ตอนที่ 1 ตายเพราะซาลาเปา
หลินเสี่ยวหว่านรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เมื่อเธอได้กลิ่นเกลือและกลิ่นคาวปลาที่เป็นเอกลักษณ์ของชายทะเล เสียงคลื่นกระทบฝั่งลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะ นี่ต้องเป็นความฝันเป็นแน่ ต้องใช่แน่ ๆ ! บ้านเกิดของเธออยู่ในเขตเมือง ชีวิตนี้เธอเคยเห็นทะเลแค่เพียงครั้งเดียวตอนไปเยี่ยมน้องสาวที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ทะเล แล้วเหตุใดตอนนี้เธอถึงได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งได้ล่ะ ?
หลินเสี่ยวหว่านพยายามลืมตาขึ้นอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากความมืดมิดได้เลย รู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังฝันร้าย เธอรู้สึกตัวแล้วแต่ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้
“พี่สาม พี่สาม ! ฮือ ๆ ๆ ....พี่สาม พี่จะตายไม่ได้นะ ! ฉีโตวไม่หิวแล้ว ฉีโตวไม่อยากกินซาลาเปาแล้ว ! พี่สาม ตื่นขึ้นมาเถอะนะ ! ” หลินเสี่ยวหว่านรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับเบา ๆ ข้างตัว และรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเขย่าแขนเธออย่างสิ้นหวัง
พี่สามงั้นหรือ ? ไม่ใช่สิ เธอเป็นลูกคนโต พ่อแม่ของเธอตายตอนเธออยู่ชั้นมัธยม ในฐานะพี่สาวคนโต เธอต้องหยุดเรียนเพื่อไปทำงานและเลี้ยงน้องด้วยตัวเอง เธอถูกเรียกว่า ‘พี่ใหญ่’ มา 20 กว่าปี แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงโดนเรียกว่า ‘ พี่สาม ’ ได้ ? ต้องมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นแน่ ๆ !
“ใจร้าย ! เด็กแค่อยากได้ซาลาเปาไปกิน นางกลับตีเด็กเหมือนกับจะฆ่าให้ตายกัน ! เสี่ยวเฉาเป็นเด็กที่ร่างกายอ่อนแออยู่ก่อนแล้ว หัวนางถูกกระแทกเข้าอย่างจังเช่นนี้นางจะรอดรึ ? ดูเลือดที่ไหลออกมาสิ ไหลมากถึงเพียงนี้นางจะรอดหรือไม่ ? ”
“แถมผู้ที่ทำก็ยังเป็นป้าของนางเอง ! ซาลาเปาลูกเดียวมิได้มีราคาอะไรเลย แล้วเหตุใดกลับทุบตีเด็กซะแรงจนหัวไปกระแทกเรือเข้า มิเคยพบเห็นคนใจคอโหดร้ายเยี่ยงนี้เลยจริง ๆ ! ”
“พ่อของเสี่ยวเฉาเป็นชาวประมงที่มีชื่อเสียงที่สุดในแถบนี้ อีกทั้งเขายังเป็นนักล่าที่เก่งฉกาจ ถ้ามิใช่เพราะเขา ครอบครัวของเฒ่าหยูคงไม่สามารถสร้างบ้าน 5 ห้องหลังใหม่และซื้อเรือใหม่ได้เป็นแน่ แล้วเหตุใดถึงให้เด็กกินซาลาเปาแค่ลูกเดียวไม่ได้ ? ”
“เด็กดูท่าทางไม่ดีเสียแล้ว เร็วเข้า ไปเรียกแม่ของเสี่ยวหลี่มาเร็ว ! หากยังชักช้านางอาจจะไม่ทันได้ดูใจลูก ! ”
“หลี่กุ้ยฮัวนี่ปากจัดแล้วก็ใจร้ายจริง ๆ หลานตัวเองแท้ ๆ นางยังกล้าทำได้ลงคอ ! เราอยู่ห่าง ๆ เอาไว้ดีกว่า ถ้าเกิดเผลอไปล่วงเกินนางเข้า อาจจะถูกแทงข้างหลังเอาได้ ! ”
...................
เสียงของคนแปลกหน้าอื้ออึงอยู่ในหูของหลินเสี่ยวหว่าน สติของเธอค่อย ๆ กลับมา เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนทรายนุ่ม ๆ และรู้สึกเจ็บที่หน้าผาก ดูเหมือนมีคนกลุ่มใหญ่อยู่รอบ ๆ ตัวเธอ
ฝันแปลกจัง เมื่อไหร่ฉันจะตื่นจากฝันบ้า ๆ นี่สักที ? !
“พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน ? ถ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็อย่ามาพูดมั่ว ๆ ! นังเด็กน่ารังเกียจนั่นขโมยซาลาเปาที่ข้าเอากลับมาจากบ้านท่านแม่ของข้า ข้าก็แค่ดุไปนิดเดียวแล้วก็ผลักนางเบา ๆ ไปสองทีเอง ใครจะไปคิดว่านางจะเอาหัวไปกระแทกกับเรือกันเล่า ? ไม่เห็นที่ข้าบอกให้ไห่สือลูกชายของข้าให้ไปเรียกหมอหรือไงกัน ? ” นางหลี่ตะคอกเสียงดัง “ร่างกายอ่อนแอของนางต้องใช้เงินไปหลายตำลึงเพื่อคอยดูแลรักษา แต่นางดันเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน นางป่วยอยู่ตลอดเวลาเหมือนแม่ของมันนั่นแหละ ! เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ ! ” นางหลี่พูดด้วยเสียงแหลมปรี๊ด ฟังเหมือนเสียงฆ้องแตกไม่มีผิด
“พี่สามไม่ได้ขโมยซาลาเปา ท่านพี่ไห่สือทำมันตกพื้น เขามิเอาแล้วเพราะมันสกปรก ! พี่สามเลยหยิบมันขึ้นมาเพราะข้าหิว ! พี่สามไม่ใช่ขโมย ! ” มันคือเสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นแต่เขาก็ยังเอ่ยออกมาได้ชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ
“ไอ้เด็กเวร ! ตัวแค่นี้ริอาจโกหกแล้วรึ ! พี่ไห่สือของแกบอกว่าพี่สามของแกขโมยมัน แล้วเหตุใดพวกแกถึงไม่ยอมรับอีก ! ข้าแค่ผลักมันเบา ๆ แค่นั้น นางอาจจะจงใจเอาหัวไปกระแทกเรือเพื่อใช้อาการบาดเจ็บหนีความผิดก็ได้ ! ”
“เมียต้าชาน เจ้าก็พูดไม่ถูก ! หัวเด็กเป็นแผลใหญ่เลือดท่วมเช่นนั้น อีกทั้งดูเหมือนนางจะหยุดหายใจอยู่แล้ว เจ้ายังกล่าวหานางว่าใช้อาการบาดเจ็บเพื่อหนีความผิดเยี่ยงนั้นรึ ! เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแบบนั้นได้เยี่ยงไรกัน ! ” เสียงคนพูดฟังดูเหมือนเสียงคนแก่ แต่ยังเต็มไปด้วยกำลังวังชาและโทสะที่ซ่อนอยู่
ใช่ ถูกต้องแล้ว ! นางเลวจริง ๆ นางทุบตีเด็กอย่างโหดร้ายเพราะซาลาเปาลูกเดียว นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นญาติกันอีกด้วย ! หลินเสี่ยวหว่านอยากลืมตาขึ้นมามองหน้าผู้หญิงใจร้ายคนนั้นว่าจะ ‘น่าประทับใจ’ สักแค่ไหน แต่หนังตาของเธอหนักอึ้งจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม
“เฉาเอ้อร์ ! ” เสียงเหนื่อย ๆ ดังขึ้น ฟังดูแล้วช่างเจ็บปวดและเป็นทุกข์กังวลเสียเหลอเกิน หลินเสี่ยวหว่านรู้สึกว่าตัวของเธอถูกยกขึ้นด้วยแขนผอมบางและอ่อนแอคู่หนึ่ง น้ำตาอุ่น ๆ หยดลงบนใบหน้าของเธอ
เป็นอ้อมกอดที่อุ่นเสียจริง ความรู้สึกของการมีแม่...นานแค่ไหนแล้วนะ ? ตั้งแต่ที่แม่เธอตายด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ตอนที่เธออายุ 14 เธอก็ไม่เคยรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเช่นนี้อีกเลย ถึงเธอจะพยายามกัดฟันสู้และทำตัวเข้มแข็ง แต่หลินเสี่ยวหว่านก็ยังรู้สึกอยากจะร้องไห้อยู่ดี
“น้องสาม...เลือดออกเต็มไปหมดเลย ! ท่านแม่ นี่มิใช่เวลามาร้องไห้ ! เรียกหมอเร็วเข้า ! ” เสียงนี้เป็นเสียงเด็กผู้หญิง อย่างมากก็อายุสัก 10 ขวบ แต่...นางเรียกใครว่า ‘ น้องสาม ’ ? คงไม่ได้เรียกฉันใช่ไหม ? อยู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกแย่ขึ้นมาในใจของหลินเสี่ยวหว่าน นี่ฉันกำลังฝันอะไรอยู่กัน ? แล้วเหตุใดฉันถึงรู้สึกเหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเยี่ยงนี้เล่า ?
โอ๊ย ! หัวฉันเจ็บจริง ๆ รวมกับความรู้สึกของการถูกกอดนั่น...นี่มิใช่ความฝันเป็นแน่ ! แต่ฉันมีชีวิตอยู่ในฐานะหลินเสี่ยวหว่านมาตั้ง 29 ปี แล้วจู่ ๆ ฉันกลายเป็น ‘ เฉาเอ้อร์ ’ ได้เยี่ยงไรกัน ?
“ถอยไป ถอยไปเร็วเข้า ! ท่านหมอโหยวมาแล้ว ! ”
“ท่านหมอโหยว ได้โปรดช่วยเฉาเอ้อร์ด้วย ! ช่วยลูกสาวของข้าด้วย ! ” ผู้หญิงที่กอดเธออยู่นางราวกับว่ามิรู้จะทำอะไรดีนอกจากร้องไห้ ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมาอ้อนวอนหมอขณะที่ตัวสั่นระริก น้ำเสียงของนางฟังดูทั้งอ่อนแรงและสิ้นหวัง
“วางเด็กลง ให้หมอห้ามเลือดก่อน... ” หลินเสี่ยวหว่านรู้สึกว่ามีมือของใครสักคนยื่นมาเช็ดเลือดบนหน้าผากของเธออย่างเบามือ พอบาดแผลของเธอถูกทำความสะอาดเสร็จแล้ว เธอก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาจนตัวสั่นอย่างรุนแรง เธอลืมตาขึ้นเล็กน้อยแต่แสงแดดกลับแยงตาเธอจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง
“นางฟื้นแล้ว นางฟื้นแล้ว ! เสี่ยวเฉาฟื้นแล้ว ! ” ชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ร้องตะโกนออกมา
หมอโหยวช่วยทำแผลให้กับเสี่ยวหลี่อย่างเบามือพร้อมกับพูดว่า “ดีแล้วที่นางฟื้น แต่ร่างกายของนางอ่อนแอมาตลอด เลือดออกมากแบบนี้ต้องให้นางพักผ่อนเยอะ ๆ แล้วก็หาอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายให้นางกินด้วย จะช่วยให้หายไวขึ้น”
หลินเสี่ยวหว่านลืมตาขึ้นเล็กน้อยและเมื่อค่อย ๆ ชินกับแสงสว่าง เธอจึงรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อมองเห็นภาพรอบ ๆ ตัว ทำไมเธอถึงถูกล้อมด้วยกลุ่มคนที่สวมเสื้อผ้ายุคโบราณ ? เธอคิดไปถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่...นี่เธอกำลังอยู่ในนิยายกลับชาติมาเกิดใหม่งี่เง่าไร้สาระพวกนั้นอยู่รึไง ?
“เฉาเอ้อร์ เจ้าฟื้นแล้วรึ ? เจ็บมากไหม ? เจ้าจงบอกกับแม่ถ้ายังรู้สึกไม่ดีตรงไหนอีก ? ” หลินเสี่ยวหว่านหันไปทางเสียงนั้นและเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและเจ็บปวด อ่า...นี่แม่ของข้ารึ ? ไม่เด็กเกินไปหน่อยรึไง ? นี่มิได้ดูแก่กว่าตัวข้าเองมากนักเลยนะ
“น้องสาม ใครเป็นคนทำเจ้าเช่นนี้ ? ข้าจะไปด่าพวกมันให้เอง ! ” เด็กหญิงตัวเล็กผอมบางที่ดูเหมือนอายุน้อยกว่า 10 ขวบคนนี้เป็นพี่สาวของเธอรึ ? หลินเสี่ยวหว่านลืมตาโตแล้วก้มลงมองตัวเอง เธอเห็นมือเล็ก ๆ คู่หนึ่งกับร่างกายเล็ก ๆ หลังจากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นอยู่ในใจ สวรรค์เห็นใจที่ชาติก่อนเธอมีชีวิตวัยเด็กที่ลำบากลำบนก็เลยให้โอกาสเธอได้มีชีวิตวัยเด็กอีกครั้งงั้นหรือ ?
แต่ว่าเหตุใดสวรรค์ไม่ให้ครอบครัวที่ดีกว่านี้กับเธอกันเล่า ? ทั้งครอบครัวอยู่ในชุดเก่าซอมซ่อราวกับผ้าขี้ริ้ว หน้าตาก็ดูซูบผอม อีกทั้งยังจนถึงขนาดที่หยิบซาลาเปาที่คนอื่นโยนทิ้งแล้วขึ้นมากิน นี่มันไม่น่าอนาถเกินไปหน่อยรึ ?
หลินเสี่ยวหว่านค่อย ๆ ได้สติหลังจากที่ตกใจที่ได้กลับมาเกิดใหม่ ในเมื่อมาแล้วก็คงต้องไหลไปตามสถานการณ์ น้อง ๆ ของเธอในชาติที่แล้วต่างก็มีงานมีการทำและมีครอบครัวของตัวเองกันแล้ว ได้เวลาที่เธอจะถอยออกมาพักผ่อนบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกสงสัยว่าน้อง ๆ ของเธอจะเสียใจที่เธอ ‘จากไป’ อย่างกะทันหันหรือไม่
หลินเสี่ยวหว่านตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง เมื่อเธอคิดย้อนกลับไปตอนที่เธออายุ 15 ปี ตอนนั้นเธอเพิ่งขึ้นมัธยมปีที่ 2 พ่อแม่ของเธอออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพื่อไปขายผักอย่างที่เคยทำตามปกติ แต่พวกเขากลับได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทางและเสียชีวิต พวกญาติ ๆ ของเธอจัดงานศพพ่อแม่ของเธออย่างเร่งรีบแล้วก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าเด็กกำพร้าสามคนจะเกาะติดพวกเขาไปด้วย
ในฐานะพี่สาวคนโต เธอจึงได้ออกจากโรงเรียนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และแบกรับความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูน้อง ๆ ของเธอเอาไว้บนบ่าอันผอมบางของเธอเพียงลำพัง ปีนั้นน้องสาวของเธออายุ 12 ปี ขณะที่น้องชายของเธอเพิ่งจะ 10 ปีด้วยซ้ำ
ในตอนที่เธออายุ 14 ปี เธอไม่เพียงแค่ดูแลไร่ 3 หมู่ของครอบครัวเท่านั้น แต่เธอยังทำงานอีกหลายอย่างเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมของน้อง ๆ เธอกลัวว่าอายุของเธอจะทำให้ไม่มีใครรับเข้าทำงาน เธอจึงจำเป็นต้องโกหกไปว่าอายุ 17 และเธอแค่ดูเด็กเท่านั้น
เธอขายผัก ช่วยผู้อื่นขายผลไม้ และยังทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ อีกทั้งยังเคยทำงานในโรงงานอีกด้วย...หลังจากนั้น เถ้าแก่เนี้ยของร้านอาหารตุ๋นก็ได้ช่วยเหลือเธอหลังจากสังเกตเห็นว่าเธออดทนทำงานหนักได้และเป็นคนซื่อสัตย์และมีจิตใจที่ดี เถ้าแก่เนี้ยสงสารเธอจึงจ้างเธอไว้ให้ช่วยงานในร้าน
ร้านอาหารตุ๋นให้สวัสดิการดีทีเดียว มีทั้งที่พักและอาหาร เงินเดือนก็สูงกว่าร้านอื่น เถ้าแก่เนี้ยสอนสูตรลับอาหารตุ๋นให้เธอโดยไม่หวงแหนวิชาเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเถ้าแก่เนี้ยก็ตัดสินใจกลับไปอยู่อาศัยที่บ้านเกิดของนางในบั้นปลายชีวิต และได้ขายร้านอาหารตุ๋นที่ขายดีและมีชื่อเสียงให้เธอในราคาถูก ร้านอาหารตุ๋นนี้ทำให้เธอมีเงินมากพอสนับสนุนให้น้อง ๆ ของเธอเรียนในชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายได้...
น้องสาวของเธอเป็นเด็กฉลาด เธอปวดใจทุกครั้งที่เห็นพี่สาวต้องตื่นขึ้นทำงานตั้งแต่ฟ้ายังมืดเพื่อส่งเสียเธอเรียนหนังสือ หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย น้องสาวของเธอก็ไม่ยอมเข้าสอบเอนทรานซ์โดยไม่บอกเธอ และแอบตามเด็กสาวคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านไปหางานทำทางภาคใต้
หลินเสี่ยวหว่านร้องไห้อย่างเจ็บใจอยู่นานเมื่อรู้เรื่องนี้เข้า เธอเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์และถ่วงความเจริญของน้องสาว ต่อให้เข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ ไม่ได้ น้องสาวของเธอก็น่าจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้จากเกรดของเธอแล้ว
น้องชายของเธอก็ได้อันดับหนึ่งของชั้นเรียนอยู่เสมอมาตั้งแต่เด็ก เขาสอบข้ามชั้นได้ทั้งตอนประถมและมัธยมต้น ตอนเขาอายุ 15 ปี เขาเรียนอยู่มัธยมปลายปี 2 แล้วเขาได้ตื้ออาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเพื่อให้ช่วยเขาลงทะเบียนสอบเอนทรานซ์ เขาเลือกแค่ ‘โรงเรียนเตรียมทหาร’ เป็นตัวเลือกแรกตัวและตัวเลือกเดียว เขาปล่อยช่องอื่น ๆ ให้ว่าง
โรงเรียนเตรียมทหารไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอีกทั้งมีเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย คนที่ทำคะแนนได้ยอดเยี่ยมจะได้เข้ากองทัพและได้ติดยศ ! เธอรู้ว่าน้องชายของเธอแค่อยากลดภาระของเธอเท่านั้น !
14 ปีผ่านไปในชั่วพริบตา น้องสาวของเธอทำงานไปและเรียนต่อด้วย เธอได้รับปริญญาตรี หลังจากนั้นก็ได้เป็นพนักงานออฟฟิศและพบรักกับชายหนุ่ม
น้องชายของเธอมีผลงานที่โดดเด่นขณะเรียนอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร เขาเรียนจบตอนอายุ 19 ปีและได้รับแต่งตั้งให้ไปอยู่ที่ค่ายทหารจินหลิง เขาเป็นทหารที่อายุน้อยที่สุดในค่าย หลังจากนั้นน้องชายที่หล่อเหลาสูงสง่าของเธอผู้เป็นเลิศในทุกด้านก็เป็นที่สนใจของรองผู้บัญชาการของค่ายนั้น รองผู้บัญชาการได้แนะนำหลานสาวของเขาให้น้องชายของเธอและพวกเขาก็ตกหลุมรักกัน
ตอนที่พวกเขาแต่งงาน น้องสาวของเธอได้พาสามีและลูกชายอายุ 1 ขวบไปร่วมงานแต่งด้วย หลังจากเห็นน้อง ๆ ของเธอมีครอบครัวที่มีความสุขของตัวเองแล้ว เธอก็มีความสุขมากจนดื่มไวน์ไปสองสามแก้ว...
หลังจากเลิกงานแต่งงานแล้ว เธอเดินลงบันไดและก้าวพลาดตกบันไดลงมา...เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็เข้ามาอยู่ในร่างของเด็กหญิงชาวประมงที่อ่อนแอคนนี้ไปเสียแล้ว...