ตอนที่ 24 ประจบสอพลอ
อาหารของครอบครัวหยูมักไม่ใส่น้ำมัน มีเพียงสองโอกาสเท่านั้นที่ครอบครัวหยูจะได้กินเนื้อ หนึ่งคือตอนปีใหม่ และสองคือตอนที่หยูป่อซึ่งเป็นความหวังของทั้งครอบครัวกลับมาที่บ้าน ต้มผักกาดหมูสามชั้นคืออาหารจานโปรดตอนเด็ก ๆ ของหยูป่อ
หยูป่อกินอาหารประเภทผัดในเมืองเสียจนเคยชิน รสนิยมของเขาจึงเปลี่ยนไปนานแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธแม่ที่ห่วงใยใส่ใจเขาอย่างสุดหัวใจได้
นางจ้าวมองมายังเขาแล้วเดินเข้าไปในห้องตะวันตกอย่างเมินเฉย จ้าวเหมยหลันเป็นบุตรสาวคนเดียวของขุนนางเขต นางดูถูกครอบครัวหยูทั้งครอบครัว แม่สามีขี้เหนียว สะใภ้ใหญ่ก็หยาบคายและขี้เกียจ สะใภ้รองก็ขี้ขลาดไม่เอาไหน เด็ก ๆ ในตระกูลก็ไม่มีใครเชิดหน้าชูตาได้เลยสักคน
ถ้าเลือกได้นางก็ไม่อยากพักที่บ้านของตระกูลหยู แต่พวกเขาคือครอบครัวของสามี ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องไว้หน้าสามีของตัวเองบ้าง
เมื่อนางจางกลับจากร้านขายเนื้อหมู่บ้านข้าง ๆ พร้อมกับหมูสามชั้นครึ่งชั่ง นางหลิวก็ได้กลับมาจากการซักผ้าพอดี นางจางไม่ให้โอกาสหญิงสาวได้พักเลยแม้แต่น้อย นางจางสั่งนางหลี่ที่เดินถือไม้กวาดไปรอบ ๆ ลานบ้านว่า “ เจ้าไปตากผ้า ส่วนสะใภ้รอง เจ้าไปทำอาหาร ! ”
ทั้งครอบครัวยอมรับในฝีมือการทำอาหารของนางหลิวอย่างเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
นางจางล้างและหั่นหมูด้วยตนเอง หลังจากนั้นนางก็นับจำนวนชิ้นแล้วสั่งนางหลิวว่า “ ลูกสามชอบอาหารที่เจ้าทำมากที่สุด เยี่ยงนั้นแล้วเจ้าทำให้ดี ๆ ล่ะ พวกเจ้าก็มาช่วยทำด้วย ! ”
ถึงนางจางไม่พูด หยูเสี่ยวเฉากับพี่สาวของนางก็ไม่ปล่อยให้แม่ของพวกนางทำงานทั้งหมดลำพังอยู่แล้ว พอนางจางออกไป เสี่ยวเฉาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าล่ะสงสัยเสียจริงว่าท่านอาสามกับอาสะใภ้ชอบกิน ‘ต้มผักกาดหมูสามชั้น’ จริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ? ท่านแม่ ให้ข้าลองทำบ้างสักสองอย่างได้หรือไม่ ? ข้ามีสูตรอาหารที่ยังมิเคยได้ลองอยู่ในหัวเต็มไปหมด ! ”
“ก็เอาสิ แต่เจ้าห้ามยุ่งกับหมูสามชั้นเด็ดขาด ท่านย่านางรู้ดีว่ามันมีทั้งหมดกี่ชิ้น ! ” เวลาที่มีวัตถุดิบดี ๆ นางจางจะนับจำนวนอยู่เสมอเพราะกลัวว่าจะมีคนขโมยตอนทำอาหาร
‘ต้มรวมมิตรหม้อใหญ่’ เป็นอาหารขึ้นชื่อของทางเหนือ แต่ไม่ใช่ว่าวัตถุดิบทุกอย่างจะเหมาะกับต้มรวมมิตร หยูเสี่ยวเฉาเคยอยากกินอาหารผัด แต่นางไม่มีแม้กระทั่งน้ำมัน นางจางขี้เหนียวถึงขนาดที่ไม่ยอมซื้อน้ำมันพืชมาใช้เลยด้วยซ้ำ
เสี่ยวเฉามองหมูสามชั้นและพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ให้เอามันมาทำน้ำมันหมู เนื้อหมูเอาไปต้มกับผักกาดได้ และนางก็สามารถเอาน้ำมันหมูมาทำอาหารได้ด้วย
หลิวมู่หยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เนื้อหมูจะหดลงเล็กน้อยหลังจากที่เอาไขมันหมูออก แต่ถ้านางทำดี ๆ มันก็จะไม่ดูน่าเกลียดเกินไปนักตอนเอาไปต้ม วันนี้น้องสามกับน้องสะใภ้สามกลับมาที่บ้าน ดังนั้นอาหารเนื้อเพียงอย่างก็คงจะไม่เพียงพอ นอกจากนั้นอาหารอย่างอื่นก็จืดชืดไร้รสชาติ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจใช้ไขมันหมูทำน้ำมันหมูถ้วยเล็ก ๆ
ตระกูลหยูมีคนอยู่เยอะพอควร ดังนั้นพวกเขาจึงมักใช้ 2 เตาทำอาหาร เตานึงใช้ทำโจ๊กถั่ว ส่วนอีกเตาใช้ต้มผักกับทำแป้งลูกเดือย วันนี้นางจางมีความสุขเป็นอย่างมาก นางจึงเมตตา ‘อนุญาต’ ให้ทำแผ่นแป้งจากแป้งสาลีได้
นางยอมขี้เหนียวและทรมานตนเองยังดีกว่าให้ลูกชายคนเล็กของนางต้องทนทุกข์ นางไม่อยากให้ลูกสะใภ้คนเล็กที่เป็นบุตรสาวขุนนางดูถูกนางด้วย นางยังคงรอให้ลูกชายเอาตำแหน่งคุณนายมาให้นาง นางจะได้ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างมีความสุขกับความสำเร็จของลูกชายของนาง
หยูเสี่ยวเฉาเห็นแม่ใช้วิธีการปกติในการทำต้มผักกาดกับหมูสามชั้น นั่นคือการโยนทุกอย่างลงไปในหม้อ ด้วยความกลัวว่าอาหารจานนี้จะเละไม่เป็นท่า เสี่ยวเฉาจึงรีบห้ามแม่ทันที “ท่านแม่ ให้ข้าทำต้มผักกาดใส่หมูสามชั้นเถิด ข้าสัญญาว่ามันจะอร่อยกว่าที่ท่านแม่ทำอย่างแน่นอน ! ”
นางหลิวกลัวว่าหญิงชราจะดุเสี่ยวเฉา นางจึงปฏิเสธในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ทนการอ้อนวอนของเสี่ยวเฉากับเสี่ยวเหลียนไม่ได้จนต้องยอมแพ้ แต่นางก็ยืนกรานว่าจะคอยควบคุมอยู่ข้าง ๆ
เสี่ยวเฉาได้สั่งให้ฉีโตวไปขอยืมพริกจากตระกูลจ้าวมาไว้แล้ว ต้มผักกาดหมูสามชั้นหากไม่มีความเผ็ดร้อนเลยก็คงจะจืดชืดไร้รสชาติ
หลังจากตัดสินใจว่าจะไม่ใช้วิธีการปกติ นางก็ใช้กระทะน้ำมันในการผัดขิง, ต้นหอม, พริก, และพริกไทยเสฉวน จากนั้นก็ใส่เนื้อหมูลงไปผัดในกระทะโดยเติมเกลือและซอสถั่วเหลืองลงไปด้วย ต่อมานางก็วางแป้งลูกเดือยและผักกาดลงในกระทะ และหลังจากคิดอยู่สักพัก นางก็ใส่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ตามลงไปด้วย เสี่ยวเฉาสังเกตเห็นว่าน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถเพิ่มความสดได้ ! มันยังคงเป็นอาหารแบบเดิม แต่วิธีการทำที่ต่างออกไปช่วยให้รสชาติต่างกันราวกับพลิกฝ่ามือ
“กลิ่นหอมมาก ! วันนี้กินเนื้อกันด้วยรึ ? ” หยูไห่สือเล่นอยู่ข้างนอกตลอดทั้งวัน จมูกของเขาก็ยังคงใช้งานได้ราวกับสุนัข พอได้กลิ่นหอมน่ากินเขาก็ได้เดินตามกลิ่นเข้ามาในครัว
ก่อนที่เขาจะมีโอกาส‘ก่อวินาศกรรม’อาหาร นางจางที่เดินตามหลังเข้ามาก็ดึงหูของเขาและลากตัวออกไป “กิน ๆ ๆ ! รู้จักแต่จะกินเอาท่าเดียว ! นอกจากกินแล้วเจ้าทำอย่างอื่นเป็นบ้างหรือไม่ ? เจ้าจงเข้าไปอยู่ในห้องและอย่าได้ออกมา ! ถ้าเจ้ากล้าย่องออกมาขโมยกิน ข้าจะตัดมือเจ้าทิ้งเป็นแน่ ! ”
หลังจากนั้นนางจางก็ส่งสายตาเตือนนางหลี่ที่ยังอ้อยอิ่งอยู่หน้าครัว หลี่กุ้ยฮัวที่แสนขี้เกียจรีบก้มหัวแล้วเริ่มลงมือกวาดพื้นทันทีพร้อมกับหันกลับมามองเป็นระยะ
นางจางมองดูต้มผักกาดหมูสามชั้นแล้วสูดกลิ่นสองสามครั้ง จากนั้นจึงพูดว่า “ อืม ฝีมือการทำอาหารของเจ้าดีขึ้นนี่ ต่อไปเจ้าก็ปรุงเยี่ยงนี้แหละ ! ”
เสี่ยวเฉาพูดแทรกขึ้นมาว่า “ท่านย่า ถ้าท่านย่าซื้อน้ำมันถั่วเหลืองมา เราสามารถทำอาหารเช่นนี้ได้ทุกวันเลยนะเจ้าคะ ไม่มีน้ำมันพวกเราก็ทำอะไรมิได้หรอกเจ้าค่ะ ”
นางจางรู้สึกปวดใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงจำนวนเงินที่ต้องใช้ซื้อน้ำมัน แต่เพื่อคงศักดิ์ศรีของตนเองเอาไว้นางจึงหันหลังกลับพร้อมด่าไปด้วยว่า “ซื้อน้ำมัน ? ให้ข้าฉีกร่างตัวเองทำน้ำมันให้พวกเจ้าแทนดีหรือไม่ ? ”
เสี่ยวเฉาปากกระตุกแล้วบ่นพึมพำว่า “ถึงท่านย่าจะอยากทำ แต่ก็ใช่ว่าเราจะอยากกินเสียหน่อย แก่ ๆ เหี่ยว ๆ มีแต่กระดูกเยี่ยงนั้นจะเอามาทำน้ำมันได้สักแค่ไหนกันเชียว... ”
“เฉาเอ้อร์ ! พูดถึงผู้ใหญ่แบบนั้นได้เยี่ยงไรกัน ? ถ้ามีผู้อื่นได้ยินเข้าเจ้าจะทำเยี่ยงไร ? ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจหรือไม่ ! ” นางหลิวทำความสะอาดหม้อพร้อมกับสั่งสอนลูกสาวไปด้วย
หยูเสี่ยวเฉาไม่ได้เถียงกลับ แต่ก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ ‘ข้าต้องกตัญญูต่อผู้ใหญ่ แต่จะให้อุทิศตนแบบโง่ ๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน’
เสี่ยวเฉาระบายความโกรธด้วยการทำอาหาร นางทำผัดมะเขือยาวกับกระเทียม, ผัดถั่วฝักยาว, ผัดผักใบเขียวกับเห็ด, และต้มผักกาดหมูสามชั้นเสร็จอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าการทำอาหารเป็นสิ่งที่นางคุ้นเคยและทำมันอยู่เป็นประจำ
อีกหม้อนั้นมีกลิ่นหอมน่ากินของแกงปลาลอยออกมา แม้แต่นางจ้าวที่งีบหลับอยู่ในห้องก็รู้สึกแปลกใจกับ ‘อาหารหมู’ ของตระกูลหยู มันมีกลิ่นหอมน่ากินเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
“ได้เวลากินแล้ว ! ” ฉีโตวที่มีหน้าที่เฝ้าไฟในครัวตะโกนอย่างตื่นเต้น ฝีมือการทำอาหารของพี่สามยอดเยี่ยมจนเขาน้ำลายไหลยืดไปหมดแล้ว
ผู้ชายและผู้หญิงนั่งแยกโต๊ะกันตอนมื้อเช้า วันนี้โต๊ะของผู้หญิงก็มีอาหารเช่นเดียวกับโต๊ะของผู้ชาย อาหารทั้ง 4 หม้อถูกวางลงบนโต๊ะ พวกมันส่งกลิ่นหอมน่ากินออกมา ครอบครัวหยูมีคนเยอะ ดังนั้นอาหารที่ทำจึงมักจะทำในปริมาณที่มากเป็นพิเศษ
“มีเนื้อด้วย ! ข้าจะได้กินเนื้อ ! ” หยูไห่สือสูดน้ำมูกแล้วเอาแขนเสื้อที่ดำมอมแมมเช็ด ส่วนนางหลี่เองแทนที่จะล้างมือกลับเอามือสกปรก ๆ ของนาง เช็ดกับเสื้อผ้าเก่า ๆ ของนางเช่นเดียวกัน
นางจ้าวมองอย่างรังเกียจ นางเกือบจะอ้วกออกมา มีสองแม่ลูกจอมสกปรกคู่นี้อยู่ ไม่มีทางที่นางจะกินอาหารพวกนี้ลง
นางจางที่คอยสังเกตลูกสะใภ้คนเล็กอยู่จึงได้มองตามสายตาของนางจ้าวไป หญิงชราขมวดคิ้วแล้วหยิบถ้วยมาหนึ่งใบใส่กับข้าวแต่ละอย่างลงไป จากนั้นก็หันไปทางนางหลี่และลูกชาย “ที่โต๊ะคนเยอะเกินไป พวกเจ้าสองคนกลับไปกินที่ห้องตัวเองเสีย ! ”
นางหลี่มองเนื้อแล้วพูดอย่างไม่มีไหวพริบเลยว่า “ เรามีคนมาเพิ่มอีก 2 คนก็ต้องแออัดเป็นธรรมดา แล้วเหตุใดเด็กที่ยังไม่ถึง 10 ขวบถึงนั่งที่โต๊ะได้เล่า ? พวกแกรีบ ๆ กลับเข้าห้องไปสิ”
พูดจบนางก็ยกตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อหมูชิ้นที่ใหญ่ที่สุด แต่ทว่านางกลับโดนแม่สามีขวางกลางคัน นางจางจ้องลูกสะใภ้ใหญ่อย่างโกรธจัด “ข้าบอกให้เจ้ากลับไปกินที่ห้อง เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ไม่ให้เด็ก ๆ กินที่โต๊ะงั้นรึ เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้ากัน ? ”