ตอนที่ 3 หินสีรุ้งปริศนา
หยูเสี่ยวเฉาถูกวางลงบนเตียง นางมองท่าทางรักใคร่ของนางหลิวแล้วไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดีในตอนนี้ แม้ว่าแม่คนนี้จะอ่อนแอและพึ่งพามิได้ แต่ในที่สุดนางก็ได้มีแม่ที่รักนางอีกครั้งหลังจากที่ผ่านมา 14 ปี
หยูฮังลูบผมของเสี่ยวเฉาแล้วพูดกับแม่ว่า “ท่านแม่ น้องสามอ่อนแอและป่วยบ่อยมาตั้งแต่เกิด ครานี้ถึงกับเจ็บหนัก...ท่านปู่โหยวบอกให้เราเอาอาหารดี ๆ มีประโยชน์ให้น้องสามกิน จะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น ”
ทั้งห้องเงียบกริบไปครู่หนึ่ง นางหลิวคิดถึงความขี้เหนียวของแม่สามีแล้วจึงเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด พอแม่ออกไป ฉีโตวก็เข้ามาใกล้ ๆ แล้วเอามือเย็น ๆ ลูบหน้าพี่สาว เขากระซิบด้วยเสียงเล็ก ๆ ของเด็กว่า “ ท่านพี่ นอนพักก่อนเถิดจะได้หายเร็ว ๆ พรุ่งนี้ข้าจะเอาไข่มาให้ท่านพี่กิน... ”
หยูเสี่ยวเฉายิ้มให้เด็กน้อย นางคุยกับเขาสักพักจนรู้สึกอ่อนเพลีย ก่อนที่นางจะหลับไป นางได้ยินนางหลิวเอ่ยกับนางจางอย่างขลาดกลัวว่า “ท่านแม่ หมอบอกว่าร่างกายของเฉาเอ้อร์อ่อนแอ นางต้องได้กินอาหารที่ช่วยบำรุงบ้าง นี่เฉาเอ้อร์ได้กินแค่ข้าวต้มไม่กี่คำตอนเช้าเท่านั้น ข้าอยากทำซุปใส่ไข่ให้ลูกข้าทานเจ้าค่ะ”
“กิน กิน กิน ! ต่อให้เป็นคนรวยก็รับไม่ไหวหรอกนะกับสารพัดค่าที่ต้องจ่ายเพราะอาการเจ็บป่วยของพวกเจ้าทั้งหลาย ทั้งค่าหมอค่ายา เงินทั้งนั้น ! เราต้องขายไข่ตอนตลาดเปิดครั้งหน้า ในไหยังมีข้าวอยู่นี่ เอาไปทำโจ๊กสักถ้วยไป... ”
เดิมทีร่างกายของหยูเสี่ยวเฉาก็อ่อนแออยู่แล้วและเพิ่งเสียเลือดไปมาก ในที่สุดนางก็ทนความง่วงไม่ไหวจึงค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
ครานี้นางหลับไปนาน แม้ว่าตอนที่พวกเขาป้อนโจ๊กและยาให้นางก็ยังไม่รู้สึกตัว นางรู้สึกราวกับตกลงสู่ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดอีกครั้ง ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหลบหนีออกจากความสิ้นหวังนี้ได้
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ ขณะที่นางกำลังจะยอมแพ้และยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี ก็มีแสงสลัว ๆ ขึ้นในความมืด มีเสียงหวาน ๆ แต่ตื่นตระหนกดังขึ้นในหัวของนาง
‘ซวยแล้ว ! นี่ข้าไปผูกสัญญากับมนุษย์ที่อ่อนแอแบบนี้ได้เยี่ยงไร ? แล้วทีนี้ข้าจะทำยังไงดี ? ทำเยี่ยงไรดี ? หรือว่า...มิต้องสนใจนาง ถ้าหากนางตาย ความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับข้ารับใช้ของข้าก็จะถือเป็นโมฆะ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะออกมาได้อีกเมื่อไหร่นี่สิ ! ’
หลิงเอ้อร์ได้ปิดผนึกพลังวิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ไปเกือบหมด แล้วทิ้งมันเอาไว้ในโลกมนุษย์ มันรอคอยถึง 800 ปีถึงจะถูกมนุษย์ผู้นี้เก็บมันขึ้นมา แต่นางดันจะมาตายซะก่อนที่มันจะได้ทำความรู้จักกับเจ้านายของมันน่ะรึ ?
มันใช้ได้พลังวิญญาณที่เหลืออยู่ทั้งหมดพาวิญญาณของมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ไปยังอีกโลกหนึ่งและหาร่างที่เหมาะสมเพื่อให้นางคืนชีพ ถ้าหากมิช่วยนางก็อาจจะต้องใช้เวลาอีก 800 ปีกว่าที่มันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เฮ้อ...ยอมอ่อนแอลงสักเล็กน้อย ยังดีกว่าอยู่ในความมืดไปตลอดกาล แต่บาดแผลที่ศีรษะของนาง...ดูเหมือนจะต้องใช้พลังวิญญาณที่มีอยู่น้อยนิดช่วยรักษา...
ขณะที่หยูเสี่ยวเฉากำลังทึ่งกับลูกบอลที่มีแสงอีกทั้งยังช่างพูดลูกนั้น นางจึงรู้สึกเย็นที่บาดแผลตรงหน้าผาก ความเจ็บปวดก็หายไปด้วย ความมืดรอบตัวค่อย ๆ หายไป นางจึงลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
แสงตะเกียงสลัว ๆ ในห้องทำให้นางมองเห็นนางหลิวที่นอนอยู่ริมเตียง ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองได้อย่างชัดเจน
หยูเสี่ยวเฉานึกถึงความฝันแปลก ๆ เมื่อครู่จึงยกแขนขึ้นแตะหน้าผาก มันไม่เจ็บแล้วจริง ๆ นั่นมิใช่ความฝันหรอกรึ ? ลูกบอลสีทองที่เรียกตัวเองว่า ‘ หินศักดิ์สิทธิ์ ’ มีอยู่จริง ๆ รึ ? อีกทั้งมันยังรักษาอาการบาดเจ็บที่หัวของนางได้อีกด้วย ?
หยูเสี่ยวเฉารู้สึกร้อนอบอ้าวเนื่องจากถูกผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้จนมิด นางจึงดึงแขนออกจากผ้าห่มและสังเกตเห็นสร้อยข้อมือที่เป็นเชือกสีแดงบนข้อมือผอม ๆ ของนาง มีหินหลากสีร้อยอยู่ นี่คือหินเล็ก ๆ ที่นางเก็บขึ้นมาจากลำธารที่ภูเขาใกล้กับพระราชวังโปตาลาตอนที่นางไปเที่ยวพักผ่อนมิใช่รึ ?
หินนั่นมีขนาดเท่าลูกแก้ว ดูกลมเกลี้ยงและเรียบลื่นขณะที่อยู่กลางลำธาร นางหยิบมันขึ้นมาเพราะคิดว่ามันสวยดี หลังจากเก็บมันกลับมา นางก็เจาะรูแล้วร้อยเชือกสีแดงสวมไว้ที่ข้อมือ หลังจากนั้นตอนที่นางกำลังทำอาหารตุ๋นอยู่ นางก็รู้สึกว่ามันไม่สะดวกเวลาทำงาน หญิงสาวเลยถอดมันทิ้งไปแล้วก็ลืมมันไปเสียสนิท ทำไมมันมาเกิดใหม่กับนางได้ล่ะ ?
“เฉาเอ้อร์ ตื่นแล้วรึลูก ? เจ้าหลับไปถึง 3 วัน ถ้าวันนี้เจ้ายังมิตื่นแม่ว่าจะพาเจ้าเข้าเมืองไปหาหมอ” นางหลิวที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวจึงผงกหัวขึ้น นางร้องไห้ออกมาอย่างดีใจเมื่อเงยหน้ามาเห็นลูกสาวของนางกำลังจ้องมองหินสีรุ้งบนข้อมือของนางอยู่
หยูเสี่ยวเฉาจ้องมองนางหลิวอย่างตั้งใจ ความประทับใจแรกของนางเกี่ยวกับแม่คนนี้คือนางผอม แม้ว่านางจะมีใบหน้าที่สวยและดูอ่อนโยน แต่ก็ดูผอมและซีดเซียว มือที่กำลังห่มผ้าให้นางใหม่นั้นทั้งหยาบกระด้างและมีแผลเป็น มองดูเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่านางใช้มือทำงานหนักอย่างต่อเนื่องมาตลอด
“ท่านแม่... ” แม้ว่านางหลิวจะไม่ได้แก่ไปกว่านางในอดีตมากนัก แต่ความรักของแม่ในแววตาของนางทำให้เสี่ยวเฉารู้สึกซาบซึ้ง นางจึงอดเรียกแม่ไม่ได้ ไม่มีใครมองนางด้วยสายตารักใคร่แบบนั้นมาตั้งแต่แม่ของนางเสียชีวิตไปตอนที่นางอายุ 14 ปี หยูเสี่ยวเฉาเริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้
“อย่าร้องนะลูก เฉาเอ้อร์ เจ้ายังเจ็บแผลอยู่รึ ? แม่เป่าให้เจ้าเอง... ” หลิวมู่หยุนเป่าหัวที่พันผ้าพันแผลของลูกสาวอย่างอ่อนโยน แล้วนางก็หันหลังไปเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่นางท้องฝาแฝด นางบังเอิญล้มในน้ำตอนที่กำลังซักผ้าและคลอดก่อนกำหนด แม้ว่าเสี่ยวเหลียนจะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย แต่นางก็โตขึ้นมาอย่างแข็งแรง แต่สำหรับเสี่ยวเฉานั้นต่างกัน ตอนแรกนางดูดนมด้วยตนเองมิได้ด้วยซ้ำ นอกจากนั้นยังป่วยบ่อย หลายครั้งที่ป่วยหนักจนเกือบเอาชีวิตมิรอด
ลูกของนางต้องกินยาตลอดทั้งปี แต่ครอบครัวของนางก็ยังอยู่ได้ เงินที่สามีของนางหามาได้จากการหาปลาและล่าสัตว์ต้องมอบให้แม่สามีของนางทั้งหมด ทุกครั้งที่นางขอเงินแม่สามีเพื่อซื้อยา แม่สามีไม่เคยเต็มใจที่จะให้และจะพูดจาร้าย ๆ ใส่ตลอด พี่สะใภ้ใหญ่ก็มักจะคอยพูดจาเยาะเย้ยอยู่ข้าง ๆ
นางทนได้ทุกอย่างเพื่อลูก แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าลูกสาวของนางจะเกือบตายด้วยมือของพี่สะใภ้ใหญ่ หมอได้กำชับพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าให้เสี่ยวเฉากินอาหารดี ๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย แต่แม่สามีของนางก็ไม่ยอมให้แม้กระทั่งไข่ฟองเดียว
หลิวมู่หยุนมองท้องฟ้าที่มืดยามราตรีด้วยสีหน้าอับจนหนทาง นางแต่งงานเข้ามาในตระกูลหยู 13 ปีแล้ว ทุกวันนางต้องตื่นเป็นคนแรกและนอนเป็นคนสุดท้าย นางเหนื่อยจนเหมือนจะหมดแรงอยู่เสมอเพราะต้องรับผิดชอบงานบ้านเกือบทั้งหมด
นางมิได้กลัวเหนื่อย แต่แม่สามีของนางไม่เคยพอใจในตัวนางเลยไม่ว่านางจะทำอะไร นางต้องทนกับคำพูดต่อว่าเหน็บแนมและสายตาเรียกร้องอยู่บ่อย ๆ แม้แต่กับลูกของนางก็ถูกแม่สามีปฏิบัติแย่ ๆ ด้วย
นางพึ่งใครในครอบครัวนี้ไม่ได้เลย พี่สะใภ้ใหญ่ทำเสี่ยวเฉาบาดเจ็บและนอนไม่ได้สติอยู่ถึง 3 วัน แต่ครอบครัวของพี่ใหญ่ก็มิได้โผล่หน้ามาดูเลยสักครั้ง มีแค่น้องสาวคนเล็กของสามีกับพ่อสามีเท่านั้นที่มาดูอาการของเสี่ยวเฉา...
“เฉาเอ้อร์ หิวไหมลูก ? อาเล็กของเจ้าเอาไข่มาให้ด้วยละ แม่จะเอาใส่น้ำร้อนไว้มันจะได้อุ่น ๆ ” หลิวมู่หยุนปอกเปลือกไข่ให้ลูกสาว นางมองลูกกินไข่อย่างช้า ๆ แล้วยิ้มอย่างพอใจ นางจึงพูดต่อว่า “เด็กดี เจ้าพักผ่อนอีกหน่อยนะลูก แม่จะไปเตรียมข้าวเย็น พอเจ้าตื่น โจ๊กของโปรดเจ้าจะได้พร้อมกิน แม่จะทำให้ข้นแล้วใส่ผักดองให้ด้วย เดี๋ยวแม่เอาโจ๊กถ้วยใหญ่ ๆ มาให้เฉาเอ้อร์กินนะ ! ”
หยูเสี่ยวเฉาจำสิ่งที่ได้ยินก่อนที่นางจะหลับไปได้ ย่าของนางไม่ยอมให้ไข่กับแม่ของนางเมื่อตอนที่ท่านไปขอ ดูเหมือนครอบครัวของนางแทบจะไม่มีโอกาสได้กินของดี ๆ อย่างข้าวขาวและแป้งสาลี
สำหรับโจ๊กถ้วยนี้ นางหลิวคงจะต้องทนให้คนจิกกัดดูถูกกันอย่างโหดร้ายอีกเป็นแน่ คิดแล้วนางก็รู้สึกปวดใจ “ท่านแม่ ข้ากินทุกอย่างที่ทุกคนกินได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องทำแยกเฉพาะของข้าหรอก วันนี้ข้าได้กินไข่ไปแล้ว ? ”