px

เรื่อง : เนตรเซียนทะลุสมบัติ
 ตอนที่ 3 ตลาดมืด


 ตอนที่ 3 ตลาดมืด

เช้าวันรุ่งขึ้น หยางโปก็ลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่เช้าหลังจากพับผ้าห่มและจัดระเบียบเตียงนอนของเขาแล้ว เขาก็อาบน้ำแต่งตัวก่อนที่จะล็อคประตูห้องและเดินออกจากห้องไป

ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงมืดสนิทอยู่เพราะเวลาในตอนนี้คือตี 3  หยางโปก้าวเท้าผ่านใต้แสงจันทร์พร้อมกับไฟฉายที่อยู่ในมือของเขา หลังจากเดินไปครู่หนึ่งเขาก็เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆที่อยู่ทางซ้ายมือ เดินไปได้ 10 ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงของความเร่งรีบรวมถึงความคึกคักที่อยู่ด้านในพร้อมกับแสงที่สาดส่องไปมา

ถนนโบราณที่กู่เต๋อจายตั้งอยู่ใกล้กับตลาดโบราณวัตถุฉาวเทียนกงเพียงแค่ 2-3 ร้อยเมตรเท่านั้น ก่อนหน้านี้หยางโปมักจะมาเดินเล่นในตลาดมืดอยู่บ่อยครั้ง แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่มีเงินในมือจึงทำให้เขาไม่เคยได้ซื้อของที่นี่เลย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขานำเงินจำนวน 200 กว่าหยวนซึ่งเป็นเงินเก็บของเดือนนี้ทั้งหมดมาที่แห่งนี้!

จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ครั้งนี้แหละ ถ้าหากดวงตาของเขายังหลอกเขาจริงๆ เขาก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดแล้วล่ะ!

เพื่อพ่อ คงต้องสู้กันซักตั้ง!

แม้ว่าเขาจะเรียกความมุ่งมั่นให้กับตัวเองแล้ว แต่หยางโปก็ยังค้นหารอบๆ อย่างระมัดระวัง ภายในตลาดมืดมีของจำนวนมาก มีทั้งภาพวาด เครื่องเซรามิค เครื่องหยก เครื่องทอง เครื่องเงิน อิฐในราชวงศ์ฉิน ขวดใส่ยานัตถุ์จีน แม้แต่ภาชนะสามขาในยุคชุนชิวจ้านกั๋วที่ห้ามไม่ให้ทำการประมูลก็สามารถพบเห็นได้ที่นี่ สำหรับเรื่องที่จะแยกว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอมก็ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อว่าจะแยกแยะได้หรือไม่

หยางโปรู้ดีว่าความรู้ของตัวเองยังถือว่าผิวเผินมาก เพราะยังมีของอีกหลายอย่างที่ไม่สามารถจะประเมินราคาของมันได้ ดังนั้นเขาจึงต้องตรวจสอบทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง

เขาเดินผ่านแผงลอยแต่ละร้านพร้อมกับหยิบของที่สนใจขึ้นมาดู โดยที่ไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษที่มีอยู่ มันเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งๆนั้นจะสามารถใช้ได้นานขนาดไหน แต่เมื่อคิดๆดูแล้วมันคงจะช่วยเขาได้ไม่นานเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถหาของจริงได้นั่นก็เท่ากับว่าเขาต้องขาดทุน!

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่

หยางโปลุกขึ้นยืนก่อนที่จะมองไปรอบๆ ในเวลาอันรวดเร็วเขาก็พบกับเป้าหมาย...ผู้ดูแลชวี!

ชวีหย่วนหยางคือรองผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์จินหลิง เขาเคยมาที่กู่เต๋อจาย 3 ครั้งจึงทำให้หยางโปจำเขาได้

 

หยางโปจ้องมองไปที่เงาของผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ชวี พร้อมกับเดินตามเขาไป เขาอยากจะใช้กลยุทธ์ในการจับตามอง จากการดูพฤติกรรมของชวีหย่วนหยางที่เดินดูสินค้าแล้วของเหล่านั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นของแท้ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยใช้ความสามารถในการประเมินของเขา หากทำเช่นนี้เขาก็สามารถที่จะลดเวลาในการใช้ความสามารถนั้นให้น้อยลงได้

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินตามคนอื่น จึงทำให้หยางโปดูไม่ค่อยจะคุ้นชินกับการทำเช่นนี้เท่าไหร่นัก เขาสังเกตุมองจากระยะไกลและเป็นเพราะกลัวว่าจะพลัดหลงกับอีกฝ่าย ระหว่างที่แกล้งหยิบจับของเพื่อให้ดูไม่มีพิรุธเขาก็สังเกตุท่าทางและการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

ชวีหย่วนหยางหยิบขวดยานัตถุ์ขึ้นมาเขาใช้เวลาจ้องมองมันอยู่นานก่อนที่จะวางลงแล้วหันไปมองไปที่จานล้างหมึกพร้อมกับภาพวาดสองแผ่นตรงหน้า

การเลือกที่ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ของอีกฝ่ายทำให้หยางโปรู้สึกสับสน แต่โชคดีที่เขามีความอดทนเพียงพอ เป็นเพราะจำนวนเงินอันน้อยนิดที่อยู่ในมือของเขา หากเขาต้องสูญเสียเงินจำนวนนี้ไปเพียงครั้งเดียวเขาก็ต้องรออีกครั้งคือเดือนหน้า แต่เขาไม่สามารถรอได้นานขนาดนั้น มันยังมีความหวังสำหรับการรักษามะเร็งตับในระยะแรกของพ่อ แต่หากต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ นั่นก็เท่ากับเพิ่มความริบหรี่ให้กับความหวังของเขา!

ในเวลาอันรวดเร็ว หยางโปก็สังเกตุเห็นมือทั้งสองข้างของชวีหย่วนหยางที่หยิบเครื่องลายครามที่เป็นเหมือนกับชะลอมของชาวประมงขึ้นมาพร้อมกับท่าทางที่ดูมีความลังเลจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

หยางโปใจเต้นแรงขึ้นขณะที่เขาก้าวเดินตามต่อไป เขาหรี่ตาลงก่อนที่จะพบเส้นแสงที่มีความอ่อนนุ่มลื่นไหลจากขอบของเครื่องลายครามที่กระจายออกมาจากทั้งสี่มุม ความสามารถเหล่านี้โดดเด่นเป็นพิเศษในช่วงเวลาตอนกลางคืนซึ่งแสงนั้นได้รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณคอขวด และมันมีการรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาอันรวดเร็วแสงเหล่านั้นก็จับตัวกันแน่นก่อนที่จะกลายเป็นแสงที่กระจายไปรอบๆ

หยางโปจ้องมองไปที่ตรงหน้าพร้อมกับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา แสงที่เกิดขึ้นนี้มีความหนามากกว่าแสงที่เกิดขึ้นตรงบริเวณแก้วเซรามิคเจ็ดสีซึ่งอยู่ในยุคของจักรวรรดิเต้ากวงก่อนหน้านี้ จากสิ่งเหล่านี้สามารถพูดได้ว่ามันอาจจะเป็นของที่เกิดขึ้นก่อนยุคของจักรวรรดิเต้ากวงเสียอีก!

หลังจากตกใจกับสิ่งที่เห็นเขาก็เกิดความกังวลขึ้น เพราะหยางโปเริ่มกลัวว่าชวีหย่วนหยางอาจจะอ้าปากเอ่ยเพื่อซื้อมันไป

เขายืนอยู่ข้างๆชวีหย่วนหยางจึงทำให้ไม่กล้าที่จะหันหน้าไปมอง จึงทำได้เพียงแค่จ้องมองหยกชิ้นเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าของเขา หลังจากที่ชวีหย่วนหยางยังคงเงียบเสียงเขาก็หมุนตัวเดินออกไป หยางโปเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนที่จะรีบหยิบเครื่องลายครามนั้นขึ้นมา

เครื่องลายครามชิ้นนี้มีรูปร่างเหมือนกับชะลอมจับปลา ซึ่งมีการเคลือบด้วยสีม่วงอ่อน ดูๆไปแล้วก็ยังถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความบกพร่องที่มีสีเคลือบที่ไม่สม่ำเสมอ ทว่าช่วงสองปีมานี้หยางโปก็ไม่ได้เรียนโดยเสียเปล่า เขาสามารถเข้าใจได้ในทันทีว่านี่คือเตาเผาเครื่องลายครามที่เลียนแบบมาจากราชวงศ์ซ่ง ในเครื่องลายครามเตาเผาที่เลียนแบบสมัยราชวงศ์ชิงถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุด เนื่องจากเป็นยุคก่อนจักรวรรดิเต้ากวง แม้ว่าจะอยู่ในยุคของจักรวรรดิเจี่ยชิง แต่มันก็ยังสามารถสร้างเงินได้ หลังจากที่ดูถึงรายละเอียดทั้งหมดอย่างละเอียดก็พบว่าไม่มีความเสียหายจุดอื่นๆ จึงทำให้หยางโปรู้สึกสบายใจขึ้นมา 

หยางโปเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะถามเจ้าของแผง “เถ้าแก่ อันนี้ราคาเท่าไหร่ ?”

เจ้าของแผงผู้นี้อายุ 30 กว่าปี คางของเขาถูกประดับไปด้วยเคราพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย “น้องชาย นายคงจะรู้จักคนที่เดินมาดูเครื่องลายครามชิ้นนี้ก่อนหน้านายสินะ? ”

หยางโปส่ายหน้า “ใครเหรอ? ”

เจ้าของแผงยิ้ม “น้องชายไม่รู้จักเขาเหรอ ? คนนั้นคือผู้ดูแลชวีของพิพิธภัณฑ์จินหลิงเลยนะ! ”

หยางโปทำราวกับว่าไม่เข้าใจ “อ่อเหรอ ? แล้วสรุปว่าเครื่องลายครามนี้ขายยังไง ?”

เจ้าของแผงลอยมองหยางโปราวกับว่าจะมองพิรุธบนใบหน้าของเขา “ผู้ดูแลชวีมาดูของชิ้นนี้แล้ว แน่นอนว่าเครื่องลายครามนี้จะต้องเพิ่มราคา ก่อนหน้านี้ราคาอยู่ที่ 20,000 หยวนตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 หยวนแล้ว! ”

หยางโปขมวดคิ้วเข้าหากัน แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วแต่เขาก็ไม่คิดว่าราคาจะสูงขนาดนี้ นี่มันเพิ่มขึ้นมาถึงเท่าตัวเลยนะ!

“50 หยวน” หยางโปต่อราคา

“นี่น้องชาย...ราคานี้โหดร้ายเกินไปแล้วมั้ง! ” เจ้าของแผงพูดขึ้น

หยางโปส่ายหน้าก่อนที่จะพูดด้วยความมั่นใจ “เถ้าแก่ นี่ก็ไม่ใช่วันแรกที่ผมมาที่นี่ ที่บ้านเพิ่งจะมีการตกแต่งใหม่ พ่อให้ผมมาเลือกของกลับไปตกแต่งบ้านสักสองชิ้น เถ้าแก่ก็ลดราคาให้ผมหน่อยเถอะ! ”

เจ้าของแผงเงียบไปครู่หนึ่ง “800 หยวน! ”

หยางโปรู้สึกดีใจขึ้นมาเพราะเขารู้แล้วว่าการต่อรองราคามีความหวังแล้ว “100 หยวน มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว! ”

เจ้าของแผงครวญคราง “ร้านเล็กๆแบบนี้ที่จริงก็ไม่ได้กำไรอะไรมากมายเลย จะยอมให้ราคานี้เป็นครั้งแรก เอาไป 500 เหรียญแล้วกัน !  ”

หยางโปแตะไปที่กระเป๋าของเขา เขาจะมีเงินขนาดนี้ได้ยังไงกัน คิดเช่นนั้นก็หันกลับไปพูดต่อว่า “ก็ยังแพงอยู่ดี งั้นผมไปดูร้านอื่นก็แล้วกัน”

พูดจบ หยางโปก็หันหลังเตรียมเดินออกไป ทว่าภายในใจของเขาก็ยังนึกอยู่ว่าเขาจะต้องซื้อเครื่องลายครามหยีโหล่วจวินให้ได้ ในเวลานี้เขาเองก็กลัวว่าถ้าหากเจ้าของแผงไม่รั้งเขาไว้เขาก็คงจะพลาดท่าเสียท่าเข้าแล้ว  

เขาแอบนับเลข 1-3 ในใจโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเจ้าของแผงดังขึ้น “น้องชาย เสนอราคามา! ”

“150 หยวน! ”

“ไม่ได้ไม่ได้! ราคานี้ต่ำเกินไป! ” เจ้าของแผงยังไม่ยอมที่จะปล่อยราคานี้

หยางโปไม่ได้ต้องการที่จะทำให้มันยุ่งเหยิงเกินไป เพราะเขากลัวว่าหากทำให้มันยุ่งเหยิงไปกว่านี้อาจจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ เขาจึงพูดขึ้นว่า “200 หยวน! ตกลงที่ราคานี้! ”

“ได้! ” เจ้าของแผงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบตกลงกลับมาแต่ก็ยังพูดขึ้นอีกว่า “ไอ้น้องชาย นี่เป็นเพราะเพิ่งจะเปิดร้านขายหรอกนะถึงได้ให้ราคานายต่ำขนาดนี้ !  ”

“ขอบคุณมากนะเถ้าแก่! ผมอยู่แถวนี้แหละ วันหลังผมจะมาใหม่นะ! ” หยางโปหยิบเงินออกมายื่นให้กับเจ้าของแผงก่อนที่จะหยิบเครื่องลายครามจากร้านมา พร้อมกับความรู้สึกภายในใจที่อดทนรอไม่ไหวอีกต่อไป!

เขาอุ้มเครื่องลายครามหยีโหล่วจวินในมือด้วยความระมัดระวังพร้อมกับวางแผนขั้นต่อไปของเขา เครื่องลายครามชิ้นนี้จะต้องขายออกไปให้เร็วที่สุด ตอนนี้บนตัวเขาเหลือเงินไว้สำหรับกินข้าวเพียงแค่วันสองวันเท่านั้น ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะขายมันออกไปได้ เขาคงจะต้องหิวตายแน่ๆ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือเครื่องลายครามชิ้นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่อไปของแผนการของเขา!

“นี่ เจ้าหนูเดี๋ยวก่อน! ” ระหว่างที่หยางโปกำลังเดินกลับนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกขึ้น เขาเงยหน้ามองก่อนที่จะเกิดอาการตกตะลึงขึ้นมา เพราะคนที่เขาเห็นตรงหน้าคือผู้ดูแลชวีที่กำลังหรี่ตายิ้มพร้อมกับมองมาที่เครื่องลายครามในมือของเขา

จนทำให้หยางโปต้องกอดเครื่องลายครามในมือของเขาจนแน่น !

รีวิวผู้อ่าน