px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 19  เดินตามพี่ฮันย่อมมีเนื้อกิน


ตอนที่ 19  เดินตามพี่ฮันย่อมมีเนื้อกิน

 

“อย่าลืมข้าด้วยนะท่านพี่ฮัน ! ” พอฉีโตวได้ยินว่าพวกเขาอาจจะได้กินเนื้อ เขาก็กระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ จ้าวฮันอย่างดีใจ

 

จ้าวฮันหยิกแก้มของเด็กน้อยแล้วยิ้มกว้างออกมา “แน่นอน ! ข้าไม่เคยทิ้งฉีโตวของเราอยู่แล้ว ! ”

 

“ท่านพี่ฮัน เหตุใดท่านชอบทำเหมือนพี่สามเล่า ? ท่านพี่ทั้งสองคนชอบหยิกแก้มข้าโดยไม่ขออนุญาต” ฉีโตวทำหน้าบึ้งแล้ววิ่งหนีจากจ้าวฮัน เด็กน้อยจับแก้มสองข้างของตัวเองเอาไว้ด้วยสีหน้าเคือง ๆ

 

นางหลิวมองดูลูก ๆ หยอกเล่นกัน นางจึงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อดูเวลา “พวกเจ้าไปเล่นกันเถอะ แม่ยังซักผ้ามิเสร็จ ต้องกลับไปที่ลำธารก่อน อย่าเล่นกันเพลินจนหมดแรงล่ะ แล้วกลับบ้านไปกินข้าวเย็นด้วยเข้าใจหรือไม่ ? ”

 

การกินอาหาร 3 มื้อต่อวันเริ่มหลังจากการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์นี้ หลายสิบปีผ่านไปการกินอาหารเช้า กลางวัน เย็นกลายเป็นธรรมเนียมของพวกชนชั้นสูงและในร้านอาหารใหญ่ ๆ ไปเสียแล้ว แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังยึดติดกับการกินอาหาร 2 มื้อต่อวันอยู่ คือตอนเช้ากับตอนเย็น ความเป็นจริงก็คือพวกเขาไม่สามารถกินบ่อยกว่านี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่หยูเสี่ยวเฉารู้สึกว่าเป็นปัญหามากกว่า

 

“ท่านแม่มิต้องห่วง ข้าจะคอยดูแลน้อง ๆ เองขอรับ ! ” หยูฮังสัญญา แม้ว่าเขาจะอยากตามพี่ฮันไปตรวจกับดัก แต่เขาก็ยังจำได้ว่าพวกเขามีหน้าที่เก็บฟืน

 

เขาเพิ่งรู้จากเสี่ยวเหลียนว่าย่าของพวกเขาอาละวาดเมื่อไม่เห็นเขาในตอนเช้า เพื่อให้ย่าสงบลง แม่กับน้องของเขาจึงต้องทำงานบ้านให้มากขึ้น

 

จ้าวฮันรู้สถานการณ์ของพี่น้องกลุ่มนี้ดี เขาหันไปหาเสี่ยวเฉากับฉีโตวแล้วกวักมือเรียกให้ทั้งสองตามเขาเข้าไป 

 

“พวกเจ้าอยากตามข้าไปตรวจกับดักหรือไม่ ? ”

 

“อยากสิอยาก ! ” ฉีโตวที่ยังเป็นเด็กน้อยตอบตกลงทันทีโดยมิได้คิด

 

หยูเสี่ยวเฉารู้สึกผิดเมื่อเห็นพี่สาวกับพี่ชายทำงานหนัก เมื่อหยูเสี่ยวเหลียนเห็นนางลังเลจึงยิ้มแล้วพูดว่า “น้องสาม ตอนนี้เจ้ายังไม่แข็งแรง คิดว่าจะช่วยพวกเราได้หรือไง ? เจ้าอย่ากวนจะดีกว่า อยู่ที่นี่ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับพวกเรา ! ”

 

“พี่สาม ตอนลงเขามาเราก็ค่อยช่วยพี่ใหญ่กับพี่สองเก็บฟืนก็ได้นี่ ! ” ฉีโตวเป็นเด็กฉลาด เขาหาข้ออ้างมาเกลี้ยกล่อมพี่สาวได้อย่างรวดเร็ว

 

ชาติก่อนหยูเสี่ยวเฉาอาศัยอยู่ในพื้นที่ราบ นางจึงไม่เคยล่าสัตว์ในภูเขามาก่อน ในเมื่อตอนนี้นางมีโอกาสที่  แล้ว นางจึงไม่อาจต้านความอยากรู้อยากเห็นได้ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง นางก็ได้ตัดสินใจตามเด็กชายทั้งสองคนไป “พี่ใหญ่ เสี่ยวเหลียน ข้าสัญญาว่าจะกลับมาให้เร็ว แล้วข้าจะมาช่วยท่านพี่ทันทีหลังจากที่ลงจากเขามานะเจ้าคะ” กับดักที่จ้าวฮันวางเอาไว้อยู่ตามแนวรอบนอกเทือกเขาห่างจากป่าลึกที่มีสัตว์ดุร้ายอาศัยอยู่ แม้แต่สัตว์ใหญ่ ๆ ก็หายากในบริเวณนี้ เขาถึงได้ไม่กังวลกับการพาเด็กเล็กสองคนนี้ไปด้วย

 

ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูร้อน อากาศข้างนอกจึงร้อนเปรี้ยงจนแทบไหม้โดยเฉพาะในพื้นที่โล่ง แต่ภายใต้ร่มเงาของป่านั้นเย็นจนเกือบจะเหมือนกับฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นที่พัดมานั้นทำให้รู้สึกเย็นสบาย หลังจากที่เหงื่อออกมาตลอดทั้งเช้า หยูเสี่ยวเฉาเริ่มคิดว่านี่น่าจะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับหลบหนีจากอากาศร้อน

 

“ระวังเสี่ยวเฉา ! มีกับดักอยู่ตรงหน้าเจ้า ระวังอย่าได้เดินเข้าไปไกล้เป็นอันขาด ! ” จ้าวฮันเตือน  เขาสังเกตว่าเด็กหญิงกำลังมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และไม่ได้สนใจมองพื้นที่จะเหยียบเลย นางเดินมิมองพื้นได้เยี่ยงไรในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ ?

 

กับดัก ? หยูเสี่ยวเฉาก้มดูพื้นอย่างระมัดระวังมากขึ้น แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีจุดหนึ่งบนพื้นที่ดูแตกต่างจากบริเวณอื่น นางต้องยอมรับว่าพี่จ้าวคนนี้ค่อนข้างเก่งมากเสียทีเดียว ถ้านางไม่ได้มองให้ดี ๆ นางคงหากับดักไม่เจอ
 

“ท่านพี่ฮันมิกลัวรึเจ้าคะ ว่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บจากกับดักของท่าน ? คนอื่น ๆ ก็ผ่านทางนี้ด้วยมิใช่รึเจ้าคะ ? ” หยูเสี่ยวเฉาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 

ฉีโตวหัวเราะคิกคักแล้วพูดแทรกขึ้นว่า “พี่สาม นอกจากท่านพี่แล้ว คนทั้งหมู่บ้านเขารู้จักเครื่องหมายที่ตระกูลจ้าวใช้บนกับดักกันหมดแล้วขอรับ เด็กสามขวบยังรู้เลยว่าต้องมองหาสิ่งใด ดูเชือกที่ผูกปมไว้ตรงนั้นสิ ถ้าเห็นเจ้านี่เข้าก็หมายความว่ามีกับดักอยู่ใกล้ ๆ และท่านพี่ต้องระวังตัวเอาไว้ด้วย ! ”

 

ตอนนั้นเองหยูเสี่ยวเฉาถึงได้สังเกตเห็นว่ามีเชือกหญ้าผูกเป็นปมแบบพิเศษเอาไว้บนต้นไม้ใกล้ ๆ  นางถูจมูกอย่างขัดเขินแก้เก้อ

 

จ้าวฮันช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้นาง “ดูเหมือนยังมิมีตัวอะไรมาติดกับดักอันนี้ ไปดูอันอื่นกันต่อเถอะ เสี่ยวเฉา ถ้าหากว่าเจ้าเริ่มเหนื่อยแล้วก็บอกข้าได้นะ มิต้องเกรงใจ”

 

หยูเสี่ยวเฉารับคำแล้วเดินตามจ้าวฮันไปติด ๆ ทั้งสามคนเข้าไปในป่าลึกมากขึ้น ยิ่งเดินเข้าไปลึก  แสงก็ยิ่งน้อยลง พุ่มไม้เริ่มหนาตาระเกะระกะมากขึ้น โชคดีที่ยังมีทางเดินในป่าอยู่พวกเขาจึงไม่ต้องเดินฝ่าพุ่มไม้ใบหญ้ากันมากเกินไปนัก

 

ฉีโตวเอากิ่งไม้ยาว ๆ มาหวดพุ่มไม้ไปเรื่อย ๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยไล่งูแล้วยังทำให้ไก่ฟ้าที่ซ่อนอยู่ตกใจจนวิ่งออกมายังที่โล่งได้อีกด้วย

 

“รอประเดี๋ยวก่อน” จ้าวฮันเรียกแล้วก็สั่งให้สองพี่น้องรออยู่กับที่ ส่วนเขาได้หายตัวเข้าไปในพุ่มไม้ใกล้ ๆ

 

ป่าในภูเขามีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น กิ่งไม้ไขว้กันไปมาบดบังแสงอาทิตย์เพื่อไม่ให้ส่องลงมายังพื้น ลำแสงเล็ก ๆ บางจุดก็ลอดผ่านรอยแยกลงมาได้ ตอนนี้มีลำแสงอยู่สองอันที่ช่วยส่องบริเวณป่าเล็ก ๆ ตรงนี้ให้สว่างขึ้น เหนือหัวพวกเขามีนกกางปีกบินออกไปพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างรื่นเริง เด็กสองคนสังเกตเห็นพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลเริ่มสั่นราวกับมีบางอย่างกำลังเดินผ่านมา...

 

“พี่สาม...ท่านพี่กลัวหรือไม่ ? ” ฉีโตวน้อยถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ เขารีบวิ่งเข้ามาหานางและพยายามดึงมือนางให้วิ่ง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความกลัวขณะมองสำรวจพื้นที่รอบ ๆ

 

หยูเสี่ยวเฉาจึงแกล้งล้อเขา “เจ้าเด็กขี้ขลาด ! ท่านพี่ฮันก็บอกแล้วมิใช่รึ ? ว่าเราอยู่เพียงแค่เขตรอบนอกของป่าลึก พวกสัตว์ตัวใหญ่ ๆ คงไม่มาที่นี่เป็นแน่ ยิ่งพวกตัวใหญ่ ๆ และดุร้ายน่ะคงมิเจอบริเวณนี้หรอก ! ไหนบอกว่าจะปกป้องพี่สาวมิใช่รึ เหตุใดถึงกลัวเสียเองเล่า ? ”

 

ฉีโตวปล่อยมือนางทันที เขาเริ่มรู้สึกอายและเริ่มฉีกหญ้าในมือเล่นพร้อมกับพึมพำเบา ๆ “ พอข้าโตขึ้น ข้าจะปกป้องพี่สามเอง อ๊ะ ! ดูสิ ท่านพี่ฮันกลับมาแล้ว ! ”

 

เสี่ยวเฉาหันหน้าไปทางที่จ้าวฮันจากไปเมื่อครู่ พุ่มไม้ส่งเสียงใบไม้เสียดสีกันเล็กน้อย แล้วร่างสูงของจ้าวฮันก็โผล่ออกมา “ดูสิว่าข้าได้อะไรมา !  พวกเจ้าสองคนคิดว่ามันคืออะไร ? ” เด็กหนุ่มถามขณะแกว่งของบางอย่างตรงหน้าเด็กน้อยทั้งสอง

 

ฉีโตวกระโดดแล้วตะโกนเสียงดังก้องไปทั่วทั้งป่า “ไข่ไก่ฟ้า ! พี่สาม ท่านพี่ฮันได้ไข่ไก่ฟ้ามาด้วยล่ะ ! อร่อยมากเลยนะพี่สาม มันช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ! ”

 

“อ่ะ เอาไปสิ ประเดี๋ยวพวกเราค่อยทำไข่กินด้วยกัน ! ” จ้าวฮันยิ้มกว้างพร้อมกับวางไข่ 5 ฟองลงในมือของสองพี่น้อง หลังจากนั้นเขาก็นำทางต่อ

 

กับดักทุกอันที่เขาวางไว้ก่อนหน้านี้อยู่ในพุ่มไม้หนา บางครั้งเด็กหนุ่มจึงต้องเดินออกนอกเส้นทางเพื่อตรวจสอบกับดักของเขา แล้วให้สองพี่น้องรออยู่บนทางเดิน หลังจากใช้เวลาไปราว ๆ 1 ชั่วยามเพื่อตรวจสอบกับดักไป 10 กว่าจุด เสี่ยวเฉาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย

 

โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องกลับมือเปล่า กับดักอันหนึ่งจับกระต่ายป่าตัวหนึ่งเอาไว้ได้ และจ้าวฮันเองก็ยิงนกเขาตัวอ้วนจ้ำม่ำได้อีกหนึ่งตัว

 

“พวกเจ้าคงเหนื่อยกันแล้ว พนันเลยว่าต้องหิวด้วยเป็นแน่ ข้ารู้ที่ดี ๆ ให้พวกเราหยุดพักทำอาหารกินกันด้วยล่ะ” จ้าวฮันคอยจับตาดูสองพี่น้องตลอดการเดินทาง

 

ฉีโตวน่ะไม่เป็นไร เขาใช้เวลาส่วนใหญ่วิ่งเล่นไปทั่วกับเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน จึงมีพลังงานล้นเหลือทีเดียว ซึ่งตรงข้ามกับหยูเสี่ยวเฉาที่มีร่างกายอ่อนแอ ความแตกต่างของทั้งสองคนมิใช่เรื่องน่าแปลกใจ สำหรับคนที่เกิดมาป่วยอยู่ตลอดอย่างเสี่ยวเฉานั้น สามารถเดินบนเส้นทางภูเขามาได้นานถึงเพียงนี้ก็เป็นเรื่องปาฏิหาริย์มากแล้ว

 

จ้าวฮันรู้จักพื้นที่ในป่าแถวนี้ดีไม่ต่างจากฝ่ามือตัวเอง เขาพาสองพี่น้องเดินผ่านพุ่มไม้หนาทึบและเดินผ่านป่าไปอีกประมาณ 1 เค่อ หยูเสี่ยวเฉาก็เห็นว่าพวกเขาได้เดินเข้ามาในบริเวณที่คาดไม่ถึง มันคือหุบเขาอันสวยงามที่เหมือนจู่ ๆ ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้

 

ทั้งสองด้านของหุบเขาถูกโอบล้อมไว้ด้วยภูเขา ใบไม้เขียวชอุ่มส่องประกายระยิบระยับในแสงแดด  หุบเขานี้ดูเหมือนถูกปูพรมด้วยพันธุ์ไม้สีเขียว ลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านหุบเขาแห่งนี้ ดูราวกับเส้นด้ายสีน้ำเงินที่ถักทออยู่บนผ้าไหมสีเขียวเนื้อดี กระทั่งอากาศก็ดูเหมือนจะสดชื่นและบริสุทธิ์กว่า !

 

“ว้าว ! ยอดเยี่ยมไปเลย ! ที่นี่สวยมากจริง ๆ ! ” หยูเสี่ยวเฉาสูดหายใจลึก ๆ เพื่อเอาอากาศที่สดชื่นเข้าปอด จ้าวฮันยิ้มและเฝ้ามองเด็กหญิงตัวน้อยกระโจนลงไปในหญ้าแล้วกลิ้งไปรอบ ๆ อย่างมีความสุข สำหรับเขา นางก็เหมือนลูกแมวน้อยที่ทั้งนิสัยเสียแล้วก็ยังน่ารัก

รีวิวผู้อ่าน