ระหว่างทางไปโรงพยาบาลเจียงเฟยกดโทรไปหาจ้าวเฟิง เขาพยายามอธิบายสถานการณ์ที่กำลังพบและบอกให้จ้าวเฟิงลาเรียนให้เขาด้วย ยังไงเสียเขาก็คงกลับไปเรียนไม่ทันอยู่แล้ว!
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหมอก็มาถามเขาหลายคำถามก่อนที่จะลากเจียงคนเจ็บจากไป – ชายหนุ่มเองก็ยังคงนอนอยู่บนนั้นเช่นเดิม จู่ๆสรรพเสียงก็เงียบสงัดลงและเจียงเฟยก็ถูกทิ้งให้นั่งอย่างเงียบๆอยู่คนเดียวบริเวณทางเดินของโรงพยาบาล
“เฮ้! เธอพอจะมีเวลาซักนาทีหนึ่งไหม!”
คนผู้นี้คือหน่วยแพทย์ที่มาหยุดเขาเอาไว้ตรงพื้นที่เกิดอุบัติเหตุ
“ผมหรอ?” เจียงเฟยมองไปรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่เธอต้องการจะคุยด้วยคือเขาจริงๆ
“แน่นอนสิว่าเป็นนาย ตำรวจมาแล้วและพวกเขาก็อยากจะถามคำถามนายซักสองสามคำ” เธอกล่าว
“โอเค!” เจียงเฟยพยักหน้ารับ เขาเดินตามหน่วยแพทย์คนนั้นเพื่อให้การกับตำรวจ ตอนนี้เขาไม่มีอะไรต้องทำที่นี่แล้วจริงๆ!
“เอาล่ะ นายกลับไปโรงเรียนได้แล้ว พวกเราจะตรวจสอบให้ชัดเจนว่าคำพูดและการกระทำอันกล้าหาญนั้นของเธอเป็นจริงไหม”
โดยรวมแล้วตำรวจจราจรถือว่าเป็นมิตรไม่น้อย
“เดี๋ยวก่อน!” ตอนที่เจียงเฟยกำลังจะจากไปก็มีพยาบาลคนหนึ่งเรียกเขาเอาไว้
“ยังมีอะไรอีกหรอครับ?” เจียงเฟยถามแบบไม่แน่ใจนัก
“คนไข้อยากจะคุยกับเธอ” พยาบาลกล่าว
“เข้าใจแล้ว!” เจียงเฟยพยักหน้ารับ ทำไมจะไม่ล่ะ? เขาเป็นผู้ช่วยชีวิตชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้ไม่ได้ไปฆ่าพ่ออีกฝ่ายเสียหน่อย เขาไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้ว!
เจียงเฟยเดินตามพยาบาลไปยังตึกผู้ป่วย เขาได้ยินหมอสองคนซุบซิบคุยกันถึงคนผู้หนึ่ง
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ตามคำให้การของนักเรียนคนนั้นและสิ่งที่ตำรวจกล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์รถชนนั่นอีก เด็กคนนั้นควรจะถูกส่งไปทำพิธีไม่ควรจะเข้ารับการรักษาแล้วด้วยซ้ำ แล้วทำไมเขาถึงหลุดมาได้โดยที่มีอาการสับสนเล็กน้อยและอวัยวะภายในได้รับความเสียหายบางส่วนเท่านี้เองล่ะ?”
“เด็กคนนี้โชคดีมากจริงๆ!”
“ฮึ่ม! พวกไข่ในหินรุ่นที่สองพวกนี้ไม่รู้จักค่าของชีวิตเอาเสียเลย ครั้งนี้เขาโชคดีรอดมาได้ก็คงทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนมันสายเกินแก้เข้าซักวันนั่นแหละ!”
...
...
“นายจะจะพบฉันงั้นหรอ?” เจียงเฟยเข้ามายังตึกผู้ป่วยพิเศษ
“ขอเวลาให้พวกเราซักครู่ได้ไหม ผมอยากจะคุยกับเขาตามลำพัง” ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับพยาบาล
“ตกลง! ถ้ามีอะไรก็กดปุ่มที่อยู่ข้างๆก็แล้วกัน!” พยาบาลชี้ไปที่ปุ่มๆหนึ่งและเดินออกไป
“ขอบคุณมากจริงๆน้องชาย! ถ้าไม่ได้นายฉันคงตายไปแล้ว!” ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งลงและเริ่มคุยกับเจียงเฟยพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ฮะๆ เอาเถอะตอนนี้นายก็ดูเหมือนคนตายไปแล้วนั่นแหละ!”
เจียงเฟยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก สภาพของชายคนนี้เมื่อตอนนั้นดูเหมือนผีมากกว่ามนุษย์เยอะ กระดูกซี่โครงของเขาแตกหักหลายที่และกระอักเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวเขาอยู่ห่างจากความตายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ใช่แล้วล่ะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเอาอะไรให้ฉันดื่มแต่ฉันทราบดีว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้! อย่างที่พวกเรากล่าวกันเสมอๆ คงไม่มีคำใดสามารถแสดงความขอบคุณต่อความใจดีที่นายมีต่อฉันอีกแล้ว ฉันฮั่นเทียนหยู จากนี้เป็นต้นไปนายคือน้องชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับฉัน!” ชายหนุ่มวัยเยาว์กล่าวออกมาด้วยท่าทีซื่อตรง โพชั่นขวดนั้นยื้อสภาพของเขาเอาไว้แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องพักฟื้นอยู่ดี
“ฮั่นเทียนหยู? ทำไมฟังดูคุ้นหูจังนะ?” เจียงเฟยพึมพำกับตัวเอง
ฮั่นเทียนหยูยิ้ม
“ฮะๆ ฉันเคยออกทีวีอยู่หลายครั้งน่ะ ครอบครัวของฉันคือเจ้าของกลุ่มธุรกิจแมนต้าไง”
“พระเจ้าช่วย! ‘กลุ่มธุรกิจหนวดปลาหมึก’ นั่นน่ะนะ?” น้ำเสียงของเจียงเฟยดังขึ้นโดยไม่เจตนา
กลุ่มธุรกิจแมนต้าหาใช่บริษัททั่วๆไป มันถูกเรียกว่า ‘กลุ่มธุรกิจหนวดปลาหมึก’ ก็เพราะพวกเขาเข้าไปมีเอี่ยวกับบริษัทมีชื่อแทบจะทุกแห่งของมนุษย์ ตั้งแต่ค้าอาวุธไปจนถึงสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่อากาศยานไปจนถึงเรื่องเล็กน้อยเท่าปลายเข็ม กลุ่มธุรกิจแมนต้าล้วนเข้าไปมีเอี่ยวในทุกๆเรื่อง
แกนหลักของเรื่องของคือฮั่นเทียนหยูผู้นี้ — คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าของกลุ่มธุรกิจแมนต้า กล่าวได้ว่าเขาเป็นรัชทายาทของจักรวรรดิแห่งธุรกิจทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เจียงเฟยเคยเห็นเขาแต่ในทีวีเท่านั้นไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้มาช่วยชีวิตของเจ้าชายผู้นี้เอาไว้!
“ปัง!” ในตอนนั้นเองประตูห้องผู้ป่วยก็แทบจะปลิวหลุดจากบานพับ
“นายน้อยเป็นอะไรไหมครับ?” ชายวัยกลางคนวิ่งเข้ามาตามมาด้วยชายร่างยักษ์อีกแปดคน พวกเขากระจายวงล้อมกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นขบวนแถว บางคนคุ้มกันบริเวณทางเข้า บางคนคอยระวังตรงหน้าต่าง สองคนเข้ามาแทรกระหว่างเจียงเฟยและฮั่นเทียนหยูอย่างรวดเร็วจนยากจะกล่าวได้ว่าเป็นเพียงความบังเอิญหรือถูกคิดเอาไว้ก่อนแล้ว
“ฉันยังไม่ตาย!”
ฮั่นเทียนหยูกรอกตากล่าว
“นายน้อยท่านพยายามจะทำให้กระผมหวาดกลัวจนตายรึไง? ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านกระผมจะกล่าวกับนายท่านยังไง?”
หลังจากเห็นว่าฮั่นเทียนหยูสบายดีชายวัยกลางคนก็เริ่มหอบหายใจอย่างหนักราวกับว่าพึ่งไปวิ่งมาราธอนมา
“ไม่เป็นอะไรแล้วน่าลุงต้า ผมสบายดี ไปแจ้งได้แล้วว่าผมจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลในไม่ช้านี่แหละ!” ฮั่นเทียนหยูโบกมือกล่าวกับชายวัยกลางคน
“นายน้อยท่านไม่เป็นอะไรจริงหรือ? กระผมได้ยินตำรวจจราจรกล่าวกันว่าอุบัติเหตุทางรถยนตร์ครั้งนั้นดูราวกับเหตุระเบิดก็ไม่ปาน”
ลุงต้าดูจะยังไม่สบายใจ
“โชคดีที่ผมไม่ได้ขาดเข็มขัดนิรภัยเลยถูกรถเหวี่ยงออกมาจากกระจกหน้าก่อนที่จะเกิดการชน สมองของผมเลยแค่กระทบกระเทือนเล็กน้อยเท่านั้น”
ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดฮั่นเทียนหยูจึงเลือกตัดเรื่องของเจียงเฟยและโพชั่นเพิ่มเลือดของเขาออกไปจากเรื่องที่เล่าออกมา เขากล่าวแต่ว่ารอดมาได้เพราะโชค
“นายน้อยผมจะขอออกไปคุยกับคุณหมอซักหน่อย ถ้าทุกๆอย่างปกติดีพวกเราจะพาท่านกลับบ้านทันที!” ลุงต้ากล่าว
“ตกลง! แล้วก็เอาเจ้าพวกนี้ออกไปด้วย ผมต้องการคุยกับเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว!”ฮั่นเทียนหยูกล่าว
“อึก...เข้าใจแล้วครับ” ความคิดที่ว่าต้องทิ้งนายน้อยเอาไว้กับคนแปลกหน้าทำให้ลุงต้านั่งไม่ติดแต่เขาเป็นเพียงนักเรียนมัธยมธรรมดาๆอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ขอบคุณมากนะ!” หลังจากทุกคนออกไปแล้วเจียงเฟยก็พยักหน้าให้กับฮั่นเทียนหยู
“เอาเถอะ ฉันทราบดีว่านายคงไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่านายมียาอายุวัฒนะที่ใช้สำหรับฟื้นฟูชีวิตได้หรอก ทุกๆคนต่างก็มีความลับของตน ถ้าจะบอกว่าฉันไม่สงสัยก็คงไม่ได้แต่ฉันจะไม่ถามให้มากความหรอก” ฮั่นเทียนหยูกล่าว
“อา” เจียงเฟยยกนิ้วโป้งให้กับฮั่นเทียนหยู ดูเหมือนทั้งสองคนจะลุข้อตกลงบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้อย่างเงียบๆไปแล้ว นี่เป็นความเข้าใจระหว่างคนฉลาดด้วยกัน
“ฉันเรียกนายว่าน้องชายมาทั้งวันแล้วแต่กระทั่งชื่อของนายนายยังไม่บอกฉันเลย นายกำลังดูถูฉันอยู่รึไง?” ฮั่นเทียนหยูยิ้มกว้าง
“โว้วดูตัวเองห่นอยเถอะ ใครจะไปกล้าดูถูกเจ้าชายของกลุ่มธุรกิจแมนต้ากัน? ฉันชื่อเจียงเฟย” เจียงเฟยขยิบตาให้
“พวกเราเป็นพี่น้องกันแล้วตัดคำว่า ‘เจ้าชาย’ ทิ้งไปได้เลย ดูเหมือนว่านายจะอ่อนกว่าฉันอยู่ซักหน่อยนะ จากนี้เรียกฉันว่าพี่อวี่แล้วกันหรือถ้าไม่ก็เรียกชื่อฉันตรงๆเลย!” ฮั่นเทียนหยูโบกมือให้อย่างเป็นกันเอง
“ตกลงพี่อวี่ก็พี่อวี่!” เจียงเฟยไม่มีปัญหาที่จะเรียกฮั่นเทียนหยูเป็นพี่อยู่แล้ว ฮั่นเทียนหยูเป็นนักศึกษามหาลัยปีที่สองแล้วดังนั้นชัดเจนแล้วว่าเขาแก่กว่าเจียงเฟยอยู่ราวๆ4-5ปี ดังนั้นการเรียกฮั่นเทียนหยูว่าพี่ก็สมควรแล้ว!
“เอาล่ะ! ฉันจะไม่รั้งนายไว้แล้ว ลุงต้าและคนอื่นๆคงไม่ปล่อยให้พวกเราอยู่กันอย่างสงบนานนักหรอก ถ้านายมีปัญหาก็มาหาฉันได้เลย พออาการฉันดีขึ้นแล้วเดี๋ยวจะเรียกนายออกไปเที่ยวด้วยกัน!”
ฮั่นเทียนหยูให้เบอร์ติดต่อกับเจียงเฟยเอาไว้พร้อมกับยิ้มกว้างเกลื่อนใบหน้า
“ตกลงงั้นผมไปก่อนแล้วกัน ครั้งหน้าก็ขับรถระวังๆด้วย ถ้าเกิดสถานการณ์แบบเดียวกันขึ้นอีกผมคงไม่ได้อยู่ช่วยได้ตลอดหรอกนะ!” เจียงเฟยวางแผนว่าจะออกจากโรงบาลซักที เขาไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องของฮั่นเทียนหยูผู้นี้ มองๆดูแล้วนี่ก็เป็นเพียงการบังเอิญพานพบเท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
“อย่ากังวลเลย! ไม่มีครั้งที่สองแน่!” เมื่อเจียงเฟยจากไปแล้วรอยยิ้มของฮั่นเทียนหยูก็หายไป เขากำหมัดแน่น หน้ากากชายทรงเสน่ห์ที่สวมใส่พลันบิดเบี้ยวมืดครึ้มกลายลงจนน่ากลัว
“ในเมื่อแกเลือกจะผิดกฎของเกมก่อนถ้างั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ก็อย่าได้โทษฉันแล้วกัน” น้ำเสียงเย็นชาของฮั่นเทียนหยูดังกึกก้องไปทั่วห้องผู้ป่วยที่ว่างเปล่า