ตอนที่ 22 พ่อนายเป็นราชาก็ไร้ประโยชน์
“เฮ้ คิดไม่ถึงว่าคนที่ตามมาช่วยแกจะกล้าหาญมาก ได้ยินชื่อพ่อฉันยังไม่กล้าไสหัวไปอีก? เมื่อต้นปีนี้ที่เทียนตู มีเด็กที่กล้าหาญไม่น้อยเลย น่าเสียดาย เป็นแค่พวกโง่เท่านั้นล่ะ!” มองดูแล้วยังมีสิบกว่าคนที่ยังไม่ไป จางเทียนอั๋งหัวเราะหึๆ กำลังจะพูด
“ปังปังปัง!”
เสียงของจางเทียนอั๋งหายไป เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประตูสี่ห้องถัดจากห้องชุดที่ชั้นบนสุดเปิดขึ้นทันที ผู้คนที่อยู่ข้างในทั้งหมดสิบกว่าคนกรูกันออกมา เข้ามาล้อมเจียงป๋ายและกลุ่มตัวแทนของเขา ในมือถือมีดและไม้หน้าสาม ดูเป็นการโกงโดยสมบูรณ์
ทั้งหมดสูงหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร แข็งแกร่งราวกับวัว กล้ามเนื้อหน้าท้องก็มีไม่น้อย หลายคนมีต้นแขนหนากว่าต้นขาของคนทั่วไป แต่ละคนดูดุร้ายไม่มีใครเทียบ มองออกไม่ยากว่าทุกคนล้วนผ่านการต่อสู้มานักต่อนัก สำหรับเจียงป๋ายพวกเขามีทักษะไม่ได้สูงกว่าสักเท่าไหร่
“ในเมื่ออยากเล่นด้วย ก็อยากจะเล่นแบบสบายใจเป็นธรรมดา พื้นฐานของแกฉันให้คนตรวจสอบแล้ว จะไม่เตรียมตัวสักนิดเหรอ? แต่ว่า เดิมทีฉันนึกว่าแกจะไม่มา คิดไม่ถึงว่าจู่ๆแกก็มา ฉันรู้ว่าแกลงมือได้ คนของฉันเหล่านี้ก็ลงมือได้เหมือนกัน แต่ว่าลงมือได้แล้วอย่างไงล่ะ ฉันพูดแค่ประโยคเดียว กระสุนหนึ่งนัดนี้ก็จะเจาะหัวคนของแกได้!” เมื่อพูดจบ จางเทียนอั๋งก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา
เมื่อพูดจบก็เดินออกมา พร้อมมองเจียงป๋ายที่อยู่ตรงหน้า พูดต่อไปอย่างดุเดือด “ถ้ารู้กาลเทศะก็ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าได้ขยับเขยื้อน มองฉันเล่นดีๆ ลูกพี่ลูกน้องคนสวยของแก ไม่แน่ว่าฉันเล่นอย่างมีความสุขแล้วอาจจะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่ต่อไป! ”
พูดจบ ก็ไม่สนใจเจียงป๋ายอีกต่อไป สายตาจับจ้องไปที่หลินหวานหยู ดวงตาหื่นกระหายคู่นั้นมองสำรวจหลินหวานหยูหัวจรดเท้า มองใบหน้าซีดขาวของหลินหวานหยู จางเทียนอั๋งหัวเราะแล้วพูดอย่างหยาบคาย “หลินหวานหยู คำพูดของฉันเธอก็ได้ยินแล้ว เรื่องราวต่างๆเธอก็ได้เห็นแล้ว วันนี้เธอปรนนิบัติฉันดีๆ ฉันจะปล่อยให้เด็กน้อยของเธอมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าหากปฏิเสธ วันนี้ไม่เพียงแต่ฉันจะได้เล่นกับเธอ หลังจากนั้นฉันจะให้ทุกคนได้มาเล่นกับเธอด้วย ให้เจ้าเด็กนั่นกับลูกน้องของมันได้เห็นชัดๆ จากนั้นค่อยฆ่ามัน! ”
พูดจบ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดเสริมว่า “ฉันอยากเล่นเธอต่อหน้ามันสักพัก ให้เธอแสดงว่ามีอาการเอะอะขัดขืนหน่อยๆ ฉันชอบเธอที่เป็นอย่างนั้นนะ ฮ่าฮ่าฮ่า ให้มันได้ดูชัดๆ....มา ตอนนี้ก็ถอดเสื้อผ้าออกได้แล้ว”
“ถอดบ้านแม่แกสิ!” เจียงป๋ายเมื่อได้ยินก็อารมณ์ขึ้น ครั้งแรกถูกคนคนหนึ่งทำร้ายจิตใจจึงพ่นคำพูดนั้นออกมาทันที
“ปังปังปัง”
ร่างหนึ่งผ่านไปราวกับสายลม เสี้ยววินาทีสี่ร่างนั้นก็ถูกกระแทกอย่างแรงจนปลิวติดผนัง จนปีนขึ้นมาอีกไม่ได้ ปืนทั้งสี่กระบอกตกไปอยู่ในมือของเจียงป๋าย เขาโยนมันให้ซูเจี๋ย จากนั้นขยับมืออีกครั้ง
“ทั้งหมดอย่าขยับ ใครขยับตาย! ”
ซูเจี๋ยรับปืนมา มือคู่นั้นยกปืนขึ้นเล็งไปที่คนอื่นๆ เวลาเดียวกันจางเทียนอั๋งที่เตรียมขยับมือก็ลดปืนลง ไม่กล้าตุกติก พวกเขารู้ว่าซูเจี๋ยคนนี้เป็นคนบ้าคลั่ง ว่ากันว่ายิงไม่เคยพลาด
“พวกเด็กน้อย ให้ฉันสั่งสอนเจ้าหนุ่มนี่ ใครกล้าสู้ฉันยิงมันแน่! ”
ซูเจี๋ยแสยะยิ้มน่ากลัว พูดเสียงเย็น เจ้าเด็กน้อยสิบกว่าคนที่ยังไม่ทันทำอะไรก็เลือดสาดเสียแล้ว เจ้าหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าคนเลว ไม่ต้องพูดซ้ำครั้งที่สองรวบมีดไว้ด้วยกัน เวลาเดียวกันนั้นทุกคนในห้องส่งเสียงกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกฝ่ายไม่มีใครกล้าลงมือ ไม่กี่นาทีถัดมาบนพื้นก็เต็มไปด้วยคนนอนราบหมดสภาพ
“แก.....แก....พ่อของฉันคือจางฉางเกิง แกกล้าแตะฉันแม้แต่ปลายนิ้ว พ่อฉันจะทำให้แกไม่ได้ตายดีแน่!”
การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเวลานั้นทำให้หลินหวานหยูกรีดร้องด้วยความตกใจ ทำให้ส่วนที่แข็งขืนของจางเทียนอั๋งหดลง ไม่มีความบ้าและความมั่นใจอีกต่อไป ใบหน้าขาวซีดมองไปทางเจียงป๋ายที่อยู่ตรงหน้า เสียสั่นขณะพูด
เจียงป๋ายค่อยๆเดินมาตรงหน้าเขา สายตาเหลือบมองแวบหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “อย่าพูดเลยว่าพ่อแกคือจางฉางเกิง ต่อให้พ่อแกเป็นราชาก็ไร้ประโยชน์!”
เมื่อพูดจบเจียงป๋ายก็เตะเขาออกไป จางเทียนอั๋งถูกเตะปลิวติดผนังไปกองรวมกับคนอื่นๆ ซี่โครงหักมากกว่าครึ่ง อวัยวะภายในเสียหาย เลือดสดๆพ่นออกมาจากปาก
นี่เป็นเพราะว่าเจียงป๋ายยังไม่อยากฆ่าคนในห้องประชุมขนาดใหญ่นี้ ไม่อย่างนั้นเท้าข้างนี้จะต้องเหยียบย่ำจนมันกลายเป็นเศษเนื้อแน่
แต่นี่ยังไม่ถือว่าเรียบร้อย เสี้ยววินาทีเจียงป๋ายวิ่งผ่านไป “ปังปังปัง” รัวสี่หมัดอย่างต่อเนื่องลงบนร่างของจางเทียนอั๋ง ตีไปที่มือและเท้าไม่หยุด มันส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด
“ไป มัดมันเอาไว้! ”
หลังจากต่อยตีเสร็จแล้วเจียงป๋ายจึงพูดขึ้นมาอย่างโกรธแค้น
ครั้งนี้บาดเจ็บสาหัสมาก หลังจากนี้ต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อยสองสามเดือน แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต เจียงป๋ายลงมืออย่างเหมาะสมแล้ว ส่งแรงกระแทกจากภายใน นี่จะสามารถปกป้องอวัยวะภายในทำให้มันไม่ถึงตาย หลังจากนี้จะส่งผลทำให้มันเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกเลย
แต่ถึงอย่างนั้น เจียงป๋ายไม่ได้วางแผนจะปล่อยมันไป จางเทียนอั๋งก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ ยกให้ซูเจี๋ยจัดการต่อ พอคิดถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นได้
มือขยับได้แล้ว ครั้งนี้จางเทียนอั๋งได้บทเรียนแล้ว แม้ว่าจะได้รับการรักษาที่ดี แต่หลังจากนี้มือและเท้าจะใช้การได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน จางฉางเกิงโกรธแค้นจนตายแน่ๆ อย่างไรก็ตามความผิดนี้ต้องการความชัดเจนอย่างถึงที่สุด เรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นภายหลังจะเป็นเรื่องราวไม่จบไม่สิ้น
ซูเจี๋ยเหมือนจะเข้าในความหมายของเจียงป๋าย ไม่ต้องพูดซ้ำครั้งที่สองยกมือให้คนฉีกผ้าม่านลงมามัดจางเทียนอั๋งไว้ ถอดถุงเท้าแล้วยัดใส่ปากมัน
“พวกแกกลับไปบอกจางฉางเกิง ให้เขามาพบฉัน บอกว่าฉันเจียงป๋ายฝากบอกมา ถ้าอยากได้ลูกชายคืน วันนี้ต้องมาคุยกับฉัน! ”
กวาดสายตาเยียบเย็นมองไปโดยรอบไปหยุดอยู่ที่หลินหวานหยูที่เบิกตาอ้าปากกว้างกับเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่มองเขาด้วยความเคารพอย่างแรง เจียงป๋ายพูดประโยคนั้นออกไปแล้วก็หมุนกายเดินจากไป
“พี่ชาย พี่.....”
ออกจากประตู ซูเจี๋ยเตรียมรถไว้รอแล้ว แบกจางเทียนอั๋งออกไป พวกเขาทั้งหมดเข้าประจำที่นั่งบนรถสี่ถึงห้าคันออกจากโรงแรมแมริออท หลินหวานหยูกับเจียงป๋ายอยู่บนรถคันหนึ่ง ขึ้นรถแล้วค่อยได้สติกลับคืนมา ปากที่สั่นด้วยความตกใจนั้นอยากจะพูดขึ้นมา
“ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ฉันจัดการได้ เธอปลอดภัยก็ดีแล้ว แต่ว่าวันนี้จะกลับไปมหาวิทยาลัยไม่ได้ สักพักฉันจะให้ซูเจี๋ยหาที่ให้เธอซ่อนตัวก่อน ภายในวันนี้ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
ไม่รอให้หลินหวานหยูพูดจบ เจียงป๋ายโบกมือครั้งหนึ่ง ดึงรอยยิ้มกลับมาแล้วพูดอย่างอบอุ่น
“อื้ม”
ครั้งนี้หลินหวานหยูไม่มีบทเรียนอะไรกับเจียงป๋ายอีกแล้ว และไม่ได้พูดอะไรถึงเขาอีก เพียงแค่ผงกหัวอย่างว่าง่าย สายตาแฝงไปด้วยความซับซ้อน ดูท่าเรื่องราวในวันนี้จะหนักหนาเกินไปสำหรับเธอ แน่นอนว่าความรู้สึกนึกคิดในหนึ่งชั่วโมงสั้นๆ ถูกตีจนแตกเป็นชิ้นๆจะทำให้เธอยอมรับไม่ได้สักพัก
ปลอบโยนหลินหวานหยูสักพัก ตอบคำถามเธอเล็กน้อย อย่างเช่นทักษะฝีมือของตนเอง
เจียงป๋ายหลอกตัวเองว่าตั้งแต่เด็กติดตามอันธพาลในโรงเรียนมัธยม แต่งเรื่องโกหกให้หลินหวานหยูเชื่อท่ามกลางสายตาที่ซับซ้อนจนสุดทาง หลินหวานหยูถูกส่งไปที่บ้านเพื่อนของซูเจี๋ยเพื่อซ่อนตัว อีกฝ่ายคือตำรวจชั้นกลาง ซึ่งสนิทกับซูเจี๋ยมาก เมื่อก่อนเคยเป็นทหารทีมเดียวกัน ค่อนข้างน่าเชื่อถือ
ในเวลานี้ เจียงป๋ายเพิ่งรู้ว่าซูเจี๋ยเคยเป็นทหารมาก่อน และยังเป็นกองกำลังพิเศษเสียด้วย เคยฆ่าคนในสนามรบจริงๆ ส่วนตำแหน่งเขาไม่ได้ถามอะไรมาก ในใจคิดว่าไม่แปลกใจเลยทำไมถึงกล้าหาญและลงมือรุนแรงขนาดนั้น