px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 210 : ปล้นชาวบ้าน...อีกรอบ!!


บทที่ 210 : ปล้นชาวบ้าน...อีกรอบ!!

 

 

มองจากระยะทางไกล เห็นแนวยอดเขาคดเคี้ยวเลี้ยวลด ราวกับร่างกายของมังกรกำลังเหินบินข้ามผ่านท้องนภา เส้นทางเดินธรรมชาติสรรค์สร้างเป็นแนวยาวระหว่างภูเขาทอดตัวออกไป สองฟากฝั่งเป็นหน้าผา มีทิวไม้นานาพรรณขึ้นเรียงราย ให้ความสวยงามจรรโลงใจไม่น้อย เสียงสายลมหวีดหวิวแว่วเสียงสกุณาขับขานนำพาให้ใจสบายกายสงบดีนัก

หนึ่งในเส้นทางเดินในทิวเขาพลันปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเยื้องย่างมาอย่างช้าๆ

"ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดพวกเรามิใช้เรือเหาะของนิกายกันเล่า ใยต้องมาเดินเท้าเช่นนี้กัน... เห็นหรือไม่ข้าเดินมาตั้งหลายวัน ยามนี้เท้าของข้าพุพองปวดแสบแทบตายแล้ว!" เสียงหนึ่งดังขึ้น มองตามเสียงไปจักพบว่าผู้ที่กล่าวคำ เป็นสตรีร่างบางสวมใส่ชุดเสื้อผ้าสีน้ำเงินครามสวย กำลังเอ่ยกับชายหนุ่มในกลุ่มที่เดินนำหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร

“ศิษย์น้องหญิง อาจารย์เคยกล่าวไว้ ขอเพียงสองเท้าก้าวผ่านพันภูผาแลมหานทีจิตใจของเจ้าจักได้รับการรู้แจ้ง...นี่ก็นับว่าเป็นการฝึกตนอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อสองเท้าพวกเราก้าวตามครรลองนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าจักพานพบศัตรูที่เหมาะสมเท่าเทียมกับระดับบ่มเพาะของเจ้า นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่พวกเราพี่น้องทั้งหลายจักได้รับประสบการณ์เช่นนี้  ถึงแม้ว่าการใช้เรือเหาะมันจะสะดวกสบายและประหยัดเวลา แต่พวกเรายังจะได้เรียนรู้และฝึกฝนรับมือศัตรูได้อย่างไรกันเล่า?”

ศิษย์สตรีคนหนึ่งพลันพยักหน้าตอบรับวาจาของศิษย์พี่นาง ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา "ศิษย์พี่ใหญ่ วังวนนรกมอดไหม้ นี่มันน่าหวาดกลัวและอันตรายมากใช่หรือไม่ แล้วเช่นนี้พวกเราจักตกอยู่ในอันตรายที่มิอาจรับมือได้หรือไม่?  อีกทั้งข้าเองก็ได้ยินว่า ยามนี้สัตว์อสูรลึกลับนั่นได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งแล้ว  พวกเราจักได้พบกับมันหรือไม่?"

เหลยเหิ่งฟงชะงักฝีเท้าลง "ศิษย์น้องหญิง พวกเราหาได้มาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นไม่ การเดินทางมายังวังวนนรกมอดไหม้ครั้งนี้ เป็นการฝึกอบรมครั้งสำคัญของพวกเรา พวกเรามิอาจคลายความระมัดระวังลงและเดินทางโดยประมาทได้"

เกี่ยวกับศิษย์น้องหญิงคนนี้ เหลยเหิ่งฟงนับว่าจนปัญญาจัดการกับนาง แม้ว่านางจะพึ่งเข้ามาในนิกายเพียงไม่นาน แต่ตัวนางเองก็มีศักยภาพสูงมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียง 8 ปี นางก็สามารถตัดผ่านมายังระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางได้แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เหลยเหิ่งฟงรู้สึกขุ่นเคืองก็คือนิสัยติดเล่นของนาง ...หากนางยินยอมรับการฝึกฝนทั้งหลายที่นิกายเลือกไว้ให้ ด้วยศักยภาพสูงส่งและพรสวรรค์เลิศล้ำของนางนี้ เพียงเวลาแค่ไม่นานนางก็คงสามารถเลื่อนไปยังระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงได้แล้ว

"ฮายๆ พี่ใหญ่ก็กล่าววาจาเช่นนี้อยู่ได้ สถานที่แห่งนี้ช่างสวยงามปานสรวงสวรรค์ถึงเพียงไหน ใยมันจะยังมีอันตรายใดๆในที่แห่งนี้กันอีกเล่า?! ท่านนี่น่าเบื่อจริงๆเล้ย" ซิงเยว่อวี่ เดาะลิ้นออกมาอย่างขัดใจ ก่อนที่จะกล่าวประชดประชันออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ของนางนั้นช่างจริงจังไปเสียทุกเรื่อง ทำตัวเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้น่ารักเอาเสียเลย

"ศิษย์น้องหญิง เจ้าควรจักจดจำเอาไว้ให้ดี  สถานที่ยิ่งสวยงามมากเพียงใด มันย่อมแฝงอันตรายอันร้ายกาจเอาไว้มากถึงเพียงนั้น จงระวังให้มาก" เหลยเหิ่งฟงส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่า นี่มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ ที่นำศิษย์น้องหญิงคนนี้เข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ แม้ว่าเป้าหมายของเขาก็คือฝึกฝนและอบรมเหล่าศิษย์น้องทั้งหลาย แต่ภารกิจหลักของเขาที่ได้รับมอบหมายมาก็คือ ตรวจสอบสถานการณ์ของ วังวนนรกมอดไหม้

ดูเหมือนว่ายามนี้อาณาเขตร้อนระอุของวังวนนรกมอดไหม้จะขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆ  ขอบเขตที่นิ่งสงบนานนับร้อยปีมันกลับเริ่มขยับขยายอย่างช้าๆ! ซ้ำร้ายอุณหภูมิเองก็ค่อยๆทวีความร้อนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ! เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่พวกเขาต้องมาตรวจสอบ

"ฮึ! ข้าไม่เชื่อท่านหรอก สถานที่สวยงามเช่นนี้มันจักไปมันอันตรายใดได้?  ศิษย์พี่ ข้าว่าท่านนั่นแหล่ะที่ไร้อารมณ์มากเกินไปแล้ว ท่านสร้างมาจากหินผาหรือดินจอมปลวกหรือไร        ? ท่านควรเรียนรู้วิธีที่จะสนุกกับชีวิตเสียบ้าง! " ซิงเยว่อวี่กล่าวบ่นออกมางุมงำๆ

เหล่าศิษย์รอบๆล้วนหัวเราะขบขันออกมาอย่างสนุกสนาน ศิษย์น้องหญิงคนเล็กของพวกเขานี่นับว่าร่าเริงและซุกซนนัก แต่พวกเขาก็ค่อนข้างชอบและเอ็นดูนางไม่น้อย

...จะว่าไปศิษย์พี่ใหญ่ของพวกมันเองก็จริงจังกับทุกเรื่องราวมากเกินไปจริงๆนั่นล่ะ  ชีวิตเขาเขานี่แลดูจะระมัดระวังไปเสียทุกเรื่อง นับว่าไร้อารมณ์และน่าเบื่ออย่างแท้จริง

...

“โอ้...แม่สาวน้อย! ศิษย์พี่ของเจ้าคนนี้นับว่าพูดจาได้ถูกแล้ว เรื่องที่ว่าสถานที่ๆยิ่งสวยงามมากเท่าไร มันยิ่งมีอันตรายมากเท่านั้น อันที่จริงเรื่องนี้มันถูกเผงเลยล่ะ ทีหลังเจ้าต้องหัดระมัดระวังให้มากกว่านี้นะ”  เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากที่ไกลๆ มันฟังแลดูสุภาพไม่น้อย

เหลยเหิ่งฟงรีบหันไปสำรวจรอบข้างด้วยความระมัดระวังถึงขีดสุด ซิงเยว่อวี่เองก็รีบขยับก้าวจากจุดเดิมของนาง พุ่งไปยืนด้านข้างของศิษย์พี่ใหญ่ทันที

"มิทราบผู้มามีกิจอันใด โปรดแสดงตัวออกมาได้หรือไม่!" เหลยเหิ่งฟงกล่าวออกมาด้วยทีท่าจริงจัง

ทันใดนั้นหลินฟ่านก็ค่อยๆก้าวออกมาจากด้านข้างด้วยท่วงท่าสง่างาม สองมือไพร่หลังใบหน้ายิ้มแย้ม ด้านหลังเองก็มี 14 โจรจ้าวทะเลทรายที่มอมแมมเล็กน้อยก้าวตามออกมา

"เอาล่ะ หนุ่มหล่อสาวสวยทั้งหลาย อย่าได้แตกตื่น ข้าไม่ได้มาทำอะไรร้ายแรงกับพวกเจ้า นี่เป็นเพียงการปล้นชิงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น พวกเจ้ามีของอะไรมีค่า ช่วยส่งมาให้ข้าได้หรือไม่ อ่ออาหารด้วยนะ! " ใบหน้าของหลินฟ่านสงบนิ่งมาก มุมปากแย้มยิ้มเล็กน้อย นี่เป็นการปล้นแบบสุภาพชนที่โลกควรเอาเยี่ยงอย่าง...

เขาสงสัยหนักมาก ว่าทำไมเวลาผู้ร้ายปล้นธนาคาร ทุกคนต้องตื่นกลัว แทนที่จะรีบหยิบเงินส่งให้โจรไปซะดีๆ บางทีอาจจะเนียนหยิบเข้ากระเป๋าเป็นค่าทำขวัญ ที่ธนาคารไม่มีวันจ่ายให้...เพราะจะอย่างไรที่ซวยคือบริษัทประกันกับธนาคาร ไม่ใช่พนักงานตาดำๆทั้งหลาย.....

ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาหลินฟ่านได้สูญเสียรถม้าไปเพราะอุบัติเหตุ

ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านพื้นที่อันตราย พวกเขาก็พบกับฝูงสัตว์อสูรที่กำลังวิ่งมาเป็นฝูงราวกับพวกมันกำลังหนีหรือเตลิดอะไรมาสักอย่าง อีกทั้งฝูงสัตว์นี้ยังมีจำนวนมหาศาลมากมายนัก ยามพวกมันวิ่งมานี่แผ่นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่นราวกับแผ่นดินไหว 7.5 ริคเตอร์!

หลินฟ่านบังเกิดความตื่นเต้นอย่างมากในตอนแรกที่เห็นฝูงสัตว์อสูรนี่ เพราะหากเขาสังหารพวกมันได้หมด ค่าEXP ของเขาคงพุ่งพรวด อัพ Level ด้วยความเร็วแสงเป็นแน่แท้!

แต่ทว่าเมื่อหลินฟ่านเห็นในฝูงสัตว์อสูรนี้มี สัตว์อสูรที่มีระดับบ่มเพาะสูงถึง สู่สวรรค์อมตะ อยู่ไม่น้อย หลินฟ่านก็เปลี่ยนความคิดที่จะโผล่ออกไปล้างบางพวกมันทันที

สุดท้ายเขาก็เลือกซ่อนตัวเช่นเดียวกับพวกชาตู่หลง เขาทำได้เพียงดูฝูงสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลนี่ด้วยความเสียดายและทำอะไรไม่ได้...และแน่นอนเนื่องจากรถม้ามันมีขนาดใหญ่ พวกเขาไม่อาจพามันมาหลบออกมาได้ทัน สุดท้าย มันก็ถูกทิ้งให้แหลกเหลวคาฝ่าเท้ากองทัพสัตว์อสูร!

เพราะเหตุนี้เองหลินฟ่านที่คิดว่าจะได้เดินทางกินลมชมวิวแบบชิลๆ ต้องถ่อสังขารลงมาเดินด้วยสองเท้าเช่นนี้ พร้อมๆกันกับชาตู่หลงและ 14 โจรจ้าวทะเลทราย

และความซวยยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากที่รถม้าแหลกยับไปเพียง 10 วัน เสบียงอาหารแสนอร่อยที่ตระเตรียมมาก็หมดลง พวกเขาเองก็เหนื่อยล้ากับการเดินทางมาแล้วไม่น้อย ซ้ำร้ายยังต้องมาเหน็ดเหนื่อยล่าสัตว์เพื่อเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่าอีก ...แล้วใช่ว่าสัตว์อสูรจะมีให้เห็นบ่อยๆ กล่าวได้ว่าชีวิตช่างลำบากมากมาย!

และตอนนี้ในที่สุดหลังจากอดทนเดินทางมาเป็นระยะเวลานาน หลินฟ่านกับกลุ่มก็เข้าใกล้วังวนนรกมอดไหม้มากแล้ว หลินฟ่านตั้งใจที่จะไปตรวจสถานที่ๆ ถูกทำสัญลักษณ์ไว้บน แผนที่ขุมทรัพย์ 7 เซียนศักดิ์สิทธิ์ของเขา ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อเติมเต็มปัจจัยทั้งหลายของพวกเขา แต่ทันใดนั้นเอง ชาเมี่ยเฉวียงที่ถูกส่งออกไปคอยสำรวจเส้นทางด้านหน้าก็กลับมาพร้อมรายงานว่า พบเจอกลุ่มคน

หลินฟ่านที่เริมเบื่อชีวิตลำบาก เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้ เขาก็หูผึ่งและแสดงท่าทีราวปลากระดี่ได้น้ำ หากเขาไม่รีบงับเนื้อแสนหวานโอชะชิ้นนี้เข้าปากไปแล้วล่ะก็  คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก เพราะโอกาสทองเช่นนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ!

นับตั้งแต่ชาตู่หลงและ 14 โจรจ้าวทะเลทรายที่เหลือติดตามหลินฟ่านมา ความคิดที่ว่าพวกมันจะได้ปล้นชิงผู้คนอีกครั้งก็ล้วนอันตรธานหายไปจากในหัว

แต่มาตอนนี้ เมื่อหลินฟ่านบอกให้พวกมันเตรียมตัวปล้นชิงผู้คนอีกครั้ง พวกมันเหมือนได้รับการฟื้นพลังจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ฟื้นฟูชีวิตชีวาและจิตใจที่เริ่มเหี่ยวเฉาอับปางลงไปให้ฟื้นคืนขึ้นมาใหม่!

"ศิษย์พี่ใหญ่ คนกลุ่มนี้ใช่เรียกว่า กลุ่มโจรหรือไม่? นี่พวกมันไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นผู้ใด" ซิงเยว่อวี่นั้นแลดูจะไม่ค่อยหวาดกลัวสักเท่าไร เพราะหลินฟ่านเดินแย้มยิ้มออกมาราวกับเป็นมิตร นางเองก็ตื่นเต้นกับเรื่องราวและคิดว่ามันสนุกสนานจนแย้มยิ้มออกมา

ทว่าจะอย่างไรเหลยเหิ่งฟงยังคงตึงเครียดและพยายามตรวจสอบกลุ่มคนผู้มาใหม่

ชาตู่หลงและเหล่า 14 โจรจ้าวทะเลทรายล้วนมีระดับบ่มเพาะอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกมันย่อมแผ่กลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมาไม่น้อย...เรื่องนี้เหลยเหิ่งฟงล้วนรับรู้ได้  หากมีเพียงแค่กลุ่มโจรนี้อย่างเดียวแน่นอนว่าเขาย่อมไม่กังวลใจเท่าไรนัก สิ่งที่เขากังวลใจจริงๆคือชายผู้ที่ก้าวนำออกมาผู้นี้ต่างหาก เพราะเขาไม่อาจจับสัมผัสพลังงานหรือระดับได้เลย มีเพียงกลิ่นอายที่เงียบเชียบอันตรายราวกับสามารถมอบความตายให้เขาได้ในชั่วพริบตาเท่านั้น

"พวกเจ้าเป็นใครกัน?" เหลยเหิ่งฟง เดินไปบังศิษย์น้องหญิงเอาไว้ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา

หลินฟ่านที่ยืนสงบนิ่งเมื่อมองไปยังเหล่าศิษย์นิกายทั้งหลายตรงหน้าเริ่มคิดในใจ  ‘อื่อหืม! ดูจากรูปลักษณ์ของพวกมันแล้วท่าทางจะร่ำรวยกันไม่น้อย อีกทั้งข้าวของที่พวกมันใช้ก็แลดูมีราคาไม่เบา มากันเยอะแบบนี้ของกินน่าจะมีเพียบ หวานคอแร้งล่ะพวกเอ็ง!’

แต่ในฐานะที่เขาเป็นเซเลปคนดังของเม้งก่า หลินฟ่านแน่นอนย่อมไม่ชอบเข่นฆ่าสังหารผู้คน หรือปล้นชิงสิ่งของจากศพอะไรเช่นนั้น  ...อย่างไรก็ตามแต่ละคนย่อมมีความจำเป็นที่ยากบอกกล่าว และบางครั้งสถานการณ์มันก็บีบบังคับไม่น้อย  และตอนนี้ความช่วยเหลือที่หาได้ยากเย็นก็ถูกสวรรค์ประทานมาให้ในช่องแคบแห่งนี้ แล้วเขาจะไม่รับเอาไว้เชียวหรือ?

"เอาล่ะ พวกเราเป็นใครมันก็ไม่สำคัญอะไรนักหรอก สิ่งที่สำคัญคือ พวกเจ้ากรุณายืนนิ่งๆ และอย่าได้ขัดขืนให้อะไรๆมันแย่ลง ข้าแค่มาปล้นเท่านั้น ไม่ได้อยากได้ชีวิตของพวกเจ้า"

หลินฟ่านมีกฎ 3 ข้อในการปล้นชิงผู้อื่น

ไม่มีการฆ่า  ไม่มีการข่มขืน  เอาแต่ทรัพย์สินของมีค่าเท่านั้น!

“พวกเราเป็นถึงศิษย์สาวกของนิกายเต้าจง  แต่พวกเจ้ากลับกล้าปล้นชิงพวกเรางั้นหรือ!” ศิษย์คนหนึ่งที่ยืนท่ามกลางศิษย์คนอื่นๆกล่าวตะโกนออกมา

นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบเจอเรื่องราวเช่นนี้  หากพวกมันกลับไปทั้งๆที่โดนปล้น ไม่ใช่ว่าเหล่าศิษย์พี่น้องทั้งหลายในกายจะหัวเราะเยาะแล้วมองพวกมันเป็นตัวตลกหรือไร? เป็นถึงศิษย์จากนิกายเต้าจงทังทีกลับถูกโจรร้ายปล้นชิง ยังจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?

"บัดซบ!! นี่พวกเจ้าไม่ได้ยินวาจาของนายท่านพวกเราเช่นนั้นหรือ  นายท่านกล่าวกำชับให้พวกเจ้าอย่าได้สร้างความวุ่นวาย และทิ้งสิ่งของมีค่าเอาไว้ เรื่องเท่านี้เด็กน้อยเจ้าฟังคำมิรู้เรื่องหรือไร ตัวข้ามิใช่สัตว์กินพืชรู้เอาไว้ซะ!!" ชาเมี่ยเฉวียงเป็นโจรร้ายมานาน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกมีความสุขอย่างมากเมื่อได้กระทำการปล้นชิงผู้อื่นเช่นนี้อีก ...ตอนนี้เขาได้ติดตามชายที่แข็งแกร่งยากหยั่งถึง ซ้ำยังได้ทำการค้าไร้ต้นทุน อันเป็นอาชีพหลักที่รักยิ่ง อีกครั้งเช่นนี้...ชีวิตของเขาช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้นะ!

และนี่คือวิธีการปล้นชิงที่แท้จริง! ต้องข่มขู่ผู้คนให้หวาดกลัวจนไม่กล้าขัดขืน! เขาต้องกระทำการข่มขู่กลุ่มคนพวกนี้ให้หวาดกลัวและไม่กล้าต่อต้าน!

"ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราอย่าได้เสียเวลากับเหล่าโจรบัดซบอีกเลย  รีบฆ่าพวกมันเสียแล้วไปต่อเถอะ" ศิษย์คนหนึ่งกระซิบกล่าววาจาออกมา

เหลยเหิ่งฟงนั้นกำลังชั่งใจอย่างหนักหน่วง นี่เพราะเขารู้สึกว่าชายตรงหน้าคนนี้ที่แย้มยิ้มอยู่มีอันตรายอย่างยิ่ง ไม่ควรต่อต้านเด็ดขาด!

"ฮ่าๆๆ  เหลยเหิ่งฟง! ข้ามิคิดเลยว่าจักมีวันที่คนของนิกายเต้าจงอย่างพวกเจ้า ถูกโจรร้ายปล้นชิงเช่นนี้!" ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงเล็กแหลมคมเสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาจากพุ่มไม้ด้านหลัง

ชายสวมชุดขาวกระจ่างเรือนผมยาวสลวยเดินมาอย่างองอาจ กระบี่ใหญ่ถูกสะพายไว้ที่เอว หน้าตาหล่อเหลากอปรกับท่วงท่าหยิ่งยโสโอหังแข็งกร้าว ทำให้เขาดูราวกับปรมาจารย์กระบี่คนหนึ่ง เมื่อผู้อื่นจับจ้องไปที่เขาล้วนต้องละอายทั้งสิ้น

"หลิวหลิ่งฟง" เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ทีท่าของเหลยเหิ่งฟงพลันแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองไม่พอใจทันที

"หึหึ แต่โจรร้ายเหล่านี้ ก็นับว่ามิใช่ชั่ว ล้วนน่าหวาดกลัวมิใช่น้อย แต่มันก็เท่านั้น ข้าจักให้พวกมันไปเยี่ยมชมสวรรค์ด้วยคมกระบี่ของข้า" หลิวหลิ่งฟงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ด้วยการตวัดนิ้วของเขากระบี่ยาวเล่มใหญ่พลันหลุดจากมือลอยขึ้นไปยังฟากฟ้า ก่อนที่จะหมุนควงเป็นวงกลมและพุ่งกลับมาคืนฝักที่หลังของเขา

เสื้อผ้าของมันขาวผ่องราวหิมะ ซ้ำร้ายท่วงท่าการเดินของมันยังไร้เสียง อันที่จริงกลิ่นอายของชายคนนี้โชยชัดออกมาถึงความน่ารังเกียจ และจิตใจต่ำทราม

หลินฟ่านเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อยราวกับพึงพอใจอะไรสักอย่าง

‘ห้าวหรอไอ้น้อง ได้ๆ’

ดูเหมือนจะได้เวลาที่เขา ต้องลงมือสั่งสอนบทเรียนแก่ผู้คนอีกแล้ว...

 

รีวิวผู้อ่าน