px

เรื่อง : เนตรเซียนทะลุสมบัติ
ตอนที่ 14 พบเจอโดยบังเอิญ


ตอนที่ 14 พบเจอโดยบังเอิญ

หลังจากพูดคุยกันจบแล้วและหยางโปก็เห็นว่าที่นี่ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถซื้อกลับไปได้ เขาก็เตรียมตัวที่จะออกจากที่นี่

หลี่หลิงมองตามแผ่นหลังของหยางโปที่เดินออกไปพร้อมกับขบคิดอะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่าอายุของพวกเขาจะต่างกัน และนิสัยหยางโปจะเย็นชาแต่เขาก็ยังอยากที่จะสนิทกับอีกฝ่าย  แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้หยางโปกลับมีความลับมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

หลังจากกลับมาถึงที่ร้าน หลี่หลิงก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เขาเจอหยางโปให้กับเถ้าแก่เจี่ยฟัง โดยสรุปท้ายประโยคว่า “ผมรู้สึกว่านับวันผมยิ่งไม่เข้าใจพี่โปมากขึ้นทุกที ”

เถ้าแก่เจี่ยมองหลี่หลิงก่อนที่จะนึกถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นอีกคนขึ้นมาโดยที่ภายในใจของเขาก็ยังไม่อยากให้หลานชายของเขาไปคลุกคลีกับหยางโปอยู่ดี “เพื่อนของนายไม่ได้บอกนายเหรอว่าเมื่อสองวันก่อนเขาซื้อเครื่องลายครามหยีโหล่วจวินมา?”

หลี่หลิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหน้า “ความสามารถของเขาแค่นั้นแถมก็ยังไม่ได้ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่ ของที่ได้มาก็คงจะเป็นของปลอมนั่นแหละ”

“เหอะ ของแท้ต่างหากล่ะ ฉันเห็นมากับตาตัวเอง แถมเขายังไปได้มันมาจากตลาดมืดด้วย” เถ้าแก่เจี่ยสังเกตสีหน้าของหลี่หลิงที่กำลังเปลี่ยนไป ก่อนที่จะยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ดูสิ นายอุตส่าห์เห็นความสำคัญของเขา แต่เขากลับไม่ได้เห็นว่านายเป็นเพื่อนจริงๆ ถ้าเขาเห็นนายเป็นเพื่อน เขาคงจะไม่ปิดบังเรื่องพวกนี้หรอกจริงไหม?”

หลี่หลิงที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา ทว่าสีหน้าของเขายังคงคาดเดาได้ยาก มิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งสองคนในช่วงเวลานี้ดูเหมือนบอบบางและผิวเผินอย่างมาก แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วถึงขนาดนี้

“หลี่หลิง นายอย่าปล่อยให้คนอื่นมาหลอกนายง่ายๆแล้วก็อย่าไว้ใจคนนอกมากจนเกินไป คนเราจะดูว่าหยกนั้นดีหรือไม่ดีก็ยังต้องใช้เวลาจะรู้ว่ามีคุณภาพหรือไม่ก็ยังต้องใช้เวลาดูเป็นปีๆ มันก็เหมือนที่เขาบอกว่าระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คนนั่นแหละ ... ตอนนี้นายอาจจะยังไม่เชื่อคำพูดของฉัน แต่หลังจากนี้นายจะเข้าใจมันเองแหละ”

หลี่หลิงนั่งเงียบโดยไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกมา

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เถ้าแก่เจี่ยก็ถามขึ้นมาว่า “ฉันจำได้ว่านายเคยพูดว่า คนในครอบครัวของหยางโปป่วยแถมยังขาดเงินรักษาด้วย?”

หลี่หลิงพยักหน้า “พ่อเขาป่วยเป็นมะเร็ง ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อรักษา”

“อ๋อ แบบนี้สินะ” เถ้าแก่เจี่ยพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ที่เขามายืนอยู่หน้าร้านพวกเราแถมยังคุยกับสิบแปดมงกุฎนั่น ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องที่กัวปาผีเป็นคนทำ บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่เขาเป็นคนทำด้วยตัวเองก็ได้ใครจะไปรู้”

“ไม่หรอกมั้งครับ เขาคงไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก” หลี่หลิงเถียงขึ้น

“นายอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ เพราะจิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง” เถ้าแก่เจี่ยพูดด้วยความโศกเศร้า

“นายเองก็คงจะเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนให้เร็วหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฉันอยู่ที่นี่อีกหน่อยมีเรื่องที่จะต้องคุยกับใครบางคน” เถ้าแก่เจี่ยพูด

หลี่หลิงรู้สึกได้ถึงความคิดมากมายที่อยู่ในหัวของเขาและเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ยินสิ่งที่เถ้าแก่เจี่ยพูดทั้งหมดหรือไม่ เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินออกไป

หลังจากที่เห็นหลี่หลิงเดินออกไปแล้ว เถ้าแก่เจี่ยก็ถอนหายใจออกมา เรื่องนี้จะมาโทษฉันไม่ได้หรอกนะทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเจ้าเด็กหัวดื้อคนนั้นต่างหากล่ะ!

หลังจากที่หยางโปกลับมาถึงร้านและทำการเก็บกวาดร้านแล้ว เขาก็รีบกินข้าวเย็นเพื่อเติมเต็มที่ว่างให้กับท้องของเขา

หลังจากอ่านหนังสือไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็ผล็อยหลับไปในที่สุด

    ……

หยางโปตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืดอีกครั้งด้วยอาการลังเล ตลาดมืดขนาดเล็กมีของจำนวนอยู่ไม่น้อยแต่ของดีๆกลับมีอยู่น้อยมาก เมื่อวานที่เขาเดินดู กลับไม่พบของแท้แม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเซ็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

แต่เพื่อเงิน 850,000 หยวนของเขา เขาก็รีบลากตัวเองขึ้นมาจากเตียง นี่เป็นโอกาสของเขา หากเขาประสบความสำเร็จเส้นทางแห่งความมั่งคั่งของเขาก็อาจจะมาถึงเร็วขึ้น ใครจะไปรู้ล่ะ

ครั้งก่อนที่เขาขายภาพ [ภาพวาดฝนชะล้างเชิงเขา] ของคุณฉานไปก็ทำให้เขาได้รับเงินถึง 350,000 หยวน และเขาก็ทำการโอนเงิน 200,000 หยวนกลับไปให้ที่บ้านจนทำให้ตอนนี้เขาเหลือเงินอยู่ 150,000 หยวนในมือของเขา แต่เป็นเพราะเมื่อวานเขาสามารถขายภาชนะสำริดของราชวงศ์ซางตอนต้นออกไปได้จึงทำให้ได้เงินมาเพิ่มอีก 25,000 หยวน จากจำนวนเงินทั้งหมดทำให้ตอนนี้เขามีเงินอยู่ในมือราวๆ 175,000 หยวน ซึ่งจำนวนที่เขายังขาดก็ถือว่าเยอะมากเลยล่ะ

เขาเดินทางมาที่ตลาดมืดอีกครั้ง ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกจากผู้คนที่เดินไปมา พ่อค้าแม่ค้าที่วางแผงลอยต่างก็นำสินค้ามาวางเพื่อขายสินค้าจนละลานตาไปหมด

เป็นเพราะเขาได้รับบทเรียนจากเมื่อวาน ตอนที่หยางโปดูสินค้าเหล่านั้นจึงไม่ได้สังเกตมองอย่างละเอียดเหมือนเมื่อวาน เพราะภายในตลาดมืดขนาดเล็ก คนที่เดินทางมาซื้อของส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเจ้าของแผงลอยขนาดเล็กหรือไม่ก็ร้านค้าขนาดเล็กที่อยู่บริเวณรอบๆ จินหลิง ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูงเท่าไหร่นัก จึงทำให้ความต้องการด้านคุณภาพของสินค้าต่ำอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ของโบราณส่วนใหญ่ต่างก็เป็นงานที่ทำขึ้นมาหยาบๆ ของแท้จึงมีน้อยมากถึงขั้นที่ว่าอาจจะไม่มีเลยสักชิ้นก็ว่าได้

หลังจากเดินวนไปได้ครู่หนึ่ง หยางโปก็ยังไม่พบสินค้าที่เขาต้องการจนทำให้เขาถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้าหากันโดยที่เท้ายังคงเดินไปด้านหน้าด้วยความใจเย็น

“เฮ้น้องชาย สนใจไปดูของกับพี่หน่อยไหมล่ะ?” หยางโปที่กำลังเดินดูของด้วยความตั้งใจอยู่นั้น จู่ๆก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเขาขึ้นมา

เขาหันกลับไปดูก็พบว่าเป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ 30 ปี ที่กำลังเลิกคิ้วพร้อมกับหันมาพูดกับเขา “น้องชาย ที่ร้านฉันมีของดีด้วยนะ ไปดูด้วยกันก่อนสิ”

หยางโปไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นเช่นนี้ แต่เขากลับเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนคนๆนี้เป็นพ่อค้าคนกลางที่ต้องการจะดึงคนเข้ามาที่ร้านเพื่อทำการติดต่อซื้อขาย ที่มีการเรียกลูกค้าแบบนี้ก็เป็นเพราะอาจจะมีของบางอย่างที่ไม่ถูกต้องและเป็นของต้องห้ามที่ห้ามทำการซื้อขาย ถ้าหากนำมาวางไว้บนแผงลอยอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้

“ที่ไหน?” หยางโปถามขึ้น

“ไม่ไกลจากที่นี่ นายสบายใจได้ ฉันชื่อหลี่เอ้อร์อยู่ที่นี่มานานแล้ว นายเชื่อใจฉันได้ ฉันไม่ทำให้นายเดือดร้อนแน่นอน” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับยิ้มให้

“หลี่เอ้อร์ไม่ทำให้เดือดร้อน แต่เรื่องโกงนี่ไม่เคยเบามือเลยนะ” เจ้าของแผงลอยที่อยู่ข้างๆได้ยินเช่นนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่จะพูดต่ออีกว่า “หลี่เอ้อร์นี่มันแผงของฉัน แต่นายดันมาดึงลูกค้าที่หน้าแผงของฉันเนี่ยนะ!  นี่ไม่คิดจะไว้หน้าฉันบ้างเลยรึไง!”

“โถ่พี่จาง ขอโทษทีนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ อ่ะๆ! ผมขอไถโทษด้วยบุหรี่สักมวนแล้วกันนะพี่จาง” ใบหน้าของหลี่เอ้อร์ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะโยนบุหรี่ไปให้อีกฝ่าย

หลังจากที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หยางโปก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา สองคนนี่ดูเหมือนจะจงใจเลยแหะ

หยางโปเริ่มรู้สึกกลัวว่ามันจะเป็นแผนอุบายของอีกฝ่าย การแย่งลูกค้าแบบนี้ถึงแม้ว่าเจ้าของแผงลอยที่อยู่ถัดออกไปจะใจกว้าง แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี อีกอย่างหลี่เอ้อร์เองก็ลากลูกค้าถึงหน้าร้านของเขา เห็นได้ชัดเลยว่าชายคนนี้ต้องการจะใช้เจ้าของแผงลอยเพื่อยืนยันความหน้าเชื่อถือให้กับเขา

อีกอย่างธุรกิจพวกนี้ต่างก็เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงธุรกิจ ทำแบบนี้เหมือนจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับตัวเองซะมากกว่า

แม้ว่าเขาจะคาดเดาเจตจำนงของอีกฝ่ายไว้แล้ว แต่หลังจากที่หยางโปลองไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไปกับหลี่เอ้อร์ เพราะที่ตลาดมืดขนาดเล็กแห่งนี้ไม่มีของดีอะไรให้กับเขาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ต่อให้เขาเดินหาก็คงจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาลองเสี่ยงไปกับหลี่เอ้อร์เสียยังจะดีซะกว่า ถึงแม้ว่ามันจะเหมือนเป็นการบุกถ้ำเสือแต่ถ้าได้ของดีกลับไปก็คุ้มค่าที่จะลอง

และแน่นอนว่าที่เขายอมไปด้วยก็เป็นเพราะเงินบนตัวของเขามีไม่มาก ตอนนี้มีเพียงแค่ 5,000 หยวนเท่านั้นถ้าหากจะหลอกเขาก็หลอกเขาได้ไม่มากอยู่ดี

“ก็ได้ งั้นนำทางผมไปเลย” หยางโปพูดขึ้น

“ได้เลย เยี่ยมมาก! ” หลี่เอ้อร์ฉีกยิ้มออกมาจนเผยให้เห็นฟันขาวๆ ของเขา

รีวิวผู้อ่าน