px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 5  โกหกหน้าตาย


ตอนที่ 5  โกหกหน้าตาย

 

ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ เสียงวิหคที่บินผ่านบ้านของนางดังเจี๊ยวจ๊าว ไก่เริ่มโก่งคอขันอยู่ที่ลานบ้าน หยูเสี่ยวเหลียนพี่สาวฝาแฝดของหยูเสี่ยวเฉาแต่งตัวอย่างเงียบ ๆ

 

หยูเสี่ยวเฉาหลับไปเยอะในตอนกลางคืน การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของพี่สาวจึงทำให้นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทันที นางขยี้ตาและมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่ามันยังเช้าตรู่อยู่จึงพึมพำว่า  “เหตุใดเจ้าถึงตื่นเช้าเยี่ยงนี้ ? ”

 

หยูเสี่ยวเหลียนอ้าปากหาวขณะใส่เสื้อที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน นางมองนางหลิวที่กำลังหลับอยู่บนเตียงแล้วกระซิบว่า “พี่ทำเจ้าตื่นอย่างงั้นรึ ? เมื่อวานท่านแม่นอนดึก ข้าเลยอยากจะทำงานให้มากขึ้น ท่านแม่จะได้พักเพิ่มอีกสักหน่อย เจ้าเองก็ควรนอนต่ออีกนิดนะ มันยังเช้าอยู่...”

 

เสี่ยวเฉามองแผ่นหลังผอมบางของเสี่ยวเหลียน นางอายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น ถ้าหากว่าเป็นยุคสมัยใหม่นางก็จะเป็นเพียงแค่เด็กประถมที่ยังทำท่าทางเหมือนเด็กงอแงเอาแต่ใจต่อหน้าพ่อแม่ แต่ยุคนี้นางกลับต้องเป็นผู้ช่วยหลักในครอบครัวนี้แล้ว

 

ที่ลานบ้านเสียงของนางจางเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง “นี่มันกี่ยามแล้ว ? เหตุใดยังไม่เริ่มหุงข้าวทำอาหารอีก ? อย่าคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ตามใจเพราะมีคนเจ็บอยู่ในครอบครัวนะ ! ”

 

นางจางเป็นคนที่เลือกเหยื่อได้อย่างชาญฉลาด นางรู้ว่านางหลิวมีนิสัยยอมคน และหยูไห่ก็เป็นลูกที่เชื่อฟัง ดังนั้นนางจึงจับพวกเขาเอาไว้ในกำมือได้ นางน่าจะเกรงใจเฒ่าหยูอยู่บ้างจึงทำดีกับพวกเขามากขึ้นนิดหน่อยตอนที่พวกผู้ชายอยู่ที่บ้าน

 

หยูเสี่ยวเฉาขมวดคิ้วอย่างรำคาญเมื่อได้ยินเสียงนางจางตะโกนตั้งแต่เช้าตรู่ นางมีอคติต่อย่าและป้าใหญ่ พวกเขามักจะจิกกัดครอบครัวนางอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้นนางยังมีลูกพี่ลูกน้องที่ทั้งตะกละและขี้เกียจซึ่งชอบรังแกพวกเขาอยู่ตลอด... ชาติก่อนนางเลี้ยงน้องชายกับน้องสาวมาด้วยตัวเอง  แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ยากลำบาก แต่พวกเขาก็ไม่เคยเจอเรื่องคับข้องใจแบบนี้

 

สองสามที่ผ่านมานี้ นอกจากต้องทำงานบ้านอย่างหนักแล้ว นางหลิวยังต้องคอยดูแลลูกสาวตอนกลางคืนด้วย นางจึงแทบไม่มีเวลานอนเลย เดิมทีร่างกายของนางก็อ่อนแออยู่แล้ว นางผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ใบหน้าก็ซีดเซียว แถมยังมีรอยคล้ำใต้ตาอีกด้วย

 

นางหลิวรีบลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากข้างนอก แต่เมื่อนางลุกจากเตียง นางก็เซไปสองสามก้าวก่อนจะตั้งตัวได้

 

หยูเสี่ยวเฉารีบลุกขึ้นจากเตียงไปช่วยพยุงแม่ของนางให้มานั่งที่เตียงและพูดว่า “ท่านแม่ สุขภาพของท่านก็ไม่ดีเหมือนกัน ท่านแม่น่าจะพักอีกสักหน่อยนะ ไม่ได้ทำอาหารสักวัน พวกเขาไม่อดตายกันหรอก ! ถ้าท่านแม่ป่วย ท่านพ่อจะเสียใจเอาได้นะเจ้าคะ... ”

 

จากที่สังเกต หยูไห่พ่อใหม่ของนางไม่เพียงตามใจลูก ๆ เท่านั้น เขายังรักภรรยาของเขามากอีกด้วย  ถ้าเขาอยู่ที่บ้าน เขาจะรีบเข้ามาทำงานแทนภรรยาอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขาออกไปหาปลา ขายปลา และล่าสัตว์ทุกวัน ดังนั้นจึงแทบไม่ได้อยู่ติดบ้าน ไม่อย่างนั้นสุขภาพของนางหลิวคงไม่ทรุดโทรมถึงเพียงนี้

 

“เด็กโง่ ! เจ้าไปเอาคำพูดพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ? ” ใบหน้าซีดเซียวของหลิวมู่หยุนขึ้นสีชมพูเรื่อๆ

 

“เสี่ยวเหลียนทำงานเองคนเดียวมิได้หรอก แม่จะไปช่วยเอง... ” หลิวมู่หยุนอยากเดินไปที่ประตู  แต่นางก็ถูกลูกสาวดึงให้กลับมานั่งบนเตียง

 

“ท่านแม่มิต้องสนท่านย่าหรอกเจ้าค่ะ ก็แค่คนแก่วัยทอง ! ทำเป็นมิได้ยินเสียแล้วก็มิต้องเก็บมาใส่ใจด้วย... ” หยูเสี่ยวเฉาหยุดนิดนึงก่อนจะตะโกนเสียงดัง ๆ ว่า “ ท่านแม่ ท่านแม่ ! ท่านแม่เป็นอะไรไป ? ท่านย่าเร็ว ๆ เข้า ! ท่านแม่เป็นลม ! ”

 

หลิวมู่หยุนนั่งมองลูกสาวอยู่ที่ริมเตียงอย่างตกตะลึง ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร หยูเสี่ยวเฉาก็กระซิบว่า “ ท่านแม่เหนื่อยจนเป็นลม ทำไมยังไม่นอนลงไปอีก ? ” หลังจากลูกสาวของนางฟื้นขึ้นจากอาการบาดเจ็บก็ฉลาดขึ้นมามากนัก อีกทั้งยังเฉียบแหลมเด็ดขาดและมีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น แต่นางก็ไม่รู้ว่าลูกสาวของนางไปเรียนรู้มาจากที่ใดกัน หลิวมู่หยุนแตะเบา ๆ ที่หน้าผากของลูกสาวแล้วยอมนอนลงไปแต่โดยดี

 

ทันทีที่หลิวมู่หยุนหลับตา นางจางก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับบ่นว่า “เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ ? สร้างปัญหาได้ตลอดเลยนะ เสี่ยวเฉา ทำไมแม่ของเจ้าถึงเป็นลมไปได้ ? ”

 

“ท่านแม่ต้องดูแลข้าเลยไม่ได้นอนหลายวันเจ้าค่ะ ตอนที่ท่านย่าตะโกนว่าไม่มีใครทำอาหารเมื่อครู่ ท่านแม่รีบลุกขึ้นแล้วก็ล้มลงไปเลย ตอนนี้ยังไม่ได้สติ กว่าข้าจะพาท่านแม่ขึ้นไปที่เตียงได้...ท่านย่าข้าว่า เราควรให้หมอโหยวมาดูอาการท่านแม่นะคะ ข้ากลัวว่าท่านแม่จะไม่ตื่น ฮือ ๆ ๆ... ”

 

หยูเสี่ยวเฉาเอามือปิดหน้าแล้วแกล้งร้องไห้ นางจางขมวดคิ้วมองลูกสะใภ้คนรองที่ผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก แล้วก็อดพึมพำในใจไม่ได้ว่า  ‘เมียขี้โรคของหยูไห่คงไม่ได้ป่วยจริง ๆ ใช่หรือไม่ ? ถ้าป่วยจริง ๆ งั้นเราก็ต้องเสียเงินอีกน่ะซิ ! ’

 

นางหันไปทางหยูเสี่ยวเฉาแล้วพูดว่า “ ไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหรอก แม่ของเจ้าแค่หลับเพราะเหนื่อยเกินไปน่ะ อย่าทำตัวเป็นเด็กขี้กลัวสิ แล้วอย่าไปรบกวนแม่ของเจ้าด้วย ปล่อยให้นางพักผ่อนเยอะ ๆ ก็เพียงพอแล้ว ! ”

 

เมื่อนางจางเดินออกไปก็ได้ยินสะใภ้ใหญ่บ่นเรื่องมิมีคนทำอาหาร นางจึงระเบิดความโกรธใส่ว่า “กิน กิน กิน ! อดแค่มื้อเดียวไม่ตายหรอก ! แค่นี้ครอบครัวของเราก็มีปัญหาไม่พอรึไง ! หยุดส่งเสียงหนวกหูตอนเช้าได้แล้ว ! ถ้าอยากกินก็ไปทำเอง ไม่เห็นหรือไงว่าเสี่ยวเหลียนกำลังทำงานอยู่น่ะ ? ”

 

หยูไซตี้อาเล็กของเสี่ยวเฉาออกมาจากห้องของตัวเองเงียบ ๆ นางหยิบฟืนขึ้นมาและกำลังจะไปก่อไฟที่ครัว แต่นางจางก็ไม่ยอมให้ลูกสาวของนางทำอาหาร นางหยิบไม้กวาดขึ้นมาและตีไปที่แขนของสะใภ้ใหญ่ที่ยืนพิงกำแพงอาบแดดอยู่ “แกมันคนมิมีไหวพริบ รีบไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้ ! อยากให้น้องเล็กที่ยังเป็นเด็กอยู่ต้องมาคอยรับใช้เจ้ารึไง ? ”

 

หยูเสี่ยวเฉาพูดไม่ออก นางดูแลห่วงใยแค่ลูกสาวของตนเองโดยไม่สนใจลูกสาวคนอื่นเลยแม้แต่น้อย หยูเสี่ยวเหลียนอายุแค่ 8 ขวบ ซึ่งนางอายุน้อยกว่าลูกสาวนางจากเยอะมาก เสี่ยวเหลียนทำงานยุ่งตลอดทั้งวันมิเห็นจะมาสนใจใยดี แต่พอลูกสาวตัวเองแบกฟืนนิดหน่อยทำจะเป็นจะตาย

 

นางหลี่จับแขนที่โดนตีแล้วเดินบ่นเข้าครัว นางก่อไฟและเริ่มทำอาหารเช้าอย่างเลี่ยงไม่ได้พร้อมกับด่าไปด้วย

 

เมื่อหยูเสี่ยวเฉาเห็นว่าแม่หลับไปแล้ว นางจึงออกจากห้องไปเงียบ ๆ และปิดประตูอย่างเบามือ นางหยิบกะละมังขึ้นมาและเดินไปช่วยเสี่ยวเหลียนให้อาหารไก่

 

แต่หยูเสี่ยวเหลียนรีบคว้ากะละมังไปจากนางทันที เด็กหญิงมองที่ผ้าพันแผลของน้องสาวแล้วกระซิบว่า “เจ้ายังเจ็บอยู่เลย ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำงานได้เยี่ยงไร ? เจ้าหิวหรือไม่ ? ไปนั่งก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวข้าวเช้าก็เสร็จแล้ว ! ”

 

นางหลี่ไม่ได้ทำครัวมาหลายปี นางจึงมีเหงื่อออกชุ่มขณะที่กำลังเตรียมอาหารเช้าให้ทั้งครอบครัว  ในยุคนี้พวกเขาจะกินข้าวแค่สองมื้อ โดยปกติก็ประมาณยามซื่อ*และยามเซิน** แต่นี่เกือบเที่ยง อาหารเช้าเพิ่งจะเสร็จ

 

ซุปถั่วมีรสไหม้ ส่วนแผ่นแป้งสาลีก็แห้งแข็งจนแทบจะติดคอตาย หยูต้าชานลูกชายคนโตที่เพิ่งกลับจากการหาปลา เมื่อได้ชิมซุปถั่วกับแป้งสาลีแล้ว เขาก็ระงับความโกรธเอาไว้ไม่ได้ “จะกินเข้าไปได้เยี่ยงไร ?  แผ่นแป้งแข็งเหมือนกับหิน นี่เจ้าคิดว่ามันกินได้ด้วยรึ ? ”

 

“ถามเมียเจ้าซิ ! ข้าสั่งให้ไปทำอาหาร แล้วนางก็เข้าครัวไปตั้งแต่ยามซื่อ แต่นี่คือสิ่งที่ได้หลังจากหมกอยู่ในครัวเกือบชั่วยาม ! ” นางจางหักแผ่นแป้งมาชิ้นนึงแล้วพยายามเคี้ยวอย่างหนัก ในที่สุดนางก็กลืนลงไปได้หลังซดซุปถั่วไป 2 ช้อน

 

ซุปถั่วของตระกูลหยูทำด้วยแป้งถั่วเหลืองผสมกับลูกเดือยเล็กน้อย ในซุปจึงมีรสถั่วอยู่มาก พอไหม้มันก็ยิ่งมีรสเปรี้ยว

 

“สะใภ้รองอยู่ไหน ? เหตุใดวันนี้ถึงมิออกมาทำอาหารเล่า ? ” เฒ่าหยูขมวดคิ้วพร้อมกับวางแผ่นแป้งสาลีในมือลงแล้วถามขึ้น

 

หยูเสี่ยวเฉาตอบอย่างรวดเร็วว่า “ท่านแม่เหนื่อยมากจนเป็นลมเจ้าค่ะ ตอนนี้ยังนอนไม่ได้สติอยู่ที่เตียงอยู่เลยเจ้าค่ะ ”

 

“เจ้าว่าไงนะ ? แม่ของเจ้าเป็นลมงั้นรึ ? เยี่ยงนั้นพ่อขอไปดูนางก่อน ! ” หยูไห่รีบวิ่งไปที่ห้องทั้งที่ยังมิได้กินอะไรลงท้องเลยแม้แต่น้อย

*ยามซื่อ = เวลา 9.00 – 11.00 น.

** ยามเซิน = เวลา  15.00 – 17.00 น.

รีวิวผู้อ่าน