ตอนที่ 11 ถูกร้านอาหารชื่อดังรังแก
“รถม้างั้นรึ ? นั่นแพงมากเลยนะ ผู้ใดจะมีปัญญาซื้อกันยกเว้นแต่พวกคนรวยในเมือง ? หมู่บ้านพวกเรามิได้มีพื้นที่เพาะปลูกมากมาย เลยไม่มีใครเลี้ยงวัว แต่ท่านลุงหม่าจากหมู่บ้านข้าง ๆ มีลาลากเกวียนอยู่ ปกติเขาจะช่วยขนส่งสินค้า แต่ถ้าว่าง ๆ เขาก็จะช่วยส่งคนเข้าเมืองด้วย” หยูเสี่ยวเหลียนตอบ
หยูฮังเหมือนจะรู้เจตนาของเสี่ยวเฉา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “บ้านของเรายังมีฟืนมากพอ เช่นนั้นข้าจะเข้าเมืองไปกับเจ้าด้วย”
หยูเสี่ยวเฉาพอใจกับข้อเสนอของหยูฮัง นางจึงรีบพยักหน้าทันที ความจริงแล้วนางอยากไปด้วยตัวเองแต่ก็ไม่รู้ทาง ส่วนหยูเสี่ยวเหลียนเองก็อยากไปด้วยเมื่อได้ยินว่าพี่ชายจะเข้าเมืองไปกับน้องสาว แต่นางรู้ว่าถ้านางตามไป แม่ของพวกเขาจะต้องรับผิดชอบงานทั้งหมด
เสี่ยวเหลียนมองใบหน้าซีดเซียวของน้องสาว นางจึงวางเคียวในมือลงและกระซิบว่า “รอข้าเดี๋ยวนะ” จากนั้นนางก็วิ่งเข้าไปในบ้าน
เพียงไม่นานเสี่ยวเหลียนก็วิ่งออกมาอีกครั้งและเอาถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมาด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ โดยมีพี่ชายกับน้องสาวมองอยู่อย่างงุนงงกับท่าทีของนาง นางเอาเงินออกมาจากถุงหลายอีแปะแล้วพูดว่า “ น้องสาวจะเข้าเมืองเป็นครั้งแรกทั้งทีก็ควรจะนั่งเกวียนไป ! ”
“เจ้าไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหน ? ” หยูฮังแปลกใจ รายได้ทั้งหมดของครอบครัวต้องยกให้นางจางเป็นคนเก็บไว้ ซึ่งนางจางเป็นคนขี้เหนียวแบบสุด ๆ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็เอาเงินไปจากนางไม่ได้สักอีแปะเดียว
เสี่ยวเหลียนยิ้มอย่างมีเลศนัย นางมองไปรอบ ๆ แล้วกระซิบว่า “ ท่านหมอโหยวสอนเราแยกสมุนไพรแล้วมิใช่หรือไง ? ตอนเก็บผักคาวทอง ข้าก็จะเก็บพวกสมุนไพรพวกนั้นไปด้วย แล้วเอาพวกสมุนไพรที่เก็บได้ไปขายที่ร้านยาพอได้เงินมานิดหน่อย ตอนแรกข้าคิดจะเก็บไว้ซื้อลูกอมให้เสี่ยวเฉา จะได้เอาไว้กินกลบรสขมหลังกินยา”
หยูเสี่ยวเฉารู้สึกตื้นตันใจมาก นางรับเงิน 6 อีแปะเอาไว้แล้วพูดว่า “ข้าขอยืมก่อนแล้วกันนะ พอข้ามีเงินเมื่อไหร่ข้าจะใช้คืนเป็น 2 เท่า”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ามิจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ ! สายแล้ว ถ้าไม่รีบไปเดี๋ยวก็ไม่ทันเกวียนเอาหรอก กลับมาเร็ว ๆ ด้วยล่ะ ไม่งั้นโดนท่านย่าดุอีกเป็นแน่ ! ” หยูเสี่ยวเฉาไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเหลียนไปเอานิสัยเปิดเผยจริงใจและคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงแบบนี้มาจากไหน แต่นางก็ชอบที่พี่สาวเป็นแบบนี้
หยูฮังเอาไหดินเผามาจากมือน้องสาวมาถือเอง แล้วทั้งสองก็รีบเดินไปที่หมู่บ้านข้าง ๆ 2 เค่อ ต่อมาพวกเขาก็เห็นหม่าต้าฟู่กับลาลากเกวียนของเขาที่ทางเข้าหมู่บ้าน ถึงมันจะราคาแค่ 2 อีแปะต่อคน แต่ก็ยังมีคนไม่มากนักที่ยอมเสียเงินเพื่อนั่งเกวียน บนเกวียนมีแค่ผู้หญิงสองคนที่เอาไข่หรือผักไปขายที่ตลาดเช้า แต่บนเกวียนลากลับเต็มไปตะกร้าและข้าวของต่าง ๆ
“ท่านลุงหม่า ข้ากับน้องสาวอยากจะเข้าเมือง ช่วยไปส่งพวกเราหน่อยนะขอรับ ! ” หยูฮังเคยตามพ่อเข้าเมืองหลายครั้งแล้วตอนที่มาขายสัตว์ที่จับได้ เขาจึงเคยขึ้นเกวียนของหม่าต้าฟู่มาก่อน
หม่าต้าฟู่ย่อมไม่ปฏิเสธโอกาสทำเงิน เขาจึงตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ นี่เสี่ยวชาลูกชายของต้าไห่ใช่หรือไม่ ! แล้วนี่เสี่ยวเหลียนน้องสาวเจ้าล่ะสิ ? มา ขึ้นมาเร็ว ! ”
ผู้หญิงบนเกวียนขยับตะกร้าของตัวเองให้มีที่ว่างสำหรับพวกเขา หยูฮังยกตัวน้องสาวขึ้นเกวียน ส่วนเขาก็ไปนั่งตรงหัวเกวียนข้าง ๆ หม่าต้าฟู่
มุมปากของหยูเสี่ยวเฉากระตุก นางไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกที่ถูกเด็ก 10 ขวบอุ้มอย่างไรดี ลาลากเกวียนออกไปทันที เดิมทีจะต้องใช้เวลาเดินถึง 1 ชั่วยาม แต่ตอนนี้เวลาที่ใช้เดินทางลดน้อยลงเกือบครึ่ง
ในที่สุดสองพี่น้องก็มาถึงเมืองในยามเฉิน* เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ชื่อว่าเมืองถังกู่ เป็นเมืองชายฝั่งธรรมดาทั่วไป หากเดินทางจากด้านตะวันออกของเมืองไปถึงด้านตะวันตกจะใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่มันเป็นเส้นทางสำคัญจากท่าเรือไปยังเมืองจินเว่ย ดังนั้นถึงจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งนัก
ทางเข้าเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่รีบมาตลาดเพื่อจับจ่ายใช้สอยรวมไปถึงเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย เสี่ยวเฉากับพี่ชายกล่าวขอบคุณลุงหม่าแล้วจ่ายค่าเกวียนลาไป 4 อีแปะ หม่าต้าฟู่บอกเวลากลับให้พวกเขาได้รับรู้ แล้วยังไม่ลืมเตือนให้พวกเขาให้มาพบที่ประตูเดิมนี้ด้วย
หลังจากกล่าวลาลุงหม่าแล้ว สองพี่น้องก็เดินไปตามถนนที่กว้างพอสำหรับรถม้า 2 คัน พวกเขาเห็นรถม้าที่เต็มไปด้วยสินค้าจากท่าเรือวิ่งผ่านไปเป็นระยะ เมืองนี้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าทะเลไปยังเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเมืองนี้จึงคึกคักมีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้
ร้านรวงมากมายตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน แต่สองพี่น้องมิมีเวลาเดินดู หยูเสี่ยวเฉาอยากขายหอยเป๋าฮื้อ นางจึงหันไปถามหยูฮังว่า “ พี่ใหญ่ ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอยู่ไหนกัน ? ตรงไปที่นั่นกันเลยเถอะ ! ”
“เมืองนี้มีร้านอาหารชื่อดังอยู่ 2 ร้าน ร้านนึงชื่อว่า ‘ ร้านฝูหลิน ’ ส่วนอีกร้านชื่อ ‘ ร้านเจินซิว ’ ท่านพ่อขายสัตว์ที่ล่ามาได้ให้สองร้านนี้เป็นประจำ ร้านฝูหลินอยู่ใกล้ที่นี่มากกว่า เยี่ยงนั้นพวกเราลองไปที่นั่นกันก่อนดีหรือไม่ ? ” หยูฮังเคยมาที่นี่หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเมืองนี้พอสมควร
ร้านฝูหลินเป็นร้านอาหารสองชั้นที่เปิดทำธุรกิจมานาน มันให้ความรู้สึกเรียบง่ายและสง่างาม สองพี่น้องยืนอยู่ตรงทางเข้าร้าน มันยังมิใช่เวลาเปิดร้านจึงมีเพียงเสี่ยวเอ้อหนุ่มอยู่เพียงคนเดียว เขากำลังยืนถือไม้กวาดหาวอย่างขี้เกียจ
เมื่อเสี่ยวเอ้อคนนั้นเห็นเสื้อผ้าที่มีแต่รอยปะชุนของพวกเขา เขาจึงกวาดฝุ่นไปทางเด็กทั้งสองอย่างหงุดหงิดและตะโกนด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามว่า “ ออกไป ออกไป ออกไป ! คนอย่างพวกแกมาที่นี่ได้รึไงกัน ? ถึงจะมาขออาหารก็ควรหาเวลาที่ดีกว่านี้สักหน่อยสิ ! เร็วเข้า ! ยังไม่รีบออกไปอีก ! ”
เป็นครั้งแรกที่หยูเสี่ยวเฉาถูกเรียกว่า ‘ ขอทาน ’ ความโกรธผุดขึ้นมาในใจ แต่นางทนเก็บอารมณ์เอาไว้ และท่องในใจว่า เงิน ๆ ๆ นางฉีกยิ้มออกมา “ พี่ชาย ผู้จัดการร้านอยู่แถวนี้รึไม่ ? ข้ามีของทะเลสด ๆ มาขาย ไม่ทราบว่าร้านของพี่ชายสนใจจะรับซื้อหรือไม่ ? ”
เสี่ยวเอ้อคนนั้นกวาดสายตามองไหดินเผาในมือนาง แล้วพูดด้วยสีหน้าดูถูกว่า “ ร้านฝูหลินสั่งของทะเลจากชาวประมงที่เลือกเจาะจงไว้อยู่แล้ว สภาพเยี่ยงพวกเจ้าจะมีของคุณภาพดีสักแค่ไหนกันเชียว ? ออกไปซะไป ! เหตุใดผู้จัดการของข้าจะต้องเสียเวลามาเจอคนจรจัดสกปรกอย่างพวกแกด้วย ? ”
“อ้าว ! เหตุใดถึงกับต้องต่อว่ากันด้วยเล่า ? ” หยูฮังขมวดคิ้วแล้วก้าวออกมาข้างหน้า
เสี่ยวเอ้อขว้างไม้กวาดในมือทิ้งแล้วคว้าข้อมือของเขาพร้อมกับตะคอกเสียงดัง “ ต่อว่าแล้วยังไง ! ขอทานสกปรกอย่างพวกแกคิดจะมาขโมยเงินล่ะสิ อยากจะเจอผู้จัดการเสียด้วย พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ? ”
“เสียงดังเอะอะอะไรกันแต่เช้า ? ” หยูเสี่ยวเฉากำลังจะระเบิดความโกรธออกมา ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนเป็นเจ้าของร้านก็เดินออกมาทางประตูใหญ่
เสี่ยวเอ้อเปลี่ยนท่าทีทันควัน เขาฉีกยิ้มอย่างประจบประแจงแล้วกล่าวว่า “ ผู้จัดการหลิว ! ข้ากำลังไล่ขอทานพวกนี้อยู่ขอรับ ! ”
“แกสิขอทาน ! ท่านผู้จัดการหลิว ข้ามีหอยเป๋าฮื้อสด ๆ ตัวใหญ่หลายตัวมาเสนอขาย ร้านของท่านสนใจจะซื้อเอาไว้หรือไม่ ? ” หยูเสี่ยวเฉาตวัดสายตามองเสี่ยวเอ้อคนนั้นอย่างเกรี้ยวกราด แต่นางก็มิได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อและหันถามคำถามใส่ผู้จัดการหลิวโดยตรงทันที
ผู้จัดการหลิวมองสองพี่น้อง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจจริงจังนัก “ โอ้ หอยเป๋าฮื้อ ! ถ้าคุณภาพดีเราก็ต้องรับซื้ออยู่แล้ว ! ”
หยูเสี่ยวเฉาเดินถือไหดินเผาเข้าไปแล้วพูดว่า “ นี่คือหอยเป๋าฮื้อชั้นหนึ่ง แต่ละตัวยาวเกิน 5 นิ้ว ท่านอยากลองดูหรือไม่ ? ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดผ้าไหมประณีตงดงามดึงสายบังเหียนม้าทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของนาง หอยเป๋าฮื้อที่ยาวเกิน 5 นิ้วงั้นรึ ? ถ้าหากเป็นความจริง พวกมันต้องเป็นหอยเป๋าฮื้อที่คุณภาพดีที่สุดเป็นแน่ ผู้พิพากษาอู๋จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเขาที่ร้านเจินซิวบ่ายวันนี้ พวกเขาจะพลาดอาหารจานหลักที่น่าประทับใจได้เยี่ยงไรกัน ?
*ยามเฉิน = เวลา 7.00 – 9.00 น.