px

เรื่อง : ระบบมหานครคนเถื่อน (都市枭雄系统)
ตอนที่ 11 ผมเป็นคนมีการศึกษา


ตอนที่ 11 ผมเป็นคนมีการศึกษา

เจียงป๋ายบอกลากับซูเจี๋ยและหม่าฉางหยาง ระหว่างทางที่เจียงป๋ายกลับบ้านนั้น

เช้าวันที่สองเขาก็ถูกซูเจี๋ยปลุกจนตื่น เขาขับรถมารับเจียงป๋ายแล้วจัดการทำเอกสารไปทั้งช่วงเช้า ในที่สุดเจียงป๋ายก็ได้อยู่ในโลกแห่งความบันเทิงอย่างทางการเสียที

ในขณะเดียวกัน เมื่อเขารู้การเดินทางไปไหนมาไหนของเจียงป๋าย หม่าฉางหยางก็ให้ s600 คันใหม่เลยทันที

และซูเจี๋ยเอง ก็รีบเรียกเด็กที่ดูเรียบร้อยและมีความรู้มาเป็นคนขับรถให้กับเจียงป๋าย

เด็กคนนี้ก็ฉลาดมาก พอเจอเจียงป๋ายก็เรียกเขาอย่างสุภาพทุกครั้ง ไม่นานก็ทำงานได้เก่งมาก และดูเหมือนจะซื่อสัตย์กับเจียงป๋ายมากเช่นกัน

ไม่ว่าในใจของเขาจะคิดยังไง แต่อย่างน้อยตอนนี้เด็กต่อหน้าเขาคนนี้ก็ทำให้เขาพอใจ

เด็กคนนี้ชทื่อหม่าเซี่ยวเทียน คนส่วนใหญ่เรียกเขาว่าเซี่ยวเทียน ที่บ้านทำอาชีพให้เช่ารถยนต์ ดังนั้นเขาเลยมีความคุ้นชินและชำนาญเกี่ยวกับรถยนต์มาก เขาโดนซูเจี๋ยเรียกตัวมาทำงาน เจียงป๋ายเองก็เรียกเขาว่าเซี่ยวเทียนเหมือนซูเจี๋ย

แค่ครึ่งเช้า ค่าตัวของเจียงป๋ายก็สูงถึงห้าสิบล้าน มันทำให้เขารู้สึกตัวลอย

ถึงแม้ว่าธุรกิจนี้เมื่อเทียบกับคนมีฐานะแล้วยังไกลอยู่มาก แต่เมื่อเทียบกับประชาชนคนธรรมดาก็ถือว่าดีมากแล้ว

 “คุณเจียง ตอนเที่ยงไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เขาใช้เวลาไปทั้งช่วงเช้า เผลอแปปเดียวก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว หม่าฉางหยางเลยพูดเรื่องกินข้าวขึ้นมา

 “เอ่อ......ก็ดี”

เจียงป๋ายตอบตกลงอย่างช้า

 

ถึงยังไงตอนนี้ตัวเขาเองก็ว่างไม่ได้ทำอะไร โลกแห่งความบันเทิงเองเขาก็ไม่เข้าใจด้วย

เมื่อกี้ก็คุยกันแล้วว่าเรื่องซับซ้อนต่างๆนั้นซูเจี๋ยจะจัดการเอง ส่วนภาพรวมและการดำเนินก็มอบให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการหลี่เชียงและให้คุณลุงเจ่าเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัย

อันที่จริงธุรกิจก็ดำเนินไปได้ด้วยดีไม่เปลี่ยนแต่ว่าโดยส่วนตัวของเขาแล้ว จูเซียน เขาใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการเขียนจนจบ สิ่งที่ต้องทำก็แค่คอยอัพเดทอัตโนมัติในทุกวันก็เท่านั้น ส่วนหนังสืออื่นตัวเขาเองก็จำไม่ได้ และตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำด้วย กลับไปบ้านก็ต้องกินข้าวคนเดียวอยู่เดียวเลยให้เกียรติหม่าฉางหยางไปกินข้าวด้วยก็ได้

 “ฮ่าๆ ผมจะจัดการตอนนี้เลย”

หลังจากได้รับการยินยอมจากเจียงป๋าย หม่าฉางหยางก็ดีใจมากและเริ่มคิดว่าจะไปกินอะไร

เขามองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเจียงป๋ายเป็นคนยังไง คนแบบเขาถ้าทำให้โมโหแล้วมาอ้อนวอนทีหลังก็ไม่ได้แล้ว ต้องรีบสานสัมพันธ์ให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากนั้นถึงจะคุยกันง่าย

ไม่นาน หม่าฉางหยางก็จัดการจองโต๊ะที่ร้านอาหารชื่อดังเซียนซ่าย หลังจากนั้นพวกเขาสามคนก็ขับรถออกไปกัน

คนที่ไปด้วยยังมีคนขับรถของเจียงป๋าย ซูเจี๋ยและคนขับรถของหม่าฉางหยางด้วย

ระหว่างทางพวกเขาคุยกันนู่นนี่นั่น จนเริ่มสนิทกันมากขึ้น หม่าฉางหยางเองก็มนุษย์สัมพันธ์ดีมาก ทำให้เจียงป๋ายและซูเจี๋ยคุยกันอย่างออกรส และเจียงป๋ายก็ค่อยๆมองเขาในทางที่ดีขึ้น

ประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงภัตตาคาร เดินเข้าไปก็มีพนักงานเสื้อยูนิฟอร์มแบบเดียวกันมาต้อนรับอย่างดี

มีสาวๆที่หุ่นดีๆยืนอยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวา พอจะดูออกว่ามายืนรอนานแล้ว พอพวกเขาเดินเข้าไปไม่นาน อาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ มีประมาณสามสิบกว่าอย่าง จนเขามองตาลายไปหมด

“ดื่มสักหน่อยสิ?” หม่าฉางหยางถามขึ้น

 

 “โอเค” ซูเจี๋ยตอบ

เจียงป๋ายเองก็พยักหน้า

ไม่นานเหล้าเหมาไถสองขวดก็ถูกยกมา

พออาหารมาถึง หม่าฉางหยางก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอาเหล้าเข้าปากไปหนึ่งแก้วใหญ่ แล้วรินเหล้าให้กับซูเจี๋ยและเจียงป๋าย ไม่นานเพียงแค่สิบกว่านาทีหล้าสองขวดก็ถูกดื่มจนหมด แล้วก็เอามาอีกสองขวด

ระหว่างที่ดื่มอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของเจียงป๋ายก็ดังขึ้น จนซูเจี๋ยและหม่าฉางหยางถึงกับหยุดชะงัก คนที่อยู่รอบๆทำท่าเงียบ จากที่เสียงดังพลันห้องก็เงียบลงทันที

 “ฮัลโหล......ใช่เจียงป๋ายรึเปล่า” เสียงจากปลายสายดังขึ้น เจียงป๋ายนิ่งไปเพราะความงุนงง “ใช่ คุณคือ?”

 “ฉันบรรณาธิการเอ้อร์พ่างไง ฮ่าๆ นี่เป็นครั้งแรกที่โทรหาเลยนะ นี่คือเบอร์ของฉัน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณนิดหน่อย สะดวกไหม?

เสียงปลายสายที่หัวเราะ แล้วพูดเสียงดังชัดเจนนั้น บวกกับที่โทรศัพท์ของเจียงป๋ายเองเสียงก็ไม่ได้เบา ดังนั้นคนข้างๆจึงได้ยินทุกอย่างชัดเจน

 “บรรณาธิการ?” ซูเจี๋ยและหม่าฉางหยางทำหน้าไม่เข้าใจ

 “อ๋อ......ผมเอง ฮ่าๆ คุณมีเรื่องอะไรรึเปล่า? หนังสือมีปัญหาหรอ?” เจียงป๋ายถามขึ้น

เอ้อร์พ่างเป็นคนดี ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนพวกเขาคุยกันไม่น้อยเลย และเขาก็ถือเป็นเทพแห่งทรัพย์สำหรับเจียงป๋ายด้วย เจียงป๋ายจะทำให้เขาโมโหได้ยังล่ะ และไม่มีวันที่จะเป็นลืมตัวด้วย เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น

 “เรื่องมันเป็นแบบนี้ ตอนนี้หนังสือของคุณขายดีมาก มีหลายสำนักพิมพ์ติดต่อผมมา อยากจะตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ผมเลือกไปบางอย่างแล้ว แต่ไม่รู้ว่าคุณโอเครึเปล่า แต่ถ้าไม่โอเคก็......”

 

 “ผมโอเคอยู่แล้วครับ ผมเชื่อใจคุณ เรื่องตีพิมพ์คุณจัดการได้เลย ขอแค่ราคาเหมาะสมก็พอแล้ว” เจียงป๋ายบอก เพราะเขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว เลยรับปากหลังจากนั้นก็เป็นการจบบทสนทนา

ไม่ ห้าคู่ต่างหาก

ต้องนับรวมถึงคนขับรถ ที่ทำหน้าเหมือนเห็นผีมองมาที่เจียงป๋าย

คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าเจียงป๋ายเป็นคนยังไง แต่ว่าพวกเขารู้ดี!

เขาเป็นคนที่เก่งมาก อารมณ์แบบว่าเวลาชกตีก็หนึ่งต่อสิบอย่างนั้นเลย สำหรับซูเจี๋ยและหม่าฉางหยางนั้นก็ยิ่งรู้ดีเลย เจียงป๋ายเป็นถึงปรมาจารย์ที่มีค่าตัวสูงของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนเท่านั้น ยังไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ

ท่วงท่าของเขาในการสู้นั้นเป็นท่าที่ใช้เวลากว่าสามสิบนาที ซึ่งเป็นคนที่เข้มแข็งมากเท่านั้นถึงจะทำได้

เขาเป็นไอดอลของนักบู๊ เป็นคนที่เก่งกาจมาก

และคนแบบนี้กับการเขียนหนังสือ? และยังมีฉบับปรับปรุงด้วย?

และได้รับความนิยม?

หลังจากที่ฟังนั้น ก็รู้สึกเหมือนโดนตีหัวแตกจนเลือดออก?

พระเจ้าท่านกำลังล้ออะไรเล่นอยู่? วันนี้เป็นวันโกหกแห่งชาติสินะ?

หม่าฉางหยาง ซูเจี๋ยและคนอื่นๆรู้สึกเหมือนสมองใช้งานไม่ได้ไปชั่วคราวเลย หรือว่านี่คือภาพลวงตา?

 “ฮ่าๆ.......พี่ใหญ่เมื่อกี้คือ.....พี่เขียนหนังสือ?

สุดท้าย ซูเจี๋ยเองเป็นคนที่อดถามไม่ได้ เขาหยิบเหล้าขาวบนโต๊ะที่มีเหล้าเต็มแก้ว แล้วดื่มรวดเดียว จากนั้นก็รวบรวมความกล้ามาถามเจียงป๋าย

 

 “หึ.....ใช่....นายต้องรู้ด้วยนะ ว่าฉันเป็นคนมีการศึกษา”

เจียงป๋ายพอได้ยินคำถามแบบนั้น ก็ดื่มเหล้าเข้าไปคำใหญ่ จากนั้นก็ตอบเขา

เรื่องของตนเอง ตนเองรู้ดีที่สุด แต่ว่าตอนนี้จะพูดยังไงดีล่ะ?

หรือจะบอกว่าก๊อปปี้ของคนอื่นมา?

คงทำได้แค่ทนเอาไว้ก่อน

คำๆเดียวคงหยุดความอยากรู้ของคนไม่ได้ นอกจากดื่มเหล้าแล้วคงไม่มีทางไหนที่จะทำให้กล้าพูดออกมา

ทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าใจล่ะ ว่าผู้ชายที่ต่อสู้เก่งเมื่อวานอย่างเจียงป๋ายจะเป็นคนมีความรู้!

บนโลกนี้มีคนที่มีความรู้แบบนี้ด้วยเหรอ

รีวิวผู้อ่าน