ตอนที่ 32 นักชิม
ว้าว ! ข้าจะได้กินอาหารที่ร้านเจินซิว ! หยูเสี่ยวเฉาก้มหน้ามองน้องชาย แล้วถามความเห็นของจ้าวฮัน แล้วตอบตกลงทันที แต่นางจะไม่แสดงวิธีทำปลาเล็กพวกนี้ให้ผู้ใดดูทั้งสิ้น และขอให้ทุกคนออกไปจากครัว
คุณชายสามไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเสี่ยวเฉา เขาจึงพานางไปที่ครัวเล็กที่แยกออกมา หลังจากนั้นก็ยืนเฝ้าประตูด้วยตนเองเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดแอบดู ถ้าเป็นคนอื่นเขาไม่รู้หรอก แต่ถ้าเป็นหัวหน้าพ่อครัวหวังแล้วล่ะก็เขาจะต้องพยายามหาข้ออ้างเพื่อเข้าไปช่วยเสี่ยวเฉา
ความจริงปลาขาวพวกนี้มันมีรสชาติที่อร่อยอยู่แล้ว ต่อให้เสี่ยวเฉาไม่ได้ใช้เครื่องปรุงเสริมรสชาติให้มันมากมาย มันก็ยังมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี การเตรียมปลานั้นไม่ใช่เรื่องยากหรือมีความลับอะไร เสี่ยวเฉาแค่อยากทำให้มันดูลึกลับในฐานะ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เท่านั้น ในเมื่ออาจจะมีโอกาสร่วมมือกันในอนาคต
หยูเสี่ยวเฉาปรุงอาหารอย่างเรียบง่าย ซึ่งมีแค่เกลือ, ต้นหอม และขิงเท่านั้นเพื่อทำให้ซุปมีรสชาติอร่อยและสดชื่นมากยิ่งขึ้น นางจึงตักน้ำมาและบอกให้ทังหยวนน้อยลงไปแช่ จากนั้นก็เท ‘น้ำอาบ’ ของหินศักดิ์สิทธิ์ลงไปในซุป
น้ำซุปข้นสีขาวเหมือนน้ำนม เนื้อปลาละลายในปากทันที รสชาติอร่อยกลมกล่อมและสดชื่น...พวกเด็กหนุ่มที่โต๊ะแทบจะทะเลาะกันเพื่อแย่งซุปปลา
แม้แต่หยวนหยุ่นซีที่อ่อนโยนสุภาพและสง่างามก็กลายร่างเป็นอสูรร้ายเพื่อแย่งซุปปลาและเนื้อปลา มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ในเมื่อเขาได้รับอิทธิพลมาจากปู่ของเขาที่เป็นนักชิมอาวุโส และเขาก็กลายเป็นนักชิมรุ่นเล็กไปเสียแล้ว
ทางด้านผู้ร้ายอย่างหยูเสี่ยวเฉาตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านอาหารเจินซิว เสี่ยวเฉาและน้องชายต่างก็เพลิดเพลินกับอาหารกลางวันที่หรูที่สุดที่เคยกินมาตั้งแต่มาเกิดใหม่ที่นี่ พวกเขาเสิร์ฟอาหาร 6 อย่างและซุป 1 อย่างให้ทั้งสามคน เป็นอาหารประเภทเนื้อ 4 อย่างและผัก 2 อย่าง หัวหน้าพ่อครัวหวังลงมือทำอาหารทั้งหมดด้วยตนเอง ทุกจานคืออาหารที่ต้องใช้ฝีมือมากที่สุดของเขา ดังนั้นมันจึงรสชาติดีเป็นอย่างมาก
แม้แต่จ้าวฮันก็ยังกินจนอิ่มแปล้ เสี่ยวเฉากับฉีโตวกินถึงขั้นพุงกาง พอเห็นฉีโตวนั่งลูบพุงกลม ๆ พร้อมกับร้องครวญครางออกมา เสี่ยวเฉาก็นึกกลัวขึ้นมา นางจึงรีบช่วยเขาลูบพุง แย่แน่ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาเพราะกินมากเกินไป
[ มิเป็นไรหรอก แค่ดื่มน้ำอาบของข้าก็ช่วยย่อยและป้องกันความเจ็บป่วยได้แล้ว...] ตอนที่พวกเขากินอาหารกัน หินศักดิ์สิทธิ์น้อยก็บินวนอยู่รอบ ๆ อาหารที่ดูน่ากินพวกนั้นด้วยสายตาเป็นประกาย มันเกือบพุ่งลงไปในจานอาหารแล้วด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่เจ้าหินศักดิ์สิทธิ์น้อยไม่สามารถแตะต้องอาหารพวกนั้นได้
‘ฮึ่ม ! พอพลังของข้าฟื้นกลับมามากกว่านี้ แล้วข้าได้ร่างกายกลับคืนมาใด ถึงตอนนั้นข้าจะกินให้จุใจไปเลย ! ’
หยูเสี่ยวเฉาอยากเมินมันแต่ก็ทำได้ยาก นางจึงดีดมันออกไปเงียบ ๆ จนมันกระเด็นออกไป เจ้าตัวเล็กแยกเขี้ยวกางเล็บใส่เสี่ยวเฉาทันที
เสี่ยวเฉาเอาน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ไปแทนที่ชาในกาน้ำ แล้วเทให้จ้าวฮันจอกหนึ่ง จากนั้นก็ป้อนให้ฉีโตวและดื่มเองสองสามอึก
หยูเสี่ยวเฉาไม่ยอมให้ไก่ตุ๋นโสมที่เหลืออีกครึ่งต้องเสียเปล่า นางขอชามอ่างจากเสี่ยวเอ้อมาหนึ่งใบและเทไก่ตุ๋นโสมลงไปเพื่อเอากลับบ้าน นางยิ้มให้น้องชายและพูดว่า “ข้าแค่กลัวว่าพวกเราจะไม่ได้เอาของดี ๆ ไปให้ท่านพี่ใหญ่กินเลยน่ะ ! ”
หลังอาหารกลางวัน หยูเสี่ยวเฉาก็พูดคุยกับผู้จัดการร้านอีกสองสามคำ แล้วถามทางไปร้านไม้ที่ชื่อ ‘จางจี้’ จากนั้นก็เดินทางไปพร้อมจ้าวฮันและน้องชายของนาง
บนถนนมีเสียงพ่อค้าตะโกนขายของ เสียงลูกค้าต่อรองราคา และเสียงทักทายของคนรู้จัก เมื่อเสียงทั้งหมดร้อยเรียงเข้าด้วยกันก็กลายเป็นเสียงเพลงที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตชีวาของตลาดในเมือง
“ขนมจ้าขนม ! ขนมน้ำตาลก็มี ! ขนมน้ำตาลหวาน ๆ จ้า ! ” พ่อค้าขนมตะโกนเสียงดังขณะเดินผ่าน ฉีโตวหันกลับไปมองขนมน้ำตาลคลุกผงสีขาวที่พ่อค้าแบกอยู่ราวกับว่าตาของเขาจะติดอยู่ที่ขนมน้ำตาลและเอาออกมาไม่ได้
เด็ก ๆ จากครอบครัวที่ยากจนแทบจะไม่มีโอกาสได้กินขนมเลยด้วยซ้ำ ในช่วงปีใหม่ปีในปีที่แล้ว ท่านพ่อของพวกเขาจับกวางมาได้และขายได้ราคาดี ดังนั้นเขาจึงซื้อขนมน้ำตาลมาให้ลูก ๆ ของเขา 1 ชั่ง แต่นางจางกลับด่าท่านพ่อของพวกเขาอยู่ 1 ชั่วยามเต็ม ๆ บอกว่าเขาตามใจลูกของเขามากเกินไปและใช้เงินสิ้นเปลือง แล้วนางยังเอาขนมไปซ่อนโดยอ้างว่าต้องเก็บไว้ให้แขกอีกด้วย
สุดท้ายท่านปู่ของพวกเขาก็ได้ช่วยพูดให้จนเด็ก ๆ ได้ขนมน้ำตาลกลับมาสองสามอัน และท่านย่าของพวกเขาก็ไม่ยอมให้ขนมน้ำตาลใครอีกไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตาม แต่ละคนจึงได้เศษขนมน้ำตาลอันเท่าเล็บมือกันคนละอัน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับขนมน้ำตาลที่เหลือ แต่ฉีโตวน้อยไม่เคยลืมรสชาติหวาน ๆ เหนียว ๆ นั่นเลย มันเหนียวนุ่มหนึบหนับอีกทั้งยังเคี้ยวเพลินเกินห้ามใจ
เสี่ยวเฉาเห็นสีหน้าของน้องชายจึงรู้สึกเศร้าขึ้นมา นางเรียกพ่อค้าขนมและเอาเงินออกมา “เอาขนมน้ำตาล 10 อีแปะเจ้าค่ะ”
ถึงแม้เสื้อผ้าของสองพี่น้องจะเก่าซอมซ่อแต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน ดังนั้นพ่อค้าจึงไม่ได้ดูถูกพวกเขาพร้อมกับยิ้มแล้วตอบว่า “ได้เลย ! ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ! ” ฉีโตวกลืนน้ำลายพร้อมกับส่ายหน้า “พี่สามอย่าเปลืองเงินโดยใช่เหตุเลยขอรับ ข้าไม่ชอบกินขนมหรอก”
เสี่ยวเฉาลูบหัวเขาด้วยความรู้สึกปวดใจ นางยิ้มและพูดว่า “ข้าอยากกินน่ะ ! วันนี้พวกเราได้เงินมามิใช่รึ ? ใช้แค่ 10 อีแปะจะเป็นอะไรไปเล่า ! คุณลุงเจ้าของร้านโปรดชั่งให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ ! ”
พ่อค้าขนมดีใจที่ได้ยินนางเรียกว่า ‘คุณลุงเจ้าของร้าน’ เขาแบกขนมขายตามถนนทุกวัน แต่ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการเปิดร้านขายขนมและได้เป็นเจ้าของร้าน ตอนตัดแบ่งขนมน้ำตาลเขาจึงเอียงมีดเล็กน้อยเพื่อตัดขนมน้ำตาลให้เด็ก ๆ ได้มากขึ้นอีกหน่อย
เสี่ยวเฉาขอให้พ่อค้าตัดแบ่งขนมน้ำตาลให้ขนาดเท่านิ้วโป้ง นางหยิบขนมน้ำตาลขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วเอากระดาษห่อที่เหลือไว้ จากนั้นนางก็จงใจโบกขนมไปมาที่เบื้องหน้าหน้าฉีโตว แล้วสูดกลิ่นหอมของมันพร้อมกับอุทานเสียงดัง “หอมยิ่งนัก ! ต้องอร่อยมากเป็นแน่ เสียดายที่น้องชายของข้าไม่ชอบกินขนมพวกนี้ สงสัยข้าคงต้องกินเองคนเดียวเสียแล้ว ! ”
ฉีโตวเลียปากมองพี่สาวแกว่งขนมน้ำตาลไปมา เขาทำหน้าน่าสงสารเหมือนลูกหมาน้อยอยากได้กระดูก แต่เขาก็พยายามระงับความต้องการเอาไว้และไม่เอ่ยปากขอขนมน้ำตาลจากพี่สาว
เสี่ยวเฉาหยุดแกล้งฉีโตวแล้วยัดขนมน้ำตาลใส่ปากของน้องชาย หลังจากนั้นนางก็คว้าตัวน้องชายเข้ามากอดพร้อมกับพูดว่า “ฉีโตว วันข้างหน้าพี่สามจะซื้อขนมน้ำตาลให้เจ้าทุกวันเลย ข้าจะซื้อขนมอร่อย ๆ ให้... ”
“ไม่เอา ! พอพวกเรามีเงิน พวกเราต้องซื้อผ้านวมก่อน ผ้าฝ้ายที่ยัดไว้ในผ้านวมของท่านพ่อกับท่านแม่หลุดออกมาหมดแล้ว แล้วพวกเราก็ต้องซื้อเสื้อผ้าให้ท่านพี่กับท่านพี่ใหญ่อีกด้วย เสื้อผ้าของท่านพี่เล็กเกินไป จะใส่ไม่ได้อยู่แล้วนะ ข้าไม่ได้กินขนมน้ำตาลก็ไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ ! ”
เด็กน้อยอมขนมน้ำตาลเอาไว้โดยไม่ยอมเคี้ยว และทำได้เพียงแค่ใช้ลิ้นเลียขนมน้ำตาล รสชาติหวานหอมค่อย ๆ ละลายในปากอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นฉีโตวก็ได้แสดงสีหน้าเคลิบเคลิ้มเหมือนลูกแมวน้อยที่กำลังมีความสุข
“ก็ได้ ๆ ! พอเราแยกบ้านแล้วข้าจะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ทุกคนเลย แล้วก็พวกเครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าปูเตียงด้วย ข้าจะซื้อข้าวขาวมาทำหมั่นโถวที่ทำจากแป้งขาวให้ฉีโตวกินทุกวันเลยเป็นไง... ” เสี่ยวเฉาจับมือน้องชายแล้วเดินมุ่งหน้าต่อไปยังร้านไม้
ฉีโตวยิ้มกว้างอย่างมีความสุข “กินข้าวขาวกับแป้งขาวทุกวันมันจะไม่เปลืองรึ ? น่าจะเก็บเงินไว้เผื่อมีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้จะไม่ดีกว่ารึท่านพี่...”
จ้าวฮันเดินอยู่ข้างหลังสองพี่น้องและฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ นี่คือความรักของพี่น้องงั้นรึ ? เขาเป็นลูกคนเดียวและแทบจะไม่ได้ติดต่อกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านเลย ขณะที่เขาเฝ้าดูความสัมพันธ์อันสนิทสนมกลมเกลียวระหว่างสองพี่น้องแล้ว ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกก็ผุดขึ้นในใจของเขา
เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีถนนทั้งแนวตั้งแนวนอนอยู่ 3 สาย ร้านไม้ที่หยูฮังพี่ชายของเสี่ยวเฉา ‘ทำงาน’ อยู่และร้านอาหารเจินซิวนั้นตั้งอยู่บนถนนที่วุ่นวายผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด ขณะที่เดินคุยกันมาเรื่อยเปื่อย สองพี่น้องก็มองเห็นป้ายร้านไม้ของจางจี้
ชาติก่อนเสี่ยวเฉาลาออกจากโรงเรียนมัธยมก่อนที่จะเรียนจบ หลังจากมาเกิดใหม่ที่นี่และต้องเจอกับตัวอักษรจีนโบราณที่ซับซ้อน นางก็แทบจะกลายเป็นคนไม่รู้หนังสือและพอจะเดาได้แค่บางคำเท่านั้น
ช่างฝีมือที่ร้านไม้เป็นช่างที่มีฝีมือดีและผู้จัดการมักจะไปที่เมืองหลวงเพื่อ ‘ฝึกฝน’ อยู่บ่อย ๆ คนในเมืองและคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เมืองที่จะมีฐานะพวกเขาจะสั่งทำของตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านที่ร้านไม้ของจางจี้ ดังนั้นกิจการไม้ของพวกเขาจึงรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
เมื่อเด็ก ๆ จูงมือกันเข้าไปในร้าน คนงานคนหนึ่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีเมื่อเห็นเสื้อผ้าของพวกเด็ก ๆ เขาตะโกนไล่เด็กน้อยทั้งสามเสียงดัง “ไป ๆ ๆ ! ที่นี่มิใช่ที่ที่พวกยาจกอย่างพวกแกจะมาเล่นกันได้ ออกไปประเดี๋ยวนี้ ! ”
หยูเสี่ยวเฉาขมวดคิ้ว แม้ว่านางจะโกรธคนงานหัวสูงนี่ แต่นางก็ได้ระงับโทสะไว้แล้วถามว่า “พี่ชาย พี่ใหญ่ของข้าฝึกงานอยู่ที่ร้านไม้นี้ เขาชื่อหยูฮัง รบกวนพี่ชายช่วยบอกเขาให้หน่อยได้หรือไม่ว่าน้องของเขามาเยี่ยม”
“หยูฮัง ? เดือนที่แล้วก็มีคนมาเยี่ยมเขาแล้วนี่ เหตุใดถึงต้องมากันอีก ? ถ้าไม่อยากให้เขาทำงานที่นี่ก็ให้เขากลับไป นึกจะเข้าจะออกกันตามใจเยี่ยงนี้ คิดว่าที่นี่เป็นที่ไหนกัน ? ” คนงานทำหน้าหงุดหงิดและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
เสี่ยวเฉาสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้และพูดเสียงนุ่ม “พี่ชายเจ้าคะ กว่าข้าจะมาถึงที่นี่ได้มันไม่ง่ายเลย โปรดช่วยเราด้วยเถอะนะเจ้าคะ”
คนงานปาผ้าขี้ริ้วในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วเดินไปทางประตูหลังร้าน จากนั้นก็ตะโกนไปที่สวน “หยูฮัง ! หยูฮัง ! มีคนมาหาเจ้า ! ”
คนงานกลับมาที่หน้าร้านโดยไม่รอคำตอบ เขาหยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นมาแล้วไล่พวกเขาให้ออกจากร้านราวกับว่ากำลังไล่แมลงวัน “ออกไปรอข้างนอก ! อย่ามาขวางการค้าการขายหน้าร้าน...ท่านฟาง เชิญขอรับเชิญ ! ฉากกั้นที่ท่านสั่งไว้ได้แล้วขอรับ เชิญเข้ามาดูได้เลยขอรับ ! ”
ชายหนุ่มในเสื้อผ้าชั้นดีดูสง่างามก้าวออกมาจากรถม้าที่มาจอดด้านหน้าร้านไม้พร้อมกับคนรับใช้ เมื่อคนงานเห็นเขาก็รีบปั้นยิ้มประจบประแจงและพาเขาเข้าไปในร้านอย่างสุภาพ
หยูเสี่ยวเฉายักไหล่และแสยะยิ้มเล็กน้อย ‘คนเรานี่ก็นะ นี่สินะความเป็นจริงของชีวิต’
ชายหนุ่มคนนั้นชำเลืองมองสองพี่น้องเล็กน้อย สายตาของเขาหยุดอยู่ที่รอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองของนางแวบหนึ่ง ฟางสวินเห็นพฤติกรรมเมื่อครู่ของคนงานแล้ว เขาจึงเดาได้ว่าคนเหล่านี้มาจากครอบครัวยากจน สายตาคู่นั้นของนางช่างมีหลากหลายความรู้สึก ไม่พอใจ, เศร้าใจ, จึงอยากจะหลบลี้หนีหน้า...
เขาไม่คิดว่าตัวพี่สาวจะแค่ยิ้มอย่างเฉยเมยด้วยสีหน้าสงบด้วยท่าทีที่ทั้งไม่หยิ่งจองหองและไม่ถ่อมตนนั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอนาคตที่ไม่ธรรมดาของนาง แต่ฟานสวินก็ไม่ได้หยุดเดินเพราะเรื่องเพียงเท่านี้ เขาคิดว่าพวกเขาก็เป็นแค่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในชีวิตของแต่ละคนเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเขาจะได้พบนางอีกในอนาคตอันใกล้นี้...
“น้องสาม, ฉีโตว มาทำอันใดในเมืองรึ ? ” หยูฮังเดินกระโผลกกระเผลกออกมาจากร้าน เขาได้แสดงสีหน้าดีใจออกมา
“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับขาของท่านรึ ? หน้าของท่านก็ด้วย... ” ฉีโตวลืมตากว้างและถามอย่างเป็นห่วง
หยูเสี่ยวเฉาลอบมองดูดี ๆ แล้วเห็นรอยบวมแดงที่หน้าของหยูฮังสองรอยอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นเขาก็ดูเจ็บตอนที่เดินอีกด้วย
หยูฮังแตะรอยฟกช้ำที่หน้าแล้วแกล้งทำเป็นสบายดี “ ไม่มีอะไรหรอก ตอนที่ข้าทำงานข้าสะดุดไม้ล้ม ก็เลยเท้าเคล็ด ส่วนหน้าก็ไปครูดเข้ากับกิ่งไม้ บาดเจ็บเล็ก ๆ แค่นี้พวกเจ้ามิต้องกังวลหรอก น้องสามช่วงนี้เจ้าแข็งแรงขึ้นแล้วรึ ? ที่บ้านเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? มีอาหารพอกินหรือไม่ ? ”