่ข้าสามารถจารึกได้อย่างง่ายดาย"

เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขากระทำได้ มุมปากของหลิงเทียนก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมา

รีวิวผู้อ่าน