ตอนที่ 16 ซื้อของ
หัวหน้าพ่อครัวหวังเติบโตมาในครอบครัวที่มีชื่อเสียงในเรื่องพรสวรรค์ในการทำอาหารและรู้ดีว่าโลกของการทำอาหารนั้นโหดร้ายถึงเพียงใด พ่อครัวระดับชั้นนำทุกคนย่อมมีอาหารขึ้นชื่อของตนเอง พวกเขาจะรักษาและหวงแหนสูตรลับของตนเองเป็นอย่างมาก แต่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้กลับบอกสูตรลับของตนเองได้อย่างหน้าตาเฉย
คนที่อายุมากกว่าถึงกับถูมืออย่างขัดเขินก่อนจะพูดว่า “ คุณหนูหยู...ไปปรึกษากับพ่อแม่ของเจ้าก่อนจะตัดสินใจดีหรือไม่ ? ”
“มิต้องหรอกเจ้าค่ะ สูตรนี้ข้าปรับปรุงและพัฒนาขึ้นมาด้วยตนเอง คนที่บ้านมิมีผู้ใดรู้เกี่ยวกับสูตรซอสหอยนางรมด้วยหรอกเจ้าค่ะ ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองถามพี่ชายของข้าได้เลย ! ” หยูเสี่ยวเฉาโบกมือปัดคำแนะนำของหัวหน้าพ่อครัว
เมื่อคุณชายสามโจวได้รับคำยืนยันจากหยูฮัง เขาก็ได้คิดนิดนึงก่อนจะตัดสินใจ “ ได้ ! เยี่ยงนั้นข้าก็จะรับของขวัญของเจ้าไว้ หากวันข้างหน้าถ้าเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนก็มาหาข้าได้ที่บ้านตระกูลโจว ! ”
หยูเสี่ยวเฉายิ้มอย่างดีใจและคิดว่า ‘ ข้ากำลังรอคำนี้จากเจ้าอยู่พอดี ! ’
“ใช่สิ ! ตอนนี้อากาศร้อนเป็นอย่างมาก อย่าลืมเก็บซอสหอยนางรมที่เหลือไว้ในโรงน้ำแข็งนะเจ้าคะ มันสามารถอยู่ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่สามารถนำมาทำอาหารต่อได้แล้ว ” หลังทิ้งคำแนะนำสุดท้ายไว้ให้ชายทั้งสองคน นางก็ลูบถุงเงินแล้วเตรียมตัวจะจากไป
“มิต้องห่วง ! ถึงจะดูเหมือนว่าเรามีซอสหอยนางรมอยู่มากพอควร แต่ร้านเจินซิวของเราก็มีลูกค้าเยอะมากเช่นกัน หากภายในสองอาทิตย์ใช้ไม่หมดสิ ถึงจะแปลก ! ” หัวหน้าพ่อครัวหวังเทซอสใส่ขวดอย่างระมัดระวังและอุ้มไว้เหมือนกับเป็นสมบัติของโลกก่อนจะวางลงอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ
ในเวลาเดียวกัน ลูกค้าเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในร้านเจินซิวมากขึ้น ครัวด้านหลังก็เริ่มวุ่นวาย โจวซือชู่สั่งพนักงานในร้านให้เพิ่ม ‘ ผักราดซอสหอยนางรม ’ ลงไปในรายการอาหารในงานเลี้ยงของผู้พิพากษาอู๋ด้วย
หัวหน้าพ่อครัวหวังเอาหอยเป๋าฮื้อออกมาและทำหน้าคิดหนัก เขาต้องหาทางเสิร์ฟหอยเป๋าฮื้อชั้นดีพวกนี้ให้แขกของผู้พิพากษาประทับใจให้ได้
หยูเสี่ยวเฉาอดที่จะให้คำแนะนำเขาอีกไม่ได้ “ ท่านหัวหน้าพ่อครัวหวังลองทำ ‘ หอยเป๋าฮื้อราดซอสกระเทียม ’ ดูสิเจ้าคะ ถ้าแขกมิชอบกระเทียม ก็เปลี่ยนเป็นซอสหอยนางรมแทนก็ได้ ซอสจะช่วยเสริมรสชาติที่แท้จริงของหอยเป๋าฮื้อให้ดีขึ้น ลองคิดดูนะเจ้าคะท่านหัวหน้าพ่อครัวหวัง ”
*หอยเป๋าฮื้อราดซอสกระเทียม*
คุณชายสามโจวกับผู้จัดการเจียงเดินมาส่งสองพี่น้องออกจากร้านเจินซิว บังเอิญลูกชายของผู้พิพากษาเลิกเรียนแล้วและกำลังเดินมาทางนี้จึงเห็นสองพี่น้องเข้าพอดี
ปกติแล้วคุณชายสามแห่งตระกูลโจวมิใช่คนถ่อมตัว การได้เห็นเขาปฏิบัติกับเด็กสองคนที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนเด็กข้างถนนอย่างสุภาพขนาดนั้นจึงเป็นเรื่องผิดปกติ ชายหนุ่มจึงอดถามไม่ได้ว่า “คุณชายสาม เด็กสองคนนี้เป็นใครรึขอรับ ? ต้องมิใช่คนธรรมดาเป็นแน่ถึงเข้าตาท่านได้”
โจวซือชู่ประสานมือคารวะเขาพอเป็นพิธี แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย “ท่านพี่อู๋ วันนี้ที่โรงเรียนเลิกเร็วรึขอรับ ? มา ๆ เข้ามาก่อน ! ข้าเพิ่งได้ชาหยุนอู้มาใหม่ ชารอบนี้กลิ่นหอมยิ่งนัก สีของชาก็คล้ายกับน้ำค้าง ตอนนี้หายากมากยิ่งนักขอรับ ! ”
คุณชายอู๋มีงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวก็คือการดื่มชาและเปรียบเทียบชา เมื่อเขาได้ยินว่าร้านเจินซิวได้ของหายากมา ความอยากรู้เรื่องของสองพี่น้องก็หายไปจนหมดสิ้น เขาเดินตามโจวซือชู่เข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
“ไปซื้อของกันเถอะท่านพี่ ! วันนี้ท่านพี่อยากกินอะไรข้าจะเลี้ยงท่านพี่เอง ! ” ตอนนี้หยูเสี่ยวเฉามีเงินในมือแล้ว นางจึงรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เด็กหญิงเดินหลังตรงไปตามถนน
หยูฮังดีดหน้าผากน้องสาวเพื่อหยอกล้อ แต่แล้วเขาพูดเสียงเบาว่า “พวกเรายังอยู่รวมเป็นบ้านเดียวกันอยู่นะ เงินที่เราหามาได้ต้องถูกเอาไปจนหมด ถ้าท่านย่ารู้ว่าตอนนี้เรามีเงินมากถึงเพียงนี้ ท่านย่าต้องไม่ชอบใจแน่ ข้าคิดว่าจะดีกว่านะถ้าเรา... ”
หยูเสี่ยวเฉารีบยกมือขึ้นมาปิดถุงเงินที่อยู่ในเสื้อของนางทันที นัยน์ตามีความไม่พอใจแฝงอยู่เล็กน้อย “เงินที่ท่านพ่อหาให้ยังไม่พออีกหรือ ? ท่านพ่อเป็นคนหาเลี้ยงทั้งครอบครัวเลยมิใช่รึ รวมถึงท่านอาที่เรียนอยู่ในเมืองด้วย ! ดังนั้นให้ผู้ใหญ่หาวิธีเลี้ยงครอบครัวกันเองมิดีกว่ารึ ! ไม่จำเป็นต้องให้ท่านย่ารู้เรื่องเงินพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราได้มาก็ได้นี่เจ้าคะ ! ”
หยูฮังอ้าปากจะพูด แต่น้องสาวก็รีบขัดว่า “ เอาเงินให้ เอาเงินให้ตลอด ! พวกท่านพี่นั่นแหละที่ช่วยส่งเสริมให้ท่านย่าเป็นเช่นนี้ ท่านพี่ลองคิดบ้างสิ ! ท่านพ่อให้เงินพวกนั้นไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ? แล้วเงินนั่นกลับมาที่เราแค่ไหนกัน ? ท่านพี่อย่าได้ไปเอ่ยกับใครเรื่องเงินที่เราได้มาวันนี้จะดีกว่า มิเช่นนั้นแล้วท่านพี่จะมิใช่ท่านพี่ของข้าอีกต่อไป ! ”
เมื่อเห็นน้องสาวของเขายืนกรานหนักแน่นเยี่ยงนั้น หยูฮังจึงตัดสินใจว่ามิมีประโยชน์ที่จะพยายามเปลี่ยนใจนาง
เขาจึงเตือนเอ่ยนางแทนว่า “ งั้นก็ซ่อนเงินไว้ให้ดีแล้วกัน ! จะให้ท่านย่าหรือคนอื่น ๆ รู้มิได้เด็ดขาด... ”
“ท่านพี่อย่าห่วงเรื่องนั้นไปเลยเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการเอง” หยูเสี่ยวเฉาตบหน้าอกตัวเองเพื่อให้หยูฮังเห็นว่านางสามารถจัดการได้อย่างที่เคยบอก พอมีเงินนางจึงมีกำลังใจขึ้นมาเล็กน้อย หยูเสี่ยวเฉาดึงพี่ชายของนางออกเดินไปซื้อของด้วยกันเป็นครั้งแรกอย่างดีใจ
ขณะที่เดินดูข้าวของ หยูเสี่ยวเฉาก็ได้ตรวจสอบราคาสินค้าทุกอย่างไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต ที่ร้านขายข้าว, ลูกเดือย, แป้งมัน, และข้าวโพด 1 ชั่งราคา 2 อีแปะ, แป้งขาว 1 ชั่งราคา 5 อีแปะ ทางเหนือมิได้ปลูกข้าวมากนัก ดังนั้นมันจึงมีราคาถึง 7 อีแปะต่อ 1 ชั่ง
เนื้อหมูชั้นดี 1 ชั่ง 20 อีแปะ, ส่วนไก่สด 1 ตัวราคา 40 อีแปะ
แม้ว่าทางราชสำนักจะทำให้ราคาสินค้าคงที่แล้วก็ตาม แต่ความสงบสุขเพิ่งจะมีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็มีชีวิตคล้ายกับชาวประมงในหมู่บ้านตงชาน ใช้ชีวิตอย่างยากจนกันไปวัน ๆ
ยิ่งนางเข้าใจสถานการณ์ในโลกนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งคิดถึงโลกเก่าของนางมากขึ้นเท่านั้น ชีวิตสมัยใหม่ความเป็นอยู่ดีกว่าตอนนี้มาก ! ถึงตอนเด็ก ๆ นางจะลำบาก แต่มันก็ยังไม่แย่เท่าชีวิตของคนส่วนใหญ่ที่นี่ ในชาติก่อนหยูเสี่ยวเฉาเป็นพี่คนโต นางจึงเคยชินกับการจัดการความรับผิดชอบทุกอย่าง นางเริ่มคิดหาวิธีสร้างความร่ำรวย
นางต้องการเงินมากกว่านี้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
พ่อค้าหาบเร่ที่อยู่ใกล้ ๆ ร้องตะโกนออกมาว่า “ ซาลาเปาเนื้อจ้า ! ซาลาเปาเนื้ออร่อย ๆ จ้า ! ” เสียงของเขาดังขัดจังหวะความคิดนาง
โครก โครก...ท้องของพวกเขาส่งเสียงประท้วงทันทีเมื่อคิดถึงอาหาร ทั้งสองคนต่างตื่นตั้งแต่เช้าตรู่และยังมิมีใครได้กินอะไรลงท้องเลย
หยูเสี่ยวเฉาลูบท้องเหี่ยว ๆ ของนาง ขณะที่กลิ่นหอมของซาลาเปาลอยเข้าจมูก นางจึงพูดขึ้นทันทีว่า
“ไปซื้อซาลาเปาเนื้อกันเถอะท่านพี่ ! ”
“ ซาลาเปาเนื้อ 4 ลูกกับแกงจืดไข่ 2 ถ้วยเจ้าค่ะ ! ” เมื่อสั่งอาหารเสร็จแล้ว หยูเสี่ยวเฉาจึงเดินไปที่โต๊ะเตี้ย ๆ ข้างถนนและเรียกพี่ชายให้มากินด้วย ถึงพวกเขาจะไม่สามารถไปกินร้านอาหารดี ๆ ได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถกินได้มากเท่าที่ต้องการตามร้านข้างถนน !
หยูฮังเคยเข้าเมืองกับพ่อมาก่อน ในการเดินทางนั้นพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้ใช้เงินเลยสักอีแปะเดียวเพราะต้องประหยัด แต่น้องสาวของเขากลับตรงกันข้าม นางใช้เงินเป็นกำโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เงินที่นางจ่ายเป็นค่าอาหารของพวกเขามื้อนี้สามารถซื้อข้าวขาว 2 ชั่งกับแป้งขาว 3 ชั่งได้เลย...
“ข้า...ข้าว่าข้ากินแค่หมั่นโถว 3 ลูกกับน้ำเปล่าก็พอ... ” หยูฮังพูดหลังมองดูราคาอาหารทั้งหมด เขาตั้งใจจะใช้เงินแค่ 1 อีแปะเป็นค่าอาหารของเขา
หยูเสี่ยวเฉารู้ว่าพี่ชายตระหนี่จนเข้าเส้นเลือดไปแล้ว นางจึงแอบนับเงิน 12 อีแปะและส่งให้พ่อค้า พ่อค้าจึงเอาซาลาเปา 4 ลูกออกมาและให้ภรรยาตักแกงจืดไข่ 2 ถ้วยยกมาที่โต๊ะทันที
“อย่าคิดมากเลยท่านพี่ ข้าได้ซื้อมาแล้วก็กิน ๆ เข้าไปเถอะเจ้าค่ะ ! ” หยูเสี่ยวเฉาเอาซาลาเปาร้อน ๆ ลูกหนึ่งยัดใส่มือหยูฮัง หลังจากนั้นนางก็อ้าปากกว้างงับซาลาเปาอีกลูกที่อยู่ในมือของนาง
อืม !...คนโบราณนี่ทำซาลาเปาเนื้อได้รสชาติดีจริง ๆ ผิวแป้งบางพอเหมาะ ไส้เนื้อด้านในก็เยอะมาก พอกัดไปแล้วได้รสชาติของเนื้อเต็ม ๆ ทุกคำ รสชาติเข้มข้นละลายในปาก หรือนางอาจจะหิวเกินไปถึงได้คิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรอร่อยไปกว่าซาลาเปาเนื้อที่นี่อีกแล้ว
นางซดแกงจืดสลับกับกินซาลาเปา ไม่กี่นาทีซาลาเปา 2 ลูกกับแกงจืดไข่ของนางก็หมดเกลี้ยง หยูเสี่ยวเฉาเรอออกมาอย่างมีความสุข อิ่มจังเลย ! ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้นางกินอาหารได้น้อยมาก แต่วันนี้นางกลับกินซาลาเปาได้เยอะเป็นพิเศษ มีเงินแล้วดีจริง ๆ ! เรื่องนี้ทำให้นางยิ่งอยากเก็บเงินเป็นของตัวเองในอนาคต
ถึงแม้หยูฮังจะโตกว่าเสี่ยวเฉา แต่เขาก็ยังเป็นแค่เพียงเด็กอายุ 10 ขวบเท่านั้น เมื่อเห็นน้องสาวกินอย่างมีความสุขถึงเพียงนั้น เขาก็อดที่จะหยิบซาลาเปามากัดบ้างไม่ได้ หลังจากกัดคำแรกไปแล้วที่ ก่อนที่เขาจะได้รู้ตัวทั้งแกงจืดและซาลาเปาก็ได้หายเข้าไปในท้องของเขาจนหมดเกลี้ยง เขาลูบพุงที่ตอนนี้มันพองนูนขึ้นมาของตัวเองแล้วยิ้มแก้เขิน
“ซาลาเปาเนื้อร้านนี้ช่างรสชาติยอดเยี่ยมเสียจริง ! เยี่ยงนี้พวกเราต้องซื้อไปฝากท่านแม่กับท่านพ่อแล้วก็ฉีโตวด้วยแล้ว ! ” หยูเสี่ยวเฉาไม่ใช่คนตระหนี่เฉกเช่นพี่ชายของนาง นางอยากแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับครอบครัวของนางด้วย พวกเจ้ามิต้องเป็นกังวล พี่สาวคนนี้จะคิดถึงพวกเจ้าตลอดเวลาที่เจออาหารอร่อย ๆ ! ข้าเป็นพี่ที่ดีใช่หรือไม่เล่า ?
หยูฮังนิ่วหน้าอย่างกังวล “ข้าจะไม่ว่าที่เจ้าจะซื้อให้ท่านพ่อท่านแม่กับน้อง ๆ หรอกนะ แต่จะให้คนอื่นเห็นมิได้เด็ดขาด ถ้าท่านย่ารู้เข้า ท่านย่าต้องอยากรู้เป็นแน่ว่าพวกเราไปเอาเงินมาจากไหน ถ้าหากท่านย่ารู้เข้า พวกเราต้องโดนทุบตีเป็นแน่”