px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 97 เพียงแค่สะบัดแขนก็เหลือเฟือ


เช้าตรู่ของวัน ...มีม้าพ่วงพี 3 ตัวใหญ่ ควบขับออกจากเมืองออโรร่าอย่างสง่างาม

ม้าทั้ง 3 ตัวนั้นมีผู้ขับขี่คือ ต้วนหลิงเทียน เมิ่งฉวน และเซี่ยวหยู

"เมื่อพวกเราไปถึงเมืองโลหิตเหล็ก พวกเราจะพบกับเหล่าอัจฉริยะของอีก 80 เมือง ในมณฑลผานางแอ่นเหินสินะ ... แค่คิดถึงเรื่องนี้เลือดลมของข้าก็พุ่งพล่านสูบฉีดไปหมดทั่วทั้งตัวแล้ว"

ในขณะที่ทั้ง 3 กำลังควบขับอาชากันอยู่นั้น เมิ่งฉวนก็กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสา

“ถูกแล้วเมืองออโรร่าของพวกเราเป็นเพียง 1 ใน 80 เมืองที่อยู่ภายในมณฑลผานางแอ่นเหินนี้เท่านั้น อีก 80 เมืองที่เหลือย่อมมีอัจฉริยะที่ไม่แตกต่างกับพวกเราสักเท่าไรปรากฏตัวออกมามากมายอย่างแน่นอน และยิ่งเมืองประจำมณฑลนั้น ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้พบเจอกับสุดยอดอัจฉริยะที่สะเทือนขวัญเจ้าได้ทั้งสิ้น" เซี่ยวหยูกล่าวออกมาอย่างลึกล้ำ

“ไม่ว่าพวกมันจะเป็นผู้ใด แต่สุดท้ายเป้าหมายของพวกเราคือต้องทำผลงานการคัดเลือกให้ดี เพื่อที่จะสามารถผ่านการคัดเลือก และเข้าไปในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กให้ได้” หลิงเทียนกล่าวอกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง

ตอนนี้หลิงเทียนไม่คิดใส่ใจกับเรื่องราวพวกนี้หรือความกังวลในการทดสอบคัดเลือกสักเท่าไร เพราะเขาต้องเข้าร่วมและผ่านการเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้เท่านั้นเพื่อให้ได้สิทธิ์เข้ายังสถานศึกษาบ่มเพาะขุนพล ...

และเมื่อถึงเวลานั้น เขายังสามารถนำ เค่อเอ๋อ มารดาของเขา ลี่เฟย ไปยังเมืองหลวงได้

แน่นอนว่าปู่ของลี่เฟยก็ด้วย

เซี่ยวหยูพลันแสดงท่าทางจริงจังก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้วี่แววของการหยอกล้อออกมา "พวกเรายังต้องเดินทางอีกไกล เช่นนั้นควรพยายามระมัดระวังให้ดี อย่าได้สร้างปัญหาอันใดที่ไม่จำเป็นขึ้นมา"

ต้วนหลิงเทียนและเมิ่งฉวนต่างพยักหน้ารับคำกล่าวนี้ของเซี่ยวหยู

โดยเฉพาะหลิงเทียนนั้น เขาย่อมเข้าใจซึ้งถึงคำกล่าวนี้ของเซี่ยวหยู นี่เพราะเขาคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนเขาเร่งรีบเดินทางไปยังเมืองชิงลี่เมื่อวันนั้น

โชคของเขายังนับว่าดียิ่งนักที่บุตรชายของผู้ว่าการมณฑลไม่ได้สืบสาวเรื่องราวไปถึงเมืองออโรร่า

หลังจากที่ผ่านการเดินทางอย่างราบรื่นไร้เรื่องราวมาเป็นเวลา 1 เดือน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบกับความยากลำบากในถนนหนทางและมีอุปสรรคทางธรรมชาติที่ขัดขวางการเดินทาง แต่สุดท้ายพวกเขาก็มาถึงที่หมาย ...เมืองโลหิตเหล็กจนได้

แม้ว่าจะเป็นหนึ่งใน 81 เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของ เมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหิน แต่เมือง โลหิตเหล็กนี่ก็แตกต่างกันกับเมืองอื่นๆเล็กน้อย

เมืองโลหิตเหล็กเป็นเมืองเดียวที่อยู่ภายใต้เมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหินที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีให้แก่เมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหิน เมืองนี้สามารถนำเงินภาษีมาบำรุงกองทัพและจัดซื้ออุปกรณ์ทางการทหารเพื่อกองกำลังโลหิตเหล็กได้อย่างเต็มที่

ท่าทางของหลิงเทียนดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากเหม่อมองไปยังเมืองโลหิตที่เหล็กดูราวกับ กลองโลหะ

นี่เพราะปีหน้าเขาจะต้องใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้นั่นเอง

“โห....ช่างมีผู้คนมากมายนัก "

เมิ่งฉวนที่จ้องมองไปยังประตูเมืองกล่าวออกมา หลังจากที่ได้เห็นเหล่าเยาวชนอายุไล่เลี่ยกับพวกเขาแห่กันมาอย่างมากมาย

ถึงแม้คำร่ำลือของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้จะดูโหดร้ายและมีโอกาสรอดชีวิตต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ยังมีผู้คนที่เชื่อมั่นในตนเองและหวังที่จะเสี่ยงดวงดูสักครั้ง เพราะหากผ่านการคัดเลือกและการเข้าค่ายไปได้ชีวิตของมันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

นอกจากนั้นยังมีผู้ที่คิดมาแสวงโชคด้วยเช่นกัน โดยพวกมันหวังว่าจะมีโชคอะไรอยู่บ้าง

กลุ่มของต้วนหลิงเทียนเองก็ค่อยๆเดินไหลตามฝูงชนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ผ่านเข้าเมืองมาได้

ตอนนี้ภาพความคึกคักของเมืองและถนนหนทางที่เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขายสิ่งของต่างๆปรากฏแก่สายตาของทั้ง 3 คน

ตอนนี้บทสนทนาอื้ออึงล้วนเป็นคำบ่นของผู้ที่เดินทางมาถึงเมืองโลหิตเหล็กแห่งนี้ ซึ่งมันนับว่าดังอื้ออึงไปทั่วถนนด้านติดกับประตูเมืองเลยทีเดียว...

"ในที่สุดพวกเราก็มาถึงเสียที บัดซบ การเดินทางนรกนี่ช่างสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้แก่บิดามากนัก ...2 เดือนที่ผ่านมานี่นับว่ายากลำบากที่สุดในชีวิตของบิดาแล้ว ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวนานนัก"

"2 เดือนหาได้เป็นเรื่องยากเย็นอันใดไม่ เจ้าอย่าลืมสิบางคนใช้เวลามากกว่า 3 เดือนเสียอีกกว่าจะเดินทางมาถึง"

"เอาล่ะๆ ข้าว่าพวกเรารบไปหาที่พักดีๆกันก่อนเถิด ข้าเริ่มคันไปทั่วทั้งตัวแล้วยามนี้ ทรมานนัก"

...

ชายหนุ่มสองคนที่เพิ่งเดินผ่านหลิงเทียนและพวกไปนั้น ทั้งคู่ดูโทรมอย่างมาก และทั้งคู่ยังบ่นกันไปตลอดทาง

" 2 เดือน?"

เมิ่งฉวนตกตะลึงก่อนที่จะหัวเราะออกมาแห้งๆ "พวกเราเดินทางเพียงแค่เดือนเดียวข้ายังแทบทานทนไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนโชคร้ายกว่าพวกเราเสียอีก"

"เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้วเมืองโลหิตเหล็กนี่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหิน โชคดีที่เมืองออโรร่าของพวกเรายังตั้งอยู่เพียงด้านทิศใต้ของของเมืองประจำมณฑลที่ไม่ห่างไกลมากนัก... หากเป็นผู้คนที่เดินทางมาจากทางทิศตะวันตกของมณฑลผานางแอ่นเหินแล้วล่ะก็คงต้องใช้เวลาในการเดินทางมายังเมืองโลหิตเหล็กนี่ไม่น้อยกว่า 3 เดือน "

เซี่ยวหยูยิ้มออกมาพร้อมส่ายหน้า

หลังจากที่เดินทางมาด้วยกันกับเซี่ยวหยูเป็นระยะเวลา 1 เดือนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นถึงเรื่องบางอย่าง

เซี่ยวหยูมักจะมีท่าทีเย็นชากับผู้คนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก

แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับคนรู้จักหรือคนที่คุ้นเคยเขาก็ดูมีทีท่าเป็นกันเองขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว

หากจะยึดคำพูดที่ติดปากมาจากในอดีตของหลิงเทียนแล้วล่ะก็ บุคลิคของเซี่ยวหยูที่เป็นเช่นนี้ต้องเรียกว่า เท่ห์!

"เอาล่ะเรื่องนี้ข้าว่าช่างมันเถอะ ไหนๆพวกเราก็มาถึงแล้ว ข้าว่าไปหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนกันก่อนเถิด" ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสนอขึ้นมา

ไม่นานหลังจากนั้นทั้ง3 ก็พบโรงเตี๊ยมที่แลดูสะอาดสะอ้าน

หลังจากที่ไปพักผ่อนกันประมาณ 2-3 ชั่วยามทั้ง 3 ก็มารวมตัวกันเพื่อไปเดินหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆโรงเตี๊ยม

ทั้ง 3 คนไม่ได้กินอาหารอะไรดีๆมาตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่ใช้ในการเดินทาง

ร้านอาหารเต็มไปด้วยผู้คนแน่นร้าน แต่ทว่ากลุ่มของหลิงเทียนนั้นไม่ได้โชคร้ายอะไรขนาดนั้น เมื่อพวกเขาเข้ามาถึงก็มีโต๊ะหนึ่งที่พึ่งกินเสร็จและกำลังลุกออกไปพอดี

"อา...ช่างมีผู้คนมากมายจริงๆ...อาหารจะแพงมากหรือไม่นะ"

เมิ่งฉวนถอนหายใจก่อนที่จะนั่งลง

"ช่วงเวลานี้ของเมืองหิตเหล็กคงคึกคักเช่นนี้ทุกปีนั้นแหละ"

ต้วนหลิงเทียนมองไปรอบๆ และเขาก็สังเกตได้ว่า กว่า 60% ของผู้ที่รับประทานอาหารอยู่นั้นล้วนเป็นหนุ่มสาววัยเดียวกันกับพวกเขา อีกทั้งแต่ละคนท่าทางราวกับตายอดตายอยากกันมา พวกมันล้วนรีบเร่งรับประทานอาหารด้วยกันทั้งสิ้น เหตุผลเช่นนี้ชี้ชัดได้ว่า...

คนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นอัจฉริยะที่เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองโลหิตเหล็กเช่นเดียวกับพวกเขา 3 คน

ไม่นานหลังจากนั้นเสี่ยวเอ้อก็เข้ามาจัดการทำความสะอาดและเก็บจานออกไป พร้อมทั้งนำอาหารว่ามาเสริฟเพื่อรอทั้ง 3 สั่งอาหาร

"ในที่สุดวันนี้พวกเราก็จะได้กินอาหารที่ดีๆสักที"

เซี่ยวหยูยิ้มออกมา

ทันใดนั้นเองกลับมีชายหนุ่มจำนวน 4 คนเดินมายังโต๊ะของหลิงเทียน

ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีฟ้า แลดูขึงขังกล่าวออกมาด้วยสายตาดุดันและน้ำเสียงที่ยโสโอหังดังลั่นว่า "พวกเจ้าทั้ง 3 คนรีบลุกออกไปเสีย โต๊ะนี้นายน้อยพวกข้าหมายตาเอาไว้แล้ว"

ต้วนหลิงเทียนปรายตามองชายสวมชุดคลุมสีฟ้าเพียงวูบเดียวก่อนที่จะเลิกสนใจมัน

เซี่ยวหยูเองก็คร้านจะสนใจคนประเภทนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามกลับเป็นเมิ่งฉวนที่ลุกขึ้นก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยโทสะ "แล้วทำไมพวกเราต้องยกโต๊ะนี้ให้เป็นของพวกเจ้าด้วย หากพวกเจ้าอยากนั่งโต๊ะนี้นักก็รอให้ผู้อื่นกินเสร็จเสียก่อน"

"เด็กน้อยเจ้าไม่รู้หรือไรว่าพวกเราเป็นใคร?"

ชายอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่สวมใส่ชุดคลุมสีเขียวกล่าวออกมาด้วยประกายตาดุดันแหลมคม

"ผู้ใดจะไปสนใจ ข้ารู้เพียงแต่โต๊ะนี้เป็นของพวกข้า"

เมิ่งฉวนยังคงเถียงด้วยเหตุผล

"พวกเจ้าทั้ง 3 คนคิดที่จะต่อต้านพวกเราคนจากตระกูลหยูจริงๆงั้นหรือ ตระกูลหยูของพวกเราเป็นถึง 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ของเมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหิน ไม่ใช่อะไรที่คนจากเมืองเล็กๆ ทั้งยังมาจากตระกูลเล็กๆบ้านนอกอย่างเช่นพวกเจ้าจะนำมาเปรียบเทียบได้" ชายที่สวมชุดคลุมสีเทากล่าวออกมาอย่างหยิ่งยโส

"เมืองประจำมณฑล?"

ใบหน้าของเมิ่งฉวนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เมืองออโรร่านั้นสำหรับเมิ่งฉวนแค่ 3 ตระกูลใหญ่ก็ทรงอำนาจมากแล้ว แต่คนกลุ่มนี้กลับเป็นถึงคนจากตระกุลใหญ่ของเมืองประจำมณฑล พวกเขาแลดูยิ่งใหญ่ราวกับยักษ์

"ถูกแล้ว พวกเราเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองประจำมณฑล"

เมื่อสังเกตเห็นท่าทางการแสดงออกของเมิ่งฉวนที่ดูแตกตื่น ชายชุดคลุมสีเทารู้สึกได้ใจเป็นอย่างมาก

"เสี่ยวเอ้อ นำอาหารที่ดีที่สุดและขึ้นชื่อที่สุดของร้านมาให้พวกเรา"

ต้วนลิงเทียนหันไปกล่าวคำกับเสี่ยวเอ้อโดยไม่ได้แยแสผู้ใด

เซี่ยวหยูเองที่มีทีท่าเย็นชา ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแสเช่นกัน "และนำสุราขึ้นชื่อมา 2 ป้าน"

"ได้ขอรับนายท่าน"

เมื่อได้ยินคำสั่งอาหารเสี่ยวเอ้อก็รับคำและรีบไปจัดเตรียมทันที

"พวกเจ้าไมได้ยินคำกล่าวของข้าหรือไร?

ท่าทางของชายสวมชุดคลุมสีเทาพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างขึ้นมาก่อนที่จะกล่าวคำกับหลิงเทียน

อีก 3 คนที่อยู่ด้านข้างของพวกมันก็แสดงใบหน้าน่าเกลียดขึ้นมาเช่นกัน...

"เซี่ยวหยูเจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดบนโลกนี้ถึงมีสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจอย่างเช่นแมลงวัน?"

ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวคำถามกับเซี่ยวหยูราวกับคำถามนี้มันน่าสงสัยยิ่งนัก

“ผู้ใดจะไปรู้กันเล่า อืม...บางทีพวกมันคงเกิดมาเพื่อให้ผู้อื่นรังเกียจกระมัง”

เซี่ยวหยูกล่าวตอบออกมาพร้อมรอยยิ้มเย็นชา

"อ่า...มีเหตุผล เฮ่ เมิ่งฉวน แล้วเจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?"

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเมิ่งฉวน

เมิ่งฉวนนั้นเป็นแค่เยาวชนจากตระกูลเล็กๆในเมืองออโรร่าเท่านั้น ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้รับรู้ว่าผู้ที่กำลังหาเรื่องตนมาจากตระกูลใหญ่ ของเมืองที่ยิ่งใหญ่อย่างเมืองประจำมณฑล

แต่เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนและเซี่ยวหยูไม่ได้มีทีท่ากังวลหรือหวาดกลัว ในใจของเขาก็กลับมามีความฮึกเหิมและความไม่ยินยอมเช่นกัน “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

"เจ้ากำลังหาที่ตาย!"

ใบหน้าของชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเทากลับกลายเป็นน่าเกลียด ก่อนที่มันจะซัดฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดใส่ 'ผู้ที่ดูราวกับจะเป็นผู้นำ' อย่างต้วนหลิงเทียน

เหนือศีรษะของมันปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณออกมา 4 ตัว

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3!"

ใบหน้าของเมิ่งฉวนกลับกลายเป็นบิดเบี้ยว

"ฮึ่ม!"

เซี่ยวหยูแค่นเสียงเย็นชาออกมาก่อนที่เขาจะสะบัดข้อมือส่งแขนเสื้อที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดตามแนวทางของวิชาฝ่ามือที่ถนัดไปรับฝ่ามือของอีกฝ่ายที่กำลังจะทำร้ายเมิ่งฉวนทันที

และเหนือศีรษะของเซี่ยวหยูพลันปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณออกมา 4 ตัวเช่นกัน ...

ฝ่ามือเอกะ!

ปัง!

ร่างกายของเด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเทาถึงกับกระเด็นกลับหลังออกไป พร้อมยกมือที่สั่นระริกและชาจนไร้ความรู้สึกขึ้นมาดู ก่อนที่จะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้

"เซี่ยวหยู...นี่เจ้าตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 แล้วเช่นนั้นหรือ?!" เมิ่งฉวนร้องอุทานออกมา

"ข้าพึ่งตัดผ่านระดับเมื่อเดือนที่ผ่านมา"

เซี่ยวหยูพยักหน้า

"ฆ่าพวกมันให้หมด!"

ท่าทางของชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทาพลันเต็มไปด้วยความอำมหิตก่อนที่จะกล่าวคำสั่งสังหารออกมา

และทันทีที่ได้ยินคำสั่งของชายหนุ่มชุดเทา อีก 3 คนที่เหลือก็ใช้ออกด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดทันที

"พวกสวะ! ไสหัวออกไปให้หมด!"

มุมปากของหลิงเทียนขดเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันก่อนที่เขาจะกล่าวออกมาพร้อมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเหยียดหยาม

พร้อมกันกับกวาดแขนออกไปอย่างง่ายๆโดยไม่ได้ใช้กระบวนท่าวิชาใดๆด้วยซ้ำ

ไม่สิมองไปมันอาจจะคล้ายการแกว่งหางของงูเหลือมขนาดใหญ่ก็เป็นได้ !

พริบตาเดียวกันนั้นเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 6 ตัวก็ปรากฏขึ้นมาให้ทุกคนได้ยล!

ทั้งพละกำลังความแข็งแกร่งมหาศาลแผ่พุ่งออกมาจากแขนของหลิงเทียนไปยังร่างทั้ง 4 ของชายหนุ่มที่มาตอแยเขา

เพียงเสี้ยวพริบตาชายหนุ่มทั้ง 4 ก็กระเด็นถอยกลับไปราวกับไร้น้ำหนักอีกทั้งพวกมันแต่ละคนยังได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้าจนกระอักเลือดออกมาคำโต

"ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4!"

ร้านอาหารพลันเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง

สายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจถูกสงมายังร่างของต้วนหลิงเทียน และเมื่อทุกคนได้สังเกตอย่างละเอียดจากสายตาประหลาดใจพลันแปรเปลี่ยนเป็นสายตายกย่องและประทับใจอย่างถึงที่สุด

"โอ้ สวรรค์ช่วย เด็กหนุ่มผู้นี้แลดูไปไม่น่าจะมีอายุมากไปกว่า 16-17 ปี แต่เด็กหนุ่มเช่นนี้กลับเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4!"

"เป็นตระกูลไหนของเมืองใดกันที่ สร้างสัตว์ประหลาดเช่นนี้ออกมาได้?"

"หรือเขาจะเป็นหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะของเมืองประจำมณฑล?"

"เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่ได้ยินที่ชาย 4 คนนั้นกล่าวหรอกหรือ ว่าพวกเขาเป็นคนของตระกูลใหญ่ประจำมณฑล หากเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอัจฉริยะจากตระกูลใหญ่ของเมืองประจำมณฑลจริงเหตุใดทั้ง 4 คนนั้นจึงทำท่าทางราวกับไม่รู้จักเขา และยังกล้าเดินเข้าไปหาเรื่องเช่นนั้นกันอีกเล่า? "

"ดูเหมือนตระกูลหยูจากเมืองประจำมณฑลจะเผชิญกับปัญหาอย่างแท้จริง”

...

ฝูงชนเริ่มกล่าวสนทนากันอย่างออกรส

หลายคนมีใบหน้ายิ้มเย้ยหยันและมีความสุขยามที่ได้เห็นชายหนุ่มทั้ง 4 จากตระกูลใหญ่ลงไปเกลือกกลิ้งกองอยู่ที่พื้น

"ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4... "

ชายหนุ่มทั้ง 4 คนตอนนี้ได้แต่แสดงสีหน้าบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวยามที่จับจ้องมายังหลิงเทียน

"หากพวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้า อย่าได้กล่าวว่าข้าว่าเป็นคนใจร้ายแล้วกัน"

สายตาเย็นชาของหลิงเทียนกวาดไปยังชายหนุ่มทั้ง 4

"เด็กน้อย เรื่องราวในวันนี้ พวกเราตระกูลหยูจะให้เจ้าได้ชดใช้อย่างแน่นอน!"

ใบหน้าของชายหนุ่มทั้ง 4 ล้วนบิดเบี้ยวยามที่ต้องกระเสือกกระสนหลบหนีจากไป แต่ด้วยศักดิ์ศรีของตระกูลใหญ๋ พวกมันจึงไม่ลืมที่จะทิ้งคำขู่เอาไว้

ต้วนหลิงเทียนหาได้แยแสการข่มขู่อะไรไม่ เขานั่งลงและหยิบน้ำชามาจิบอย่างสบายอารมณ์

"พวกเจ้า 2 คนเป็นอะไร ... "

ต้วนหลิงเทียนพึ่งสังเกตว่าทั้งเซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดๆจนเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดขึ้นมา

"ต้วนหลิงเทียนเจาเป็นตัวประหลาดที่แท้จริง ... เจ้าตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 แล้วเช่นนั้นหรือ?"

เมิ่งฉวนกล่าวคำที่เขาสงสัยเอาไว้ออกมาในที่สุดอย่างไม่อาจหักห้ามใจไว้ได้

เขารู้ดีว่าร่างกายของหลิงเทียนนั้นมีความพิเศษ และเมื่อเขาเห็นหลิงเทียนใช้ออกด้วยความแข็งแกร่งระดับช้างแมมมอธโบราณถึง 6 ตัวเขาย่อมรู้ได้ทันทีว่ายามนี้ระดับของหลิงเทียนนั้นต้องอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 อย่างแน่นอน

ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มอย่างลึกลับออกมา

เขาไม่ได้กล่าวยอมรับหรือปฏิเสธออกมา

เซี่ยวหยูมองหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ "เจ้ายังจำเป็นต้องถามอีกหรือไรเล่า เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่ายามนี้หลิงเทียนได้ตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว"

เซี่ยวหยูกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ....ทั้งตอนนี้เขายังรู้สึกขื่นขมในหัวใจ ตอนแรกเขาคิดว่าเขายังพอเป็นคู่แข่งหรือคู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียนได้อยู่บ้าง หากเขาสามารถตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 ได้ ...

แต่ตอนนี้ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนจะห่างออกจากตัวเขาไปไกลซะแล้ว

"พรสวรรค์ตามธรรมชาติของเด็กหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงนั้นสูงส่งเกินไป"

"ถูกต้อง แม้แต่จะเป็นบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหินของเรา เป่ยซัน ยังนับว่าด้อยกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่หลายส่วน"

"ตอนแรกข้าได้ยินมาว่าเป่ยซันนั้นก็คิดที่จะเข้าร่วมการทดสอบเขาค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กเช่นกัน แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ทำให้เขาล้มเลิก ความตั้งใจนี้ไป"

"มันเกิดอันใดขึ้นรึ?"

"อะไรกัน หรือว่าเจ้าไม่ได้ยินข่าวคราวเรื่องที่แขนขวาของนายน้อยเป่ยซันได้ถูกสะบั้นลงที่นอกเมืองชิงลี่? ถึงแม้ว่าแขนจะสามารถรักษาและต่อกลับได้ก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิชาต่อสู้ที่ฝึกฝนไว้ได้ดั่งเดิมความสามารถของมันล้วนสลายไปหมดสิ้น ความแข็งแกร่งของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด "

รีวิวผู้อ่าน