px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 9  การเดินทางที่คุ้มค่า


ตอนที่ 9  การเดินทางที่คุ้มค่า

 

หยูเสี่ยวเฉาถูจมูกอย่างอับอายในความไม่รู้ของตัวเอง นางเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองบนแผ่นดินใหญ่ก็เลยไม่รู้ถึงอันตรายในทะเล ก็หน้าตามันดูเหมือน ‘เห็ด’ สีขาว ๆ ใส ๆ นี่ แต่กลับมีพิษถึงตายได้เสียอย่างนั้น วันนี้นางได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แล้ว !

 

‘ซ่า ! ’ เด็ก ๆ ได้ยินเสียงน้ำสาดกระเซ็นจึงหันไปมอง พวกเขาเห็นหยูไห่เดินขึ้นมาจากน้ำ เขาไม่ได้สวมเสื้อ เผยให้เห็นหน้าอกที่กำยำแข็งแรงของเขา

 

“เฉาเอ้อร์ เจ้าดูสิว่าพ่อเจออะไร ! ” หยูไห่ตะโกนพร้อมกับฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวเต็มปาก ทำให้หน้าเขายิ่งดำเข้าไปอีก แต่ผิวสีแทนทำให้เขาดูดีมาก ๆ !

 

ฉีโตวรีบวิ่งเข้าไปหาและตะโกนว่า “หอยเป๋าฮื้อ ! หอยเป๋าฮื้อนี่ ! ท่านพ่อเจอหอยเป๋าฮื้อด้วยล่ะ ! ”

 

เสี่ยวเฉาอยากรู้มากจึงรีบเข้าไปหา นางเห็นหอยสีเขียวเข้มอมน้ำตาลในมือของหยูไห่ แต่ละตัวยาวประมาณ 10 เซนติเมตร นี่หนะรึหอยเป๋าฮื้อที่คนชอบกินกัน ?

 

“หอยเป๋าฮื้อขนาดใหญ่เช่นนี้ ถ้านำไปขายในเมืองอย่างน้อยก็ได้ 200 - 300 อีแปะ ท่านพ่อได้มา 9 ตัว ถ้าเราขายให้ร้านอาหารใหญ่ ๆ ก็น่าจะได้ 2 - 3 ตำลึงเลยทีเดียว ! ” หยูเสี่ยวเหลียนก็เดินเข้ามาดูเหมือนกันและร้องออกมาอย่างตกใจ

 

2 - 3 ตำลึงรึ ? ตามความเข้าใจของเสี่ยวเฉา 2 - 3 ตำลึงนี่สามารถซื้อข้าวขาวชั้นดีได้ 300 – 400 ชั่ง เนื้อหมูชั้นดี 100 ชั่ง ไก่สดอวบอ้วนประมาณ 70 - 80 ตัว... 2 - 3 ตำลึงมากพอจะซื้ออาหารสำหรับ 1 ปีให้ทั้งครอบครัวที่มีคนถึง 10 กว่าคนกินได้เลย

 

แต่หยูเสี่ยวเฉารู้ประโยชน์ของหอยเป๋าฮื้อดี แผนเดิมของนางจะใช้หอยเป๋าฮื้อบำรุงสุขภาพของครอบครัวนางต้องสะดุดเพราะราคาของมัน

 

เสี่ยวเฉารู้นิสัยย่าคนใหม่ของนางเป็นอย่างดี ย่าคงจับคนที่บังอาจกินหอยเป๋าฮื้อฉีกเป็นชิ้น ๆ เป็นแน่ ! ถ้าพวกเขาเอามันกลับบ้าน ก็เหมือนโยนเนื้อให้สุนัข ไม่มีทางได้คืนเป็นแน่ !

 

หยูเสี่ยวเฉาเหลือบมองแล้วทำท่าเหมือนเด็กเอาแต่ใจพร้อมกับถามว่า “ท่านพ่อ ให้ข้าหมดเลย

ได้หรือไม่ ? ”

 

หยูไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ พ่อเคยบอกแล้วมิใช่รึ ถ้าหากเราเจอหอยเป๋าฮื้อ  เราจะเอามันมาทำอาหารบำรุงให้เจ้ากับแม่ของเจ้า วันนี้เราช่างโชคดีเสียจริง ถ้าหากกินไม่หมดเราก็เอามันไปตากแห้งแล้วค่อยกินก็ได้ ”

 

หยูฮังกับหยูเสี่ยวเหลียนมองพ่ออย่างกังขา พวกเขารู้ดีว่าพ่อของพวกเขาเป็นคนยังไง เขาเป็นคนที่ทำงานอย่างสุดหัวใจโดยไม่บ่นสักคำ ต่อให้นางจางจะเรียกร้องแบบไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธ

 

แม้แต่ฉีโตวที่อายุ 5 ขวบก็รู้ว่าถ้าพวกเขาเอาหอยเป๋าฮื้อกลับไป พวกเขาจะมิมีทางได้แตะต้องมัน  ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้กินมันเลย !

 

สายตาของเด็ก ๆ ที่จ้องมาทำให้หยูไห่รู้สึกอึดอัด เขาแกล้งไอแล้วก้มลงเพื่อจะเอาหอยเป๋าฮื้อใส่ตะกร้า

 

หยูเสี่ยวเฉามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “ ท่านพ่อ ! ให้ข้าจัดการเอง ”

 

หยูไห่ยัดหอยเป๋าฮื้อราคา 3 ตำลึงใส่มือลูกสาวโดยไม่ลังเล เขายืนขึ้นเงยหน้ามองท้องฟ้าและพูดว่า “ตอนนี้ค่ำมากแล้ว วันนี้พวกเราเก็บของทะเลได้เยอะมากแล้ว ดังนั้นกลับกันได้แล้วล่ะ ! ”

 

หยูเสี่ยวเฉาเทอาหารทะเลทั้งหมดในตะกร้าของนางลงถังใบใหญ่ของพ่อ  แล้ววางหอยเป๋าฮื้อลงในตะกร้าของนางอย่างระมัดระวัง นางมองไปรอบ ๆ แล้ววิ่งไปทางหน้าผา หยิบพวกสาหร่ายทะเลกับผักกาดทะเลขึ้นมา แล้ววางคลุมหอยเป๋าฮื้อเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

วันนี้พวกเขาเก็บอาหารทะเลได้มากจริง ๆ ! ถังที่หยูไห่แบกมาสูงเท่าฉีโตวเต็มไปด้วยของที่พวกเขาเก็บได้ หยูฮังกับเสี่ยวเหลียนก็ถือตะกร้าใบเล็กที่เต็มจนแทบล้น แม้แต่ตะกร้าใบเล็กของฉีโตวก็อัดแน่นไปด้วยอาหารทะเล

 

ระหว่างทางกลับบ้าน พวกชาวบ้านที่รู้จักต่างเอ่ยทักอย่างชื่นชม “ ต้าไห่นี่เก่งที่สุดในหมู่พวกเราเลย เขามาถึงช้ากว่าพวกเราแต่เก็บมาได้เยอะกว่าพวกเราเสียอีก ! ”

 

“ ท่านพี่ต้าไห่ หอยแมลงภู่ที่ท่านจับมาได้นี่อย่างน้อย 20 - 30 ชั่งเลยมิใช่รึ ถึงตากแห้งแล้วก็ยังหนักถึง 5 ชั่ง ท่านพี่ต้าไห่มิเคยพลาดเลย ! มีเคล็ดลับอะไรรึ ? สอนข้าบ้างได้รึไม่ ! ” คนที่พูดคือชายหนุ่มอายุ 20 กว่าปี เขามีรูปร่างเตี้ย ใบหน้าดูซื่อตรงและมีผิวสีแทน

 

เพื่อป้องกันการทะเลาะเบาะแว้ง เวลาออกล่าในทะเล พวกชาวบ้านแต่ละคนจะมีจุดล่าของตัวเอง  ดังนั้นผลที่ได้จึงขึ้นอยู่กับโชคของแต่ละคน แต่หยูไห่นั้นต่างออกไป เขาไม่ได้มาเก็บของทะเลบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่มาจะได้ของกลับบ้านเต็มไม้เต็มมืออยู่เสมอ

 

ชาวบ้านหลายคนอยากเรียนจากเขา แต่พวกเขาก็มิกล้าถาม ถึงยังไงมันก็เป็นวิธีหาเลี้ยงครอบครัวของเขา ถ้าพวกเขาเรียนวิธีของหยูไห่ มันก็เหมือนการคว้าอาหารจากปากเขา โชคดีที่หลี่ชวนซือเป็นเพื่อนสนิทกับหยูไห่ ถ้าเป็นคนอื่นถาม พวกเขาอาจจะทะเลาะกันไปแล้ว !

 

“ท่านอาชวนซือ มีหินโสโครกตรงหน้าผาล่ะ มันมิมีคนเลย ตอนน้ำลดท่านอาลองไปดูสิ ! ” หยูฮังรู้ว่าหลี่ชวนซือเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของเขา เขาจึงบอกออกไปโดยไม่ปิดบัง แต่เขาไม่ได้เปิดเผยตำแหน่งล่าสมบัติของครอบครัวออกไป

 

หลี่ชวนซือมองพวกชาวบ้านที่แอบฟังอยู่แล้วหัวเราะเสียงดัง “เสี่ยวชา เจ้าคิดว่าเราจะปีนหน้าผา ไต่ภูเขา แล้วลงทะเลได้เหมือนพ่อของเจ้ารึไง ? หน้าผานั่นอันตรายจะตายไป ลุงหลิวสื่อก็ตายที่นั่น ! อาชวนซือยังอยากอยู่ไปอีกหลายปีนะ ! ”

 

ภรรยาของหยางฟานเดินเข้ามาพร้อมกับลูกสาวและถามว่า “ต้าไห่ แล้วเมียของเจ้าเล่า ? ”

 

“วันนี้มู่หยุนมิค่อยสบายเลยพักอยู่ที่บ้าน ขาของท่านพี่หยางฟานเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” หลี่หยางฟานเป็นเพื่อนอีกคนของหยูไห่ เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาเจอพายุตอนแล่นเรือกลับจากหาปลา เรือของเขาชนเข้ากับหินโสโครก ส่วนเขาก็ได้รับบาดเจ็บที่ขา ตอนนี้เขาจึงต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้าน

 

ภรรยาของหยางฟานถามถึงสุขภาพของหลิวมู่หยุนอย่างเป็นห่วง แล้วตอบว่า “ เขามิได้เป็นอะไรมาก อาการบาดเจ็บที่ขามิได้หนักหนาอะไร แต่เรือของเรานี่สิ พังยับเยินไปหมดแล้ว ต้าไห่ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ช่วยไปตรวจดูให้ข้าหน่อยได้รึไม่ ว่ามันยังสามารถซ่อมได้อยู่รึเปล่า ? ”

 

ทุกคนในหมู่บ้านชาวประมงรู้ว่าหยูไห่เป็นคนที่เก่งมาก ถ้าเป็นเรื่องหาปลาในทะเลล่ะก็ ต่อให้เอาคนธรรมดามา 3 - 5 คนก็สู้เขาไม่ได้ ยกตัวอย่างเร็ว ๆ นี้ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ตอนนั้นครอบครัวของเฒ่าหยูจับฉลามที่หนักราว ๆ 300 ชั่งได้ พวกเขาได้เงินไปหลายตำลึงเลยทีเดียว

รีวิวผู้อ่าน