px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 99 หยูเซี่ยง


"ท่านทหารพวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะกระทำเช่นนั้น เรื่องมันมีอยู่ว่า ... "

หยูเซี่ยวยังคงพยายามวิงวอน

ทว่าใบหน้าของนายทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กนั้น พลันบึ้งตึงอย่างถึงขีดสุดก่อนที่เขาจะตะคอกออกมา "ไสหัวออกไป!"

กลิ่นอายแห่งความตายที่ได้มาจากการสังหารเข่นฆ่าศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มแผ่ออกมา กดดันหยูเซี่ยวจนใบหน้าของมันเริ่มซีดเผือดไร้สีเลือด

สุดท้ายกลุ่มของหยูเซี่ยวที่มีจำนวน 4 คนก็ต้องไปต่อแถวใหม่อย่างช่วยไม่ได้

ทันทีที่พวกเขาเดินออกมาเพื่อไปเข้าแถวใหม่ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น

"เฮ้พี่ชาย ท่านจะให้นายทหารมายืนรอท่านได้อย่างไรกัน ตอนนี้ชีวิตของนายทหารท่านนั้นก็ยุ่งวุ่นวายกับการลงทะเบียนผู้คนจำนวนมากแล้วท่านยังกล้าไปสร้างปัญหาให้เขาอีก ท่านควรที่จะเห็นใจเขาสิถึงจะถูก"

ไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้ ตอนนี้หลิงเทียนที่ยืนรออยู่ ก็ได้กล่าวเย้ยหยันเซี่ยวหยูอยู่ที่ปลายแถว เขาแสร้งใช้สายตาเห็นใจและแววตาสงสารมองไปยังเซี่ยวหยูพร้อมกล่าวออกมาอย่างจนใจ

ตอนนี้เองใบหน้าของเซี่ยวหยูพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวและกล่าวออกมา "เด็กน้อย ข้าจะให้เจ้าได้รู้สำนึก!"

"ไอหยา พี่ชาย อย่าพึ่งโมโหสิ การบันดาลโทสะนั้นไม่ดีรู้หรือไม่ จะอย่างไรก็อย่าท่านก็อย่าลืมดื่มน้ำในระหว่างเข้าแถวรอด้วยล่ะ เพราะดูท่าอีกสักพักแดดคงร้อนแรงมิใช่น้อย"

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมฉีกยิ้มกว้างๆ เมื่อกล่าวจบคำเขาก็เดินจากไปพร้อมกับเมิ่งฉวนแล้วเซี่ยวหยู

"ฮ่า ๆ ๆ ๆ…."

เมิ่งฉวนเป็นคนแรกที่ไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป ตอนนี้เขาจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

แม้แต่เซี่ยวหยูเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

เมิ่งฉวนได้แต่ชูนิ้วหัวแม่โป้งให้หลิงเทียนอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ และเขายังกล่าวชมเชยออกมาอีกว่า "ต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดล้วนเป็นเจ้าจงใจที่จะสร้างเรื่องราวเช่นนี้ใช่หรือไม่ นอกจากจะแซงแถวมันแล้วเจ้ายังคิดหาเรื่องให้มันประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้อีก ยอดเยี่ยมยิ่งนัก"

"ข้าเองก็ไม่เคยสังเกตแม้เพียงครั้งในอดีต ว่าเจ้าจะมีลูกเล่นในการกลั่นแกล้งคนเช่นนี้ด้วย"

เซี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา

"แค่กๆ ...พวกเจ้าก็พูดเกินไป พวกเจ้าเห็นข้าเป็นคนขี้แกล้งจริงๆเช่นนั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนไอออกมา 2 ครั้งก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ใช่"

เซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนล้วนพยักหน้าตอบรับพร้อมกล่าวออกมาโดยพร้อมเพรียง

หลิงเทียนทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆออกมา ...

"เอาล่ะๆ ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ เดี๋ยวก็เริ่มจะสายแล้ว"

หลังจากหัวเราะเจื่อนๆหลิงเทียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

อาหารย่อมอร่อยเป็นพิเศษเนื่องจากตอนนี้ทั้ง 3 คนรู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก

สำหรับช่วงกลางวันพวกเขาทั้ง 3 คนก็เดินดูข้าวของน่าสนใจต่างๆในเมืองโลหิตเหล็ก และกินอาหารค่ำที่ร้านอาหารร้านเดิมก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับที่พัก

ภายในห้องพักยามค่ำคืน หลิงเทียนได้ใช้เม็ดยาเพิ่มกำเนิดและนั่งสมาธิ ก่อนที่จะตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะพลังตามเคล็ดวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามรูปแบบงูเหลือมคลั่งอย่างตั้งใจ

รูปแบบงูเหลือมคลั่งนั้นต่างจากรูปแบบอสรพิษอยู่ไม่น้อย

หากจะกล่าวถึงรูปแบบอสรพิษนั้นคงต้องนึกถึงความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่มของร่างกายราวกับไร้กระดูก ...

ส่วนรูปแบบงูเหลือมคลั่งนั้นเน้นไปที่ความแข็งแกร่งของร่างกายที่หนักแน่นและแข็งแกร่งอย่างสูง

ยกตัวอย่างเช่นตอนที่หลิงเทียนกวาดแขนจู่โจม ชายทั้ง 4 จากตระกูลหยูนั้น หลิงเทียนไม่ได้กวาดแขนไปธรรมดาๆไร้เรื่องราวอย่างที่คนอื่นนึกคิดไม่ แต่จริงๆแล้วมันเป็นการกวาดแขนที่ลอกเลียนแบบการเคลื่อนไหวของงูเหลือมขนาดใหญ่ที่ส่งแรงจากแต่ละส่วนมารวมกันอย่างมหาศาล หากจะบอกว่าการกวาดแขนง่ายๆนี้หนักแน่นเหมือนงูเหลือมฟาดหางก็ไม่ผิด

มันเป็นการโจมตีที่มีรูปแบบการจู่โจมเป็นวงกว้าง ค่อนข้างแตกต่างกับ ฝ่ามือพิชิตมังกร

ฝ่ามือพิชิตมังกรนี้ถูกพัฒนามาจากรากฐานวิชาฝ่ามือเมฆาล่องลอย ที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดได้ทุ่มเทวิเคราะห์มันออกมา มันนับว่าเป็นวิชาจู่โจมเป้าหมายเดี่ยวที่แข็งแกร่งอย่างมาก

"ถึงแม้ว่าวิธีใช้การจู่โจมที่เต็มไปด้วยพละกำลังของ รูปแบบงูเหลือมคลั่งนั้นจะไม่ใช่วิชาต่อสู้ แต่ความสามารถในการจู่โจมของมันกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงเลยสักนิด ... มันคล้ายๆกับรูปแบบการจู่โจมของสัตว์อสูร ข้ารู้สึกว่าหากข้ายังบ่มเพาะรูปแบบงูเหลือมคลั่งนี้ต่อไป การจู่โจมธรรมดาของข้าคงมีความแข็งแกร่งไม่ต่ำกว่าวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงที่มีความสำเร็จในขั้นตอนผู้เชี่ยวชาญ! "

ดวงตาของหลิงเทียนส่องประกายเรืองวูบขึ้นมา

ตอนนี้ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยแรงจูงใจ เขาจึงเริ่มบ่มเพาะอย่างแข็งขัน และบ่มเพาะพลังงานต้นกำเนิดตามรูปแบบวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามรูปแบบงูเหลือมคลั่ง ทันที ...

เขาบ่มเพาะจนถึงช่วงกลางดึกก่อนที่จะเสร็จสิ้นการบ่มเพาะและนอนหลับไปอย่างสงบ

เช้าวันต่อมา

เพราะว่าวันนี้ต้องมารายงานตัวที่ค่ายทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กก่อนเที่ยง หลิงเทียนและพรรคพวกจึงต้องนอนเอาแรงกันอย่างเต็มที่ จนพวกเขาทั้งสามคนตื่นสายเล็กน้อย

เพราะพวกเขาต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ หากผ่านการคัดเลือกเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะแล้ว โอกาสที่จะได้นอนเต็มอิ่มอย่างนี้คงมีอีกไม่มาก

หลังจากที่กินอาหารกันเสร็จสิ้นทั้ง 3 คนก็มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารของกองกำลังโลหิตเหล็ก

เมื่อมาถึงทางเข้าค่ายทหาร หลิงเทียนและพวกก็นำบัตรประจำตัวออกมาแสดงก่อนที่จะถูกนำเข้าไปในค่าย

และสายตาของพวกเขาก็พบกับพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา

อีกทั้งในพื้นที่นั้นยังมีอุปกรณ์ฝึกต่างๆนาๆครบครัน มีเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 19 ปี อยู่เต็มไปหมด ...

กลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 คนได้แต่ยืนรออยู่ด้านข้าง

พวกเขากำลังรอให้ถึงเวลาเที่ยงวันที่นัดหมาย

"ต้วนหลิงเทียน"

ทันใดนั้นเองเมิ่งฉวนก็หันมามองหลิงเทียนพร้อมเรียกเขา ก่อนที่มันจะแหงนหน้ามองไปยังไกลๆ

หลิงเทียนเห็นดังนั้นจึงหันมองตามไป

สิ่งที่หลิงเทียนเห็นก็คือ หยูเซียวที่พวกเขามีเรื่องกันก่อนหน้านี้ได้เดินทางมาถึงแล้ว แต่คราวนี้ดูเหมือนจะมีคนที่ท่าทางมีฐานะไม่ธรรมดาอยู่ในกลุ่มด้วย

เพราะท่าทางของหยูเซี่ยวและชายอีก 3 คนในกลุ่มแลดูจะเคารพชายมาใหม่ผู้นี้มาก

ชายหนุ่มคนนี้อายุราวๆประมาณ 18 ปี สวมใส่ชุดคลุมสีดำขลิบทองใบหน้าแข็งกร้าวดวงตาดุดันหากสังเกตให้ดีๆจะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับหยูเซี่ยวอย่างมาก

อันที่จริงเขาแทบจะออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับหยูเซี่ยวเลยก็ว่าได้

หยูเซี่ยวเมื่อสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียน ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำเพราะความโกรธทันที เขาหันไปกล่าวคำกับชายหนุ่มที่มาใหม่คนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวของหยูเซี่ยวชายหนุ่มชุดคลุมสีดำขลิบทองคนนั้นก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะก่อนที่จะจ้องมองมายังหลิงเทียนด้วยแววตาอำมหิต

และในเวลาต่อมาเขาก็มุ่งหน้ามาทางหลิงเทียน

"เจ้าไม่เพียงแต่กล้าทำร้ายคนของตระกูลหยูจนบาดเจ็บ แต่ยังกล้าที่จะเล่นลูกไม้อุบาทว์กับพวกเขาอีกเช่นนั้นหรือ?"

ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่เดินมาถึงหลิงเทียนไม่พูดพร่ำทำเพลง กล่าวคดีที่หลิงเทียนก่อเอาไว้ขึ้นมาทันทีอย่างดุดัน ท่าทางของมันพร้อมจะกลืนกินหลิงเทียนทันทีที่มีโอกาส

ซู่มมม!

เหนือศีรษะของชายหนุ่มชุดคลุมสีดำบังเกิดร่างเงาช้างแมมมอธโบราณออกมาถึง 6 ตัวทันที

ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4!

ทันใดนั้นเองสีหน้าของเมิ่งฉวนและเซี่ยวหยูพลัแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที

คิ้วของหลิงเทียนขมวดขึ้นนิดหน่อย แสดงว่าเขาประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เขาก็ได้ขบคิดมาก่อนหน้านี้แล้วว่าตระกูลหยูที่เป็นถึงตระกูลใหญ่ของเมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหินคงไม่มีสมาชิกที่มาเพียงแค่กลุ่มของหยูเซี่ยวเท่านั้น

ในกลุ่มของหยูเซี่ยวนั้น หยูเซี่ยวเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

แต่ทว่าหยูเซี่ยวนั้นก็แลดูอ่อนด้อยกว่าเซี่ยวหยู อยู่ไม่น้อย

แม้ว่าทั้ง 2 คนจะอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 เช่นเดียวกันแต่ฝ่ามือเอกะของเซี่ยวหยูก็แข็งแกร่งกว่าวิชาของหยูเซี่ยวอย่างเห็นได้ชัด...

สุดท้ายกลายเป็นว่าชายหนุ่มชุดคลุมสีดำขลิบทองที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดตัวจริงของตระกูลหยู

อายุเพียง 18 กลับมีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4

กล่าวได้ว่าพรสวรรค์ตามธรรมชาติของเขาอยู่ในระดับดี

ตอนนี้เยาวชนรอบด้านสัมผัสได้ว่ากำลังจะมีเรื่องสนุกๆอย่างการต่อยตีกันเกิดขึ้น ทั้งหมดจึงเริ่มล้อมวงกันเพื่อคอยติดตามดูสถานการณ์

"นั่นคือหยูเซี่ยง เยาวชนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 1 ของตระกูลหยูแห่งเมืองผานางแอ่นเหิน!"

"ที่เมืองผานางแอ่นเหินกล่าวขานกันว่าความแข็งแกร่งของหยูเซี่ยงนั้น เป็นรองเพียงถานรุ่ยของตระกูลถานเท่านั้น"

"อย่างที่เจ้ากล่าวนั่นล่ะถึงแม้ว่าทั้งถานรุ่ยและหยูเซี่ยงจะอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 เช่นเดียวกัน แต่วิชายุทธ์ของถานรุ่ยดูเหมือนจะมีความสำเร็จเลิศล้ำกว่าหยูเซี่ยงอยู่เล็กน้อย ทำให้หยูเซี่ยงยังคงตกเป็นรองอันที่จริงทั้ง 2 คนก็นับได้ว่าเป็นคู่ตอสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันนัก"

"แล้วชายที่สวมชุดสีม่วงนั้นเป็นผู้ใดกันท่าทางอายุยังเยาว์อยู่นัก กลับกล้ามีเรื่องกับหยูเซี่ยงเช่นนี้?"

"ข้ารู้จักเขา เมื่อคืนที่แล้วเขาซัดคนของตระกูลหยูที่มีจำนวนถึง 4 คนด้วยการแกว่งแขนเพียงครั้งเดียว"

“ดูเหมือนว่าหยูเซี่ยงจะมาเอาเรื่องแทนทั้ง 4 คนนั่น”

...

เยาวชนส่วนหนึ่งเริ่มจับกลุ่มสนทนากันอย่างออกรส

"ที่เจ้ากล่าวว่าข้าทำร้ายพวกเขานั่นก็ไม่ผิด แต่นี่เป็นเพราะคนของเจ้ามาหาเรื่องพวกข้าก่อน ...สำหรับเรื่องที่เจ้ากล่าวหาว่าข้าเล่นลูกไม้นี่ เจ้าไปได้ยินมาว่าอย่างไรล่ะ?"

ต้วนหลิงเทียนนั้นมองหน้าหยูเซี่ยงอย่างไม่แสแสก่อนที่จะกล่าวตอบออกไปอย่างไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก

เขาได้ยินบทสนทนาของฝูงชนที่ล้อมรอบกันอยู่

เขาคาดไม่ถึงว่าหยูเซี่ยงที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเป็นถึงอันดับ 2 ของเมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหิน

เซี่ยวหยูที่อยู่ด้านข้าง หัวเราะก่อนที่จะกล่าวออกมา "เจ้าทำให้พวกเราต้องเสียเวลาไปต่อแถวใหม่อีกครั้ง นี่ไม่ได้เรียกว่าเล่นลูกไม้หรือไร?"

"เจ้าต้องต่อแถวใหม่อีกครั้ง? นี่ต้องโทษกลุ่มของเจ้าที่ไปสร้างปัญหาให้กับทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กมิใช่หรือไร แล้วทำไมเจ้าถึงได้กล่าวโทษข้ากันล่ะ?"

ต้วนหลิงเทียนจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดราวกับมองตัวโง่งม

"พวกเจ้าทั้ง 3 คนคุกเข่าขอขมา 3 ครั้ง แล้วข้าจะถือว่าเรื่องนี้เป็นอันยุติ"

สายตาของหยูเซี่ยงกวาดผ่าน หลิงเทียน เมิ่งฉวน และก็เซี่ยวหยู

ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินหยูเซี่ยวบอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้มีระดับบ่มเพาะอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 แต่จากที่เขาสำรวจดูเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็มั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสำเร็จของวิชายุทธ์และประสบการณ์การต่อสู้เขาล้วนเหนือกว่าอย่างมาก เด็กน้อยที่มีอายุเพียง 16-17 ปี จะเอาอะไรมาเทียบกับเขา?

ใบหน้าของเมิ่งฉวนเริ่มบิดเบี้ยวและกำลังที่จะระเบิดโทสะออกมา

สีหน้าของเซี่ยวหยูก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นทุกทีๆ

"ฮ่าๆ ..."

แต่ต้วนหลิงเทียนกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนที่เขาจะก้าวไปข้างหน้าช้าๆพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "เช่นนั้น หากพวกเจ้าทั้ง 4 คนคุกเข่าลงก้มกราบขอขมาข้าสัก 10 ครั้ง... บางทีข้าอาจจะละเว้น พวกที่น่ารำคาญราวกับแมลงวันอย่างพวกเจ้าสักครั้ง"

หลังจากที่หลิงเทียนกล่าวจบเขาก็แผ่จิตสังหารไปยังหยูเซี่ยวเล็กน้อย

หลังจากที่ถูกจิตสังหารของหลิงเทียนกดทับมาสีหน้าของหยูเซี่ยวก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดลงเรื่อยๆ ทั้งมันยังไม่สามารถต่อต้านใดๆได้เลย

"พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?"

ทว่า ทันใดนั้นเองกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

พลทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กที่พอทราบที่มาที่ไปของเรื่องราวคร่าวๆจากเสียงการพูดคุยเมื่อครู่ก้าวออกมาห้ามด้วยโทสะ

"วันนี้เป็นวันทดสอบการคัดเลือกเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก หากมีผู้ใดก่อความไม่สงบหรือก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ข้าจะถอนสิทธ์การเข้าร่วมการทดสอบของพวกมันซะ!"

"หยูหง พี่ชายของข้าเป็นถึงนายกอง ของกองกำลังโลหิตเหล็กของเจ้า!"

หยูเซี่ยงมองไปที่พลทหารร่างใหญ่พร้อมกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

"หืม?"

ตอนนี้สีหน้าของหลิงเทียนพลันแปรเปลี่ยนเป็นระวังตัวขึ้นมาเล็กน้อย

ส่วนทีท่าของเมิ่งฉวนและเซี่ยวหยูพลันเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำ

พี่ชายของหยูเซี่ยงผู้นี้กลับเป็นถึง นายกองของกองกำลังโลหิตเหล็ก? (นายกอง คุมกำลัง 100 นาย )

ต้วนหลิงเทียนนั้นหาได้กลัวหยูเซี่ยงไม่ แต่หากเป็นพี่ชายของมันที่เป็นถึงนายกอง ของกองกำลังโลหิตเหล็กนั่นกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตอนนี้เองฝูงชนก็เริ่มระเบิดหัวข้อสนทนากันอย่างครึกโครม

"จริงด้วยมาถึงยามนี้ข้าเองก็จำได้แล้ว เมื่อ 7 ปีก่อนพี่ชายของหยูเซี่ยงนามว่าหยูหง เขาได้เข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้เช่นกัน ... แต่หลังจากนั้นก็หาได้มีข่าวคราวว่าเขาไปเข้าศึกษาต่อที่สถานศึกษาบ่มเพาะขุนพลไม่ ผู้คนจึงคิดว่าเขานั้นได้ตกตายในระหว่างเข้าค่ายเสียแล้ว ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่า เขายังคงอยู่ในกองกำลังโลหิตเหล็ก และมียศเป็นถึงนายกอง ได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ "

"นายกองที่มีอายุเพียง 25 ปีเช่นนั้นหรือ... ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง!"

"ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าหยูเซี่ยงไม่จำเป็นต้องมาทำเรื่องลงทะเบียนอะไรให้วุ่นวายอย่างผู้อื่นเขา ที่แท้เป็นเพราะพี่ชายที่เป็นถึงนายกองคอยจัดการให้มันอยู่นั่นเอง"

"หากพี่ชายเป็นถึงนายกองแล้วล่ะก็ สิทธิพิเศษเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด"

"บัดซบ! แล้วนี่ไม่ใช่หมายความว่าหากหยูเซี่ยงผ่านการทดสอบการเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ มันก็จะได้รับการดูแลอย่างดีจากพี่ชายของมันด้วยเช่นนั้นหรอกหรือ”

"อา ช่างเป็นเรื่องที่ดีนัก หากมีพี่ชายเป็นนายกองของกองกำลังโลหิตเหล็กเช่นนี้"

"จากความเห็นของข้าอันที่จริง หยูเซี่ยงไม่จำเป็นต้องมาทดสอบหรือเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะอันใดนี่ด้วยซ้ำ เพียงแค่ให้พี่ชายของมันขอสิทธิ์ในการเข้าไปร่ำเรียนยังสถานศึกษาบ่มเพาะขุนพลโดยตรงก็ไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำไม่ได้"

...

ตอนนี้หัวข้อสนทนาล้วนเป็นเรื่องราวของหยูเซี่ยงโดยแท้จริง

เมื่อสังเกตถึงสถานการณ์ที่เริ่มควบคุมไม่อยู่พลทหารร่างใหญ่เริ่มบันดาลโทสะแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด

"ทุกคนอย่าได้กังวล ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตนั้น เคร่งครัดในเรื่องความเท่าเทียมกันอย่างสูง ... ยิ่งกว่านั้นถึงจะมีผู้ใดที่มีญาติพี่น้องอยู่ในกองกำลังโลหิตเหล็ก ก็หาได้มีสิทธิพิเศษอันใดไม่ เพราะการเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะเป็นเรื่องสำคัญและมีการคัดเลือกกันอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญญาติพี่น้องของผู้เข้าค่ายเองก็ต้องระวังในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะกฎของกองทัพระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหากมีผู้ใดกล้าให้ความช่วยเหลือแล้วล่ะก็ต้องโดนลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง "

ในขณะที่เขากล่าวจบคำเขาก็มองหยูเซี่ยงด้วยท่าทีแข็งกร้าวพร้อมกล่าวออกมาอีกครั้ง

"ข้านั้นหาได้สนใจไม่ว่าพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้ใดและมีตำแหน่งอันใดในกองกำลังโลหิตเหล็ก ถ้าวันนี้เจ้ายังอยู่ในกองกำลังโลหิตเหล็กเจ้าก็ต้องเคารพและทำตามกฎของกองกำลังโลหิตเหล็ก ... หากเจ้าไม่สามารถกระทำได้ ข้าก็เพียงไปยกเลิกสิทธิ์ในการเข้าร่วมการทดสอบของเจ้าซะ! "

เสียงของพลทหารนี้ดังกังวานและแฝงความเข้มแข็งเอาไว้อย่างมาก

เพียงชั่วครู่การแสดงออกของผู้คนก็เริ่มคลายความกังวลลง

"เจ้าเป็นแค่นายสิบแต่เจ้ากล้าไม่เคารพพี่ชายของข้าเช่นนั้นหรือ?"

ใบหน้าของหยูเซี่ยงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังก่อนที่จะจ้องมองทหารร่างใหญ่คนนี้อย่างเย็นชา

"ในกองทัพโลหิตเหล็กกฎของกองทัพถือเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นนายกองหรือแม่ทัพ หากทำผิดกฎล้วนมีโทษเฉกเช่นพลทหาร!" พลทหารยศนายสิบคนนี้กล่าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

"ดี!"

"ถึงจะเป็นแค่นายสิบแต่เขากลับกล้ากล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ ช่างยอดเยี่ยมนัก!"

ตอนนี้เยาวชนหลายคนรู้สึกเลื่อมใส่ในความเถรตรงนี้อย่างมาก

แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเองยังต้องมองพลทหารยศนายสิบ คนนี้ใหม่อีกครั้ง เมื่อพิจารณาโดยละเอียด เขาก็รู้สึกได้ว่าชายคนนี้นับว่าเป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและกล่าววาจาตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

"ดี ดีมาก…"

การแสดงออกของหยูเซี่ยงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมจ้องไปยังทหารร่างใหญ่ด้วยสายตาดุดัน "เช่นนั้นเจ้าชื่ออะไร ข้าจะได้จดจำมันเอาไว้ได้อย่างถูกต้อง เพื่อที่ข้าจะได้นำไปบอกกล่าวแก่พี่ชายของข้าได้อย่างแม่นยำไม่ผิดคน ... "

"เจ้าต้องกลับไปกล่าวถามพี่ชายของเจ้าด้วยล่ะว่า ยังจดจำนามของข้าได้แม่นยำหรือไม่"

ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มคน

รีวิวผู้อ่าน