px

เรื่อง : คุณพ่อยอดหมอเทวดา (重生之奶爸医圣)
ตอนที่ 29 คอกสุนัข


ตอนที่ 29 คอกสุนัข

 

หลินจื่อเยวียนจึงพูดขึ้น "เพื่อนเก่าของฉันมีชื่อว่าไป๋จื่อผิง เปิดคอกสุนัขขนาดใหญ่ เป็นที่รู้จักกันในนามราชาสุนัขชื่อดังแห่งเมืองเจียงหนาน ก่อนหน้านี้เขาซื้อสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์พันธุ์แท้สองตัวมาจากทิเบต จ่ายไปทั้งหมดกว่า 30 ล้านหยวน

 

"แพงขนาดนั้นเลยเหรอคะ?" หลินโม่โม่ตกตะลึงตาค้าง ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของหลินชื่อกรุ๊ปนับพันล้านหยวน แต่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสุนัขสองตัวจะขายได้ราคาแพงขนาดนี้

 

"มันคือสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์พันธุ์แท้เชียวนะ ราคาแพงอยู่แล้ว อีกอย่างตอนที่ซื้อมาแม่พันธุ์กำลังตั้งท้องด้วย ถ้าลูกสุนัขคอกนี้เกิดมาจะต้องทำเงินได้มหาศาลแน่นอน"

 

หลินจื่อเหยียนถอนหายใจพลางพูดขึ้น "เดิมทีไป๋จื่อผิงได้วางแผนไว้เป็นอย่างดี แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้จะป่วยหนักหลังจากมาถึงเจียงหนาน พวกมันป่วยอยู่ตลอดเวลา"

 

"ถึงแม้ว่าสองวันก่อนจะให้กำเนิดลูกสุนัขมาสองตัว แต่ลูกสุนัขกลับป่วยไม่แข็งแรง ไม่ยอมกินนม แม้ว่าเขาจะเชิญสัตวแพทย์มีชื่อเสียงมาหลายคน แต่ก็ไม่ได้ผล ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์และลูกๆ ของพวกมันจะต้องตายอย่างแน่นอน"

 

"เมื่อวานฉันได้พูดถึงทักษะทางการแพทย์ของเธอตอนที่ดื่มเหล้ากับไป๋จื่อผิง เขาจึงอยากเชิญเธอไปช่วยรักษาโรคให้กับสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์พวกนี้"

 

พูดมาถึงตรงนี้ เขาเริ่มรู้สึกเกรงใจจึงพูดเสริมขึ้น "คุณหมอฉิน อย่าคิดมากเลย ถ้าหากสะดวกก็ไปช่วยรักษาได้ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร"

 

แต่แม่หนูน้อยที่กอดคอจางฮ่านกลับตะโกนขึ้นว่า "เจ้าหมาน้อย ป่าป๊าคะ ถังถังอยากไปดูเจ้าหมาน้อย"

 

"เอาสิครับ พวกเราไปดูกัน!"

 

ฉินห้าวตงตอบรับ

 

เขาเองก็เคยรักษาโรคให้สัตว์ร้ายตอนที่อยู่โลกเซียน เขาไม่เคยปฏิเสธที่จะให้การรักษาไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้นแม่หนูน้อยเริ่มร้องอยากไปดูแล้ว

 

หลินจื่อเยวียนพูดขึ้นด้วยความดีใจ "งั้นก็ดีเลย ตอนนี้พวกเราไปดูกัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าสุนัขสี่ตัวนั้นจะทนไปได้ถึงเมื่อไร"

 

ฉินห้าวตงพยักหน้าตอบรับ เขาอุ้มแม่หนูน้อยเดิมตามหลินจื่อเยวียนไป ส่วนหลินโม่โม่มีธุระต้องไปจัดการจึงไม่ได้ตามไปที่คอกสุนัขด้วย

 

หลังออกจากบ้านมา ทั้งสามคนขึ้นไปนั่งบนรถออฟโรดของหลินจื่อเยวียน แล้วมุ่งหน้าไปยังเขตนอกเมืองของเมืองเจียงหนาน

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถออฟโรดขับออกมานอกเมืองมาถึงทางแยกหลักกิโลเมตรที่ 50 ทางทิศเหนือของเมืองเจียงหนาน ที่นี่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก

 

หลังจากที่เลี้ยวเข้าไปยังถนนเส้นเล็ก พวกเขาขับตรงไปอีกไม่ไกล พวกเขาพบด่านตรวจของทางคอกสองด่าน ด่านแรกตรวจสอบป้ายทะเบียน ด่านที่สองตรวจสอบตัวรถ

 

หลินจื่อเหยียนกลัวฉินห้าวตงจะไม่พอใจ จึงรีบอธิบาย “ไป๋ผิงจื่อใช้เวลากับที่แห่งนี้มาเป็นระยะเวลาห้าปีและลงทุนไปกว่าร้อยล้านหยวนเพื่อสร้างคอกสุนัขแห่งนี้ขึ้น เขาจึงต้องจำกัดคนที่เข้ามา ถ้าหากมันมีปัญหาเกิดขึ้นมาจริงๆ มันคงไม่ใช่แค่เรื่องเงินแล้ว”

 

ดีที่พวกคนตรวจสอบคุ้นเคยกับหลินจื่อเยวียนดี จึงตรวจสอบไม่นานก็ปล่อยพวกเขาไป

 

หลังจากขับรถมาประมาณยี่สิบนาที ในที่สุดก็มาถึงคอกสุนัข ด้านนอกดูเหมือนคฤหาสน์ที่เอาไว้พักผ่อน มีต้นไม้ใบหญ้าเต็มไปหมด ดูเขียวชอุ่มสวยงาม บ้านพักสไตล์ยุโรปหลายหลังล้อมรอบอาคารโดมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง รอบด้านมีรถหรูหลายประเภทจอดเรียงรายไว้ให้ชื่นชม

 

หลังจากที่ทั้งสามคนลงจากรถเดินเข้าไปในคอกสุนัข หญิงคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนแม่บ้านเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา

 

"คุณหลิน มาแล้วเหรอคะ!"

 

หลินจื่อเยวียนเป็นแขกประจำของที่นี่ พวกแม่บ้านจึงคุ้นเคยกับเขามาก

 

“ไป๋จื่อผิงอยู่ไหน พาฉันไปพบเขาหน่อย”

 

“เถ้าแก่อยู่ตรงกรงสุนัขด้านหลังค่ะ สถานการณ์ของพวกทิเบตันแมสติฟฟ์เริ่มแย่ลง ลูกสุนัขสองตัวนั้น ดูเหมือนกำลังจะตายแล้ว เถ้าแก่พึ่งจะเชิญสัตวแพทย์ที่มีชื่อเสียงจากในตัวมณฑลมาดูอาการพวกมันที่กรงสุนัขค่ะ”

 

แม่บ้านพูดในขณะที่นำทางให้กับฉินห้าวตง ถังถังและหลินจื่อเยวียน ภายในอาคารโดมเป็นคอกสุนัข ด้านหลังคอกสุนัขเป็นพื้นที่เลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่ กรงสุนัขถูกสร้างขึ้นด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์และสามารถมองเห็นสุนัขมูลค่าสูงเป็นจำนวนมาก

 

แม่หนูน้อยรู้สึกตื่นเต้นมากหลังจากที่เห็นสุนัขพวกนี้ เธอกรีดร้องด้วยความดีใจ “เจ้าหมาน้อย! เจ้าหมาน้อย! สนุกจังเลย ป่าป๊า ถังถังอยากเลี้ยงสุนัขค่ะ!”

 

ฉินห้าวตงจึงพูดขึ้น "ได้สิ ถังถังต้องเป็นเด็กดีก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อจะซื้อหมาน้อยที่สวยที่สุด น่ารักที่สุดให้ถังถัง"

 

"เย้ๆ ในที่สุดถังถังก็จะมีหมาน้อยแล้ว!"

 

สีหน้าของแม่หนูน้อยเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

คอกสุนัขมีขนาดใหญ่มาก พวกเขาเดินเป็นเวลาสิบนาทีก่อนที่จะมาหน้ากรงเลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่ ถ้าจะพูดว่ากรงสุนัขตัวอื่นๆ คือบ้านธรรมดา งั้นกรงสุนัขกรงนี้คงเป็นวิลล่าสุดหรู

 

มันไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งร้อยตารางเมตรเท่านั้น แต่ยังเป็นอาคารแก้วที่ปิดล้อมอย่างแน่นหนาพร้อมแสงไฟที่ยอดเยี่ยม ขณะเดียวกันภายในกรงสุนัขยังติดเครื่องปรับอากาศไว้อีกด้วย แม้ว่าในขณะนี้ที่เจียงหนานจะเป็นฤดูร้อน แต่อุณหภูมิภายในกรงสุนัขต่ำมาก แค่สิบสองหรือสิบสามองศาเท่านั้น

 

อุณหภูมิภายนอกและภายในมีความแตกต่างกันมาก หลังจากที่เดินเข้าไปแล้วหลินจื่อเยวียนหนาวจนขนลุก ฉินห้าวตงมีลมปราณคอยปกป้องเขาอยู่ ส่วนแม่หนูน้อยหลังจากที่กินโอสถชำระไขกระดูกไปแล้ว สมรรถภาพทางกายของเธอแข็งแกร่งขึ้นมาก ขณะเดียวกันภายในร่างกายของเธอมีตำราเทพยดาซู่หนี่ทำงานอยู่ ทำให้เธอปรับตัวได้กับอุณหภูมิภายใน

 

หลังจากที่เข้าไปในกรงสุนัข พวกเขาเห็นว่าประตูรั้วที่สองทำจากเหล็กเส้นหนาขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้นพูดคุยกับชายสองคนที่สวมเสื้อกาวน์สีขาว

 

ด้านในรั้วมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์และลูกสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์สีขาวราวกับหิมะอยู่ทั้งหมดสี่ตัว ลำตัวของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มีขนาดใหญ่มาก มีหัวและเท้าราวกับสิงโตที่สง่างาม

 

ลูกสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์อีกสองตัวพึ่งเกิดได้ไม่นาน พวกมันดูปุกปุยราวกับลูกบอลหิมะสีขาวนุ่ม เพียงแต่พวกมันดูไม่มีชีวิตชีวา ดูขาดพลัง ถ้าหากมันไม่ตัวสั่นเล็กน้อยตอนที่มันหายใจ คนอื่นคงคิดว่าพวกมันตายไปแล้ว

 

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์จะดีกว่ามาก แต่แม่พันธุ์ยังคงนอนหลับตาหมอบคว่ำหน้าอยู่บนพื้นด้วยท่าทีอ่อนแรง ส่วนพ่อพันธุ์มองไปที่ประตูเป็นครั้งคราวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง

 

ชายวัยกลางคนคนนั้นคือไป๋จื่อผิงซึ่งเป็นเจ้าของคอกสุนัข ในเวลานี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล หลังจากที่เห็นหลินจื่อเยวียนแล้วจึงพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นการทักทาย โดยที่ไม่ได้สนใจฉินห้าวตงที่ยืนอยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย

 

เขาทำธุรกิจคอกสุนัขมาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งทำให้เขามีรายได้มากขึ้นทุกวัน ครอบครัวของเขาจึงร่ำรวยเป็นอย่างมาก แค่ใช้เงิน 30 ล้านหยวนซื้อสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ถือเป็นอะไรที่ไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย

 

เพียงแต่ว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์สีขาวพันธุ์แท้สองตัวนี้เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก และเขาเป็นคนที่รักสุนัข พอเห็นสุนัขที่ตนรักป่วย ทำให้เขาเป็นกังวลอย่างมาก

 

ชายสองคนที่สวมเสื้อกาวน์สีขาว หนึ่งในนั้นเป็นชายหัวล้านอายุประมาณห้าสิบกว่าปี เขาคือฉวี่ว่านไฉซึ่งเป็นสัตวแพทย์ชื่อดังจากตัวมณฑลเจียงหนานที่ไป๋จื่อผิงเชิญมา ส่วนชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือลูกศิษย์ของเขานามว่าหลิวไห่ปิน

 

ภายใต้เสื้อคลุมสีขาวของฉวี่ว่านไฉคือเสื้อผ้าแบรนด์ดังราคาแพง เขาสวมนาฬิกามูลค่านับแสนหยวน ในมือของเขาถือกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงเฝ้าสังเกตอาการของเจ้าสุนัขเหล่านี้อยู่

 

หลิวไห่ปินยืนรออยู่ที่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ในมือของเขาถือพัดอันหนึ่ง ถึงแม้ว่าอุณหภูมิภายในจะต่ำมาก แต่เขาก็ยังคงพัดให้กับฉวี่ว่านไฉด้วยท่าทีประจบประแจง

 

ฉินห้าวตงรู้สึกตลกและแอบคิดในใจ เขาก็แค่สัตวแพทย์คนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องทำตัวเหมือนพวกศาสตราจารย์ที่มีสไตล์ด้วย?

 

หลินจื่อเยวียนเห็นว่าฉวี่ว่านไฉกำลังรักษาสุนัขอยู่ เขาจึงทำตามมารยาทโดยไม่พูดอะไร แค่ยืนดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น

 

“ป่าป๊า เจ้าหมาน้อย ตัวสีขาวปุกปุยมากเลยค่ะ!” แม่หนูน้อยตื่นเต้นมาก เธอชี้ไปยังลูกสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์สีขาวพลางตะโกนขึ้น “ป่าป๊าคะ ทำไมลูกสุนัขสองตัวนั้นถึงไม่ขยับล่ะคะ? ถังถังอยากเล่นกับพวกมัน!”

 

“เพราะพวกมันกำลังป่วยไง รอให้พวกมันหายป่วย เดี๋ยวก็มาเล่นกับถังถังแล้ว!”

 

ฉินห้าวตงยืนปลอบถังถังอยู่ด้านหลัง เสียงพูดของเขาไม่ได้ดังมาก

 

อย่างไรก็ตามในเวลานี้หลิวไห่ปินที่ยืนอยู่ข้างฉวี่ว่านไฉด้วยสีหน้าประจบสอพลอไม่พอใจที่ได้ยินเสียงพวกเขา จึงมองกลับมาแล้วพูดตำหนิเสียงดังว่า “จะดังอะไรกันนักหนา ไม่เห็นหรือไงว่าอาจารย์ของฉันกำลังทำการรักษาอยู่?”

 

แม่หนูน้อยที่กำลังมองดูลูกสุนัขด้วยความตื่นเต้นกลับตกใจเสียงของหลิวไห่ปิน เธอรีบชักมือกลับมากอดรอบคอของฉินห้าวตงทันที

 

“ป่าป๊า น่ากลัวจังเลยค่ะ!” แม่หนูน้อยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 

“ถังถังไม่ต้องกลัวนะ พ่อเคยบอกถังถังไว้แล้วนี่ ขอแค่มีพ่ออยู่ ถังถังไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” ฉินห้าวตงเหลือบมองไปที่หลิวไห่ปิน พลางจับมือแม่หนูน้อยแล้วพูดขึ้น “ตอนที่มาป่าป๊าก็เคยบอกถังถังไว้แล้วว่าที่นี่เป็นสถานที่เลี้ยงสุนัข มันอดที่จะมีเสียงหมาเห่าไม่ได้หรอกลูก!”

 

“แก……” หลิวไห่ปินโกรธจนหน้าแดง เขามีท่าทีพร้อมบวกในทันที จากนั้นฉวี่ว่านไฉวางกล้องจุลทัศน์ลงแล้วหันมาพูดว่า “อย่าส่งเสียงดัง”

 

จากนั้นเขาหันไปพูดกับไป๋จื่อผิง “คุณไป๋ครับ คุณก็รู้ว่ากฎในการรักษาของผมคือไม่ชอบให้ใครมารบกวนขณะทำการรักษา ดังนั้นโปรดบอกให้คนพวกนี้ออกไปด้วยครับ!”

 

เมื่อฉินห้าวตงเห็นว่าทั้งอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ต่างหยิ่งผยองพอกันทั้งคู่ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพลางคิดในใจ ‘เขาเป็นเพียงแค่สัตวแพทย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่เวลาทำการรักษายังต้องให้คนอื่นออกไปและต้องการอยู่เงียบๆ มันดีแล้วเหรอที่จะแกล้งวางมาดแบบนี้?’

 

ในเวลานี้ไป๋จื่อผิงพึ่งจะสังเกตเห็นฉินห้าวตงและแม่หนูน้อย เขารู้ว่าเป็นคนที่หลินจื่อเยวียนพามา เขากับหลินจื่อเยวียนเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว แม้ว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวมูลค่า 30 ล้านหยวนจะต้องตายจากความเจ็บป่วย แต่ก็ไม่สามารถทำให้มันมาส่งผลกระทบต่อมิตรภาพของพวกเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดไล่เพื่อนของเขาออกไป

 

“คุณฉวี่ นี่คือเพื่อนของผมและครอบครัวของเขา ให้ดูอยู่ที่นี่คงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม?”

 

ไม่ทันรอให้ฉวี่ว่านไฉพูดอะไร หลิวไห่ปินก็ชิงพูดขึ้นก่อน “จะไม่เป็นไรได้ไงครับ? อาจารย์ของผมเป็นสัตวแพทย์ที่ดีที่สุดของมณฑลเจียงหนาน ถ้าหากมีคนมาขโมยความรู้ทางการแพทย์ของเขาไปจะทำยังไงล่ะครับ?”

 

ฉวี่ว่านไฉพูดด้วยความภาคภูมิใจและความเย่อหยิ่ง “คุณไป๋ครับ ถ้าหากคุณทำตามข้อตกลงของผมไม่ได้ งั้นผมก็ไม่ทำการรักษาให้แล้ว คุณควรรู้ไว้นะครับว่ามีหลายคนต่อแถวเพื่อรอให้ผมไปทำการรักษาสัตว์เลี้ยงของพวกเขา!”

 

ไป๋จื่อผิงขมวดคิ้ว เขาขี้เกียจเกินกว่าจะมัวมาพูดจาไร้สาระกับคนสองคนนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้น “ผมยินดีจะจ่ายค่ารักษาเพิ่มขึ้นอีกห้าหมื่นหยวน ยังจะมีปัญหาอยู่ไหม?”

 

“โอ้! งั้นก็ไม่มีปัญหาแล้วครับ ความลำบากเล็กน้อยแค่นี้ผมทนได้อยู่แล้ว!”

 

ฉวี่ว่านไฉเปลี่ยนเป็นคนละคนและตอบรับมันทันที

 

“งั้นรบกวนหมอฉวี่ช่วยรีบรักษาอาการป่วยของสุนัขฉันด้วย!” ไป๋จื่อผิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

ในฐานะนักธุรกิจ เขาได้พบเจอคนที่เห็นแต่ผลประโยชน์อย่างฉวี่ว่านไฉและหลิวไห่ปินมามากมาย จึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร และอีกอย่างฉวี่ว่านไฉเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการสัตวแพทย์จริง ซึ่งสัตว์เลี้ยงของผู้คนจำนวนมากถูกรักษาโดยเขา

 

ฉวี่ว่านไฉพูดขึ้นอีกครั้ง “ผมรู้แล้วครับ เจ้าสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้มีความร้อนในร่างกายสูงเกินไป ดังนั้นเลยป่วย เราต้องเข้าใจว่าที่ทิเบตเป็นภูมิภาคเขตเทือกเขาแอลป์ ที่นั่นมีความหนาวเย็นมาก แต่สภาพอากาศที่เจียงหนานกลับร้อนมาก ขนาดคนยังป่วยได้ นับประสาอะไรกับสุนัขสองตัวนี้ล่ะครับ!”

 

“คุณรักษาได้ไหม?”

 

ไป๋จื่อผิงถามขึ้น ในช่วงหลายวันมานี้มีสัตวแพทย์จำนวนมากเข้ามาทำการรักษา ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าสุนัขสองตัวนี้ป่วยเพราะสภาพอากาศร้อนเกินไป แต่ไม่มีใครสักคนที่จะรู้วิธีรักษามัน

 

ฉวี่ว่านไฉกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “รักษาได้สิครับ ผมเป็นอาจารย์หมอสัตวแพทย์ที่ดีที่สุดในเจียงหนาน อีกครู่หนึ่งเดี๋ยวผมจะให้สุนัขสองตัวนี้ฉีดยา ไม่นานอาการของมันก็จะดีขึ้น แต่ลูกสุนัขที่พึ่งเกิดมาร่างกายอ่อนแอเกินไป ให้กินยาไม่ได้ เราทำได้เพียงต้องปล่อยให้มันตายครับ”

 

พอได้ยินฉวี่ว่านไฉพูดว่าสามารถรักษาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้ ไป๋จื่อผิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ขอแค่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ยังมีชีวิตอยู่ เดี๋ยวก็ให้กำเนิดลูกสุนัขคอกใหม่ได้

 

“งั้นต้องรบกวนหมอฉวี่รักษาอาการพวกมันด้วย”

 

ฉวี่ว่านไฉรับเข็มฉีดยาสองอันมาจากหลิวไห่ปิน แล้วส่งให้ไป๋จื่อผิงพลางพูดขึ้น “ให้ครูฝึกสุนัขของคุณฉีดยาให้กับสุนัขสองตัวนี้ แล้วจะเห็นผลในไม่ช้า!”

 

ไป๋จื่อผิงขมวดคิ้ว “ฉันคิดว่ามันจะไม่ง่ายแบบนั้นนี่สิ ตั้งแต่แม่พันธุ์ให้กำเนิดลูกสุนัขสองตัวนี้ พ่อพันธุ์ก็มีนิสัยดุร้ายและก้าวร้าวมาก พวกครูฝึกยังไม่กล้าเข้าใกล้เลย ถ้าอยากฉีดยาคาดว่าจะเป็นเรื่องยากแล้วล่ะ”

 

จบตอน

 

รีวิวผู้อ่าน