px

เรื่อง :
ตอนที่ 3 วันสิ้นโลกและระบบ


ตอนที่ 3 วันสิ้นโลกและระบบ

 

“ได้รับการเสริมพลังวิญญาณ การสืบทอดระบบลัทธิเต๋าได้เปิดออกแล้ว!”

ไม่รู้ว่าสลบไสลไปนานแค่ไหน น้ำเสียงเย็นชาของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของฮวางซางจนทำให้เขาตื่นขึ้นมา

หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองนั้นได้มาอยู่ในความว่างเปล่าของความมืดที่ไร้ขอบเขตอย่างคาดไม่ถึง ราวกับอยู่ในเหวลึกที่ไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น

ความว่างเปล่านี้ดูเหมือนจะไร้ท้องฟ้าไร้พื้นดินและเงียบสงัดในเวลาเดียวกัน นอกจากฮวางซางกับแสงสีฟ้าที่มองเห็นได้ลางๆจากที่ไกลๆนั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

“ที่นี่มันที่ไหน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เมื่อนึกย้อนกลับไปเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่จะสลบไสล รวมทั้งเสียงที่เพิ่งจะได้ยินเมื่อสักครู่ ในใจของฮวางซางก็อดที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เขาทั้งงุนงงและตื่นตระหนก

“ผู้อาศัยเจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไปหรอก  ที่ๆเจ้าอยู่ในตอนนี้คือมหาสมุทรความคิดของเจ้าเอง แล้วก็กาฝากของระบบนี้ด้วย”

ความคิดของฮวางซางผุดขึ้นมาในชั่วพริบตา เสียงที่ดังก่อนหน้านั้นก็ดังขึ้นมาจากแสงสีฟ้าของหยกเม็ดนั้นอีกครั้ง “ระบบเดิมทีถูกเรียกขานว่าระบบสืบทอดทางลัทธิเต๋า คือมหากัปยุคเสื่อมอันใหญ่หลวงในช่วงปลายปี ศาสนาคือเชื้อเพลิงของอารยธรรมสืบทอดต่อกันมาและยังเป็นอาวุธที่ช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์อีกด้วย”

“ระบบ? ผู้อาศัย?เดี๋ยวนะ ให้ฉันค่อยๆคิดก่อน....”

เมื่อได้ยินเสียงที่แผ่ขยายออกมาจากแสงสีฟ้านั้น  ฮวางซางก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองนั้นเกิดอาการใช้งานไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย

โดยปกติแล้วเขาจะอ่านนิยายเป็นบางครั้ง ดังนั้นสำหรับเรื่องระบบและผู้อาศัยเหล่านี้จึงไม่ได้แปลกใจมากนัก แต่คำถามเรื่องระบบสืบทอดด้านลัทธิเต๋านั้นต่างหาก?

สิ่งเก่าแก่อย่างของลัทธิประเภทนี้กับระบบทางด้านวิทยาศาสตร์สอดคล้องกันตอนไหนเหรอ?

“ความเก่าแก่นั้นล้าหลังไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร  ความจริงแล้วอายธรรมของลัทธิเต๋านั้นก้าวหน้ามากกว่าอารยธรรมสมัยใหม่ของผู้อาศัยซะอีก  เพียงแค่ว่าแตกต่างกันที่รูปลักษณ์เท่านั้น”

“อีกทั้งวิธีการสืบทอดก็เป็นเพียงแค่ภาพในใจเท่านั้น เนื้อหาของการสืบทอดต่างหากถึงจะเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าผู้อาศัยไม่คุ้นเคยกับระบบ ระบบก็อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบของอาวุธวิญญาณไม่ก็รูปแบบใดๆก็ตามที่สามารถสืบทอดได้ก็เป็นได้”

แสงสีฟ้านี้ดูเหมือนจะเข้าใจความคิดทั้งหมดในใจของฮวางซาง ดังนั้นฮวางซางจึงไม่พูดอะไรออกมาเพราะแสงสีฟ้านั้นได้ไขข้อสงสัยให้กับเขาแล้ว

“แล้วหยกชิ้นนั้นของนายละ? ทำไมถึงเลือกฉัน?”

ประสบการณ์ชีวิตที่พิเศษในวัยเด็กและอาชีพหมอนิติเวชหลายปีมานี้ทำให้ฮวางซางมีระบบประสาทที่แข็งแรงและอดทนมากกว่าคนปกติทั่วไป ดังนั้นถึงแม้ว่าในใจของเขาในเวลานี้จะเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและความสงสัยก็ตาม แต่สุดท้ายก็ยังบีบบังคับให้ตัวเองสงบลงได้ ก่อนถามขึ้นด้วยความสงสัย

“โชคชะตาถูกกำหนดไว้แล้ว!”

บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆก็ได้  แสงสีฟ้าที่เรียกว่าระบบนั้นก็ได้เปล่งระยิบระยับขึ้นมาทันใดนนั้น“ยุคเสื่อมของเทพเจ้ามากมายที่สูญสลายไปจนถึงวันนี้ได้ผ่านมาหลายสมัยแล้ว ระบบก็คงจะเคยโดนใช้มานับไม่ถ้วนเช่นกัน  เพียงแค่มหากัปยุคเสื่อมในเวลานี้ที่อยู่ในมือของผู้อาศัยได้หายไป กระแสพลังเหนือธรรมชาตินั้นก็เริ่มจะปรากฏออกมาดังนั้นระบบที่เพิ่งจะฟื้นคืนขึ้นมาจึงได้เลือกผู้อาศัยยังไงละ”

“อะไรคือมหากัปยุคเสื่อม กระแสพลังเหนือธรรมชาติแล้วก็เทพเจ้ามากมายมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”

เมื่อได้ยินคำพูดของระบบ ความสงสัยในใจของฮวางซางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“มหากัปยุคเสื่อมมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะพลังวิญญาณนั้นได้สูญสิ้นไปจากฟ้าและดิน ดังนั้นความแข็งแกร่งจึงยังอยู่โดยไม่มีพลังงานใดเข้ามาเสริม เป็นเพียงแค่เคราะห์ยามร้ายที่ค่อยๆมลายหายไปเท่านั้น”

ระบบได้ให้คำตอบอีกครั้ง  “ในความจริงแล้ว ผู้อาศัยนั้นก็รู้เรื่องของเทพเจ้าเซียน ภูตผีปีศาจอยู่แล้ว ทั้งหมดคือการดำรงที่ยังแข็งแกร่งอยู่”

“เดี๋ยวนะ ให้ฉันจัดการความคิดสักหน่อย สมองของฉันตีกันมั่วไปหมดแล้ว นายหมายความว่า พวกเราทั้งหมดรู้ว่าเทพเจ้าเซียน ภูตผีปีศาจเหล่านั้นว่ามีอยู่จริงอย่างนั้นเหรอ? เพียงแค่มันสูญสิ้นไปแล้วเท่านั้นเหรอ?”

ฮวางซางได้ค้นพบในสิ่งที่ที่ไม่เข้าใจอย่างรวดเร็ว  “แต่นี่มันไร้เหตุผลชัดๆ นายพูดว่ามหากัปยุคเสื่อมนั้นได้ทำลายเทพเจ้าเซียนไปจนสูญสิ้นและยังห่างจากตอนนี้หลายช่วงอายุอีก แล้วทำไมตอนนี้ยังมีตำนานเรื่องเทพเจ้าหรือแม้กระทั้งลัทธิเต๋าอยู่อีกละ?”“ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งที่ยังอยู่เหล่านั้นได้ถูกทำลายร้างไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นจิตใจที่แน่วแน่ของพวกเขายังมีอิทธิพลต่อฟ้าดินอย่างไม่หยุดยั้งนะสิ”

“ด้วยเหตุนี้ ตอนที่ฟ้าและดินปรากฏอารยธรรมทางสติปัญญาขึ้นมา สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบต่อร่างกายเช่นกัน การบรรยายถึงการดำรงชีวิตเหล่านั้นในรูปแบบของตัวเอง หลังจากนั้นก็ได้แพร่ขยายต่อไป”

“ดังนั้น ถึงแม้ว่าการดำรงอยู่ของเทพเข้ากับการทำลายล้างจะผ่านมาหลายช่วงอายุขัยแล้วก็ตาม แต่เรื่องราวในนั้นก็เคยมีเรื่องของการเฟื่องฟูและการทำลายล้างนับไม่ถ้วนรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมด้านสติปัญญาในสมัยไหน ก็เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาของตำนานเทพเจ้าเท่านั้น เช่นเดียวกับอารยธรรมที่ผู้อาศัยอยู่ในสมัยนี้ยังไงละ ”

ระบบได้ไขข้อสงสัยให้กับฮวางซางอีกครั้ง และก็ได้พูดเรื่องที่สำคัญที่สุดในเวลาเดียวกันอีกด้วย  “เพียงแค่มันแตกต่าง เมื่ออารยธรรมของผู้อาศัยในสมัยนี้ได้เผชิญหน้ากับกระแสพลังเหนือธรรมชาตินั้น  เทพเจ้ามากมายได้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง แต่ผู้อาศัยจะต้องใช้การช่วยเหลือของระบบภายใต้ศาสนาของข้าในการสังหารภูตผีปีศาจ สุดท้ายจะนำมาซึ่งมหากัปของการดำรงชีวิตของมนุษยชาติ”

“เดี๋ยวก่อนนะ!”

เมื่อได้ยินคำว่า “มหากัป” ฮวางซางก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด  “นายจะบอกว่ามหากัปยุคเสื่อมนั้นได้ผ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไอ้มหากัปอะไรเนี่ยยังจะมาอีกละ?”

“มหากัปยุคเสื่อมได้ผ่านไปแล้ว แต่พลังวิญญาณได้กลับทะลักเข้ามาอีก นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์สำหรับมนุษย์แต่ก็เป็นมหากัปยุคเสื่อมครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์เช่นกัน”

“การทะลักเข้ามาของพลังวิญญาณ ทำให้โลกที่ไม่มีเรื่องของเทพเจ้าเซียนภูตผีปีศาจ ได้กำเนิดเทพเจ้าใหม่ขึ้นมา หรือพูดได้ว่าได้กำเนิดพลังของภูติผีขึ้นมาอย่างงั้นเหรอ! ”

“พูดง่ายๆก็คือ พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเชื่อของมนุษยชาติ การเลื่อมใสศรัทธา ความน่ากลัวทั้งหมดรวมไปถึงภาพมายาทั้งหมดจะกลายเป็นความจริง!”

คำว่า “มหากัปยุคเสื่อม” ระบบก็ให้ความสำคัญมากจนหาที่เปรียบไม่ได้ “การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการเปลี่ยนจากความอ่อนแอไปสู่ความแข็งแกร่ง จนกว่าจะมีพระเจ้าหรือปีศาจที่ครอบครองได้ทุกสรรพสิ่ง แต่วันนี้ผู้อาศัยก็ได้พบกับซอมบี้เหล่านั้นแล้ว  เพียงแค่ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้งของกระแสพลังเหนือธรรมชาตินั้นจะทำให้สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดค่อยๆปรากฏออกมา!”

“ซอมบี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นอย่างนั้นเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของระบบ ในใจของฮวางซางก็สั่นคลอนขึ้นมาทันใด

เขารู้เพียงว่าซอมบี้เป็นการดำรงอยู่ของการทำลายล้างที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้แล้ว แต่วันนี้ระบบกลับพูดว่าซอมบี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของทั้งหมด? หรือว่าถ้าหลังจากนี้เป็นความจริงอย่างที่ระบบพูด ว่ายังมีการดำรงอยู่ของสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า เทพเจ้าเซียนภูตผีปีศาจที่เป็นตำนานจริงๆละ?

งั้นถ้าถึงตอนนั้น ความเชื่อที่ว่ามนุษยชาติเป็นผู้ชี้ขาดของโลกจะทำอย่างไรละ?

“ระบบเทพเจ้าที่เคยแข็งแกร่งผู้นั้น ถ้ามันเป็นการตื่นตัวของพลังเหนือธรรมชาติจริงๆละก็ งั้นพวกเขาก็ควรตื่นตัวโดยเร็วที่สุดสิ?”

ทันใดนั้น ฮวางซางก็คิดถึงปัญหาที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นทำไมศาสนายังคงสร้างของใช้ต่างๆสืบทอดต่อๆกันมาละ?”

“มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายตามที่ผู้อาศัยคิดหรอก เทพเจ้าได้ดำรงอยู่อย่างแข็งแกร่งแต่เนื่องจากความแข็งแกร่งเช่นนี้ การจะให้พลังตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก      ”

“แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ การดำรงอยู่ของความอ่อนแอกลับสามารถพึ่งพิงการรวมตัวของพลังความอ่อนแอเล็กๆเหล่านั้นได้  ต่อมาการดำรงอยู่ของความอ่อนแอก็ได้กลืนกินชีวิตของพวกเขาจนสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองขึ้นมา แม้กระทั้งแปรเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งราวกับเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น”

“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความดีและความชั่วของการดำรงอยู่เหล่านี้ที่ยังไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดต่างหาก ถ้าทำให้การดำรงอยู่ของความชั่วร้ายนี้แปรเปลี่ยนไปจนหาที่เปรียบไม่ได้ งั้นวันสิ้นสุดของมนุษยชาติก็เป็นตัวชี้ขาดของโลกใบนี้ ”

“ดังนั้น ไม่ว่าจะเพื่อลัทธิเต๋า เพื่ออาณาประชาราษฎร์ที่อยู่ใต้ฟ้านี้หรือเพื่อผู้อาศัยเอง เจ้าจำเป็นต้องขัดขวางเรื่องนี้ให้ได้”

น้ำเสียงของระบบยังคงหนักแน่นและเย็นชา และมันก็กดดันจิตใจภายในของฮวางซางมากขึ้นไปอีกในเวลาเดียวกันอีกด้วย

ถ้าทั้งหมดนี้คือความจริง งั้นมนุษยชาติก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์นะสิ!

แต่ในภัยพิบัติครั้งนี้  เขาจะไปทำอะไรได้อีกละ?

“ฉันจะไปขัดขวางทั้งหมดนี้ได้ยังไง?”

ถึงฮวางซางจะไม่ใช่นักปราชญ์  แต่เขาก็รู้สัจธรรมที่เมื่อรังนกพลิกคว่ำไข่ก็หล่นลงแตกหมดไม่ว่าจะยังไงทุกคนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นต่อให้ทำเพื่อตัวเองในเวลานี้ เขาจะไปขัดขวางเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามที่ระบบได้กล่าวไว้

“กระแสพลังเหนือธรรมชาติที่ทะลักเข้ามา สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งอย่างในโลกนี้จะมีโอกาสแข็งแกร่งขึ้น ผู้อาศัยก็ต้องแข็งแกร่งกว่าการดำรงอยู่ของสิ่งใดๆก็ตามภายใต้การช่วยเหลือของระบบ”

น้ำเสียงที่เย็นชาที่ดังขึ้นต่อมา แสงสีฟ้านั้นก็เปล่งขึ้นมา หลังจากนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของฮวางซาง รวมตัวกันเป็นหนังสือโบราณเล็กๆเล่มหนึ่ง

เพียงแต่ตัวอักษรจีนที่อยู่บนหน้าหนังสือเล่มนี้นั้นโบราณและลึกซึ้งมาก  ฮวางซางจึงไม่เข้าใจ

“นี่คือวิชาการสร้างความแข็งแกร่งที่สุดของลัทธิเต๋า – วิชาหลอมรวมเป็นหนึ่ง!”

ระบบพูดต่อ “วิธีการบำเพ็ญฌานสามารถสร้างโครงสร้างที่แข็งแกร่งให้กับผู้อาศัยได้ เพื่อเป็นการวางรากฐานที่ดีในการฝึกวิชาลับอีกมากมายในครั้งต่อไปได้ และยังได้เพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้กับผู้อาศัยในเวลาเดียวกันอีกด้วย เพื่อให้ผู้อาศัยได้รับมือกับมหากัปยุคเสื่อม”

เมื่อสิ้นสุดเสียง หนังสือเล่านั้นก็พังทลายลงดังสะเทือนเลือนลั่น กลายเป็นแสงสีฟ้าที่เข้ามาในตัวของฮวางซาง

ในเวลานี้ ฮวางซางรับรู้ได้ถึงเสียงอื้ออึงที่แผ่ขยายออกมาจากในหัวของเขา  ข้อมูลต่างๆที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา

ข้อมูลเหล่านี้ลึกลับมาก แม้กระทั้งฮวางซางเองก็ยังไม่เคยได้สัมผัสรับรู้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าทำไมข้อมูลเหล่านี้ที่ได้ทะลักเข้ามาในหัวของฮวางซางนี้ เขากลับค้นพบว่าตัวเองนั้นเข้าใจข้อมูลเหล่านี้อย่างคาดไม่ถึง

วิชาหลอมรวมเป็นหนึ่งคือการตรัสรู้อย่างหนึ่งที่น่ามหัศจรรย์ใจอย่างมาก สิ่งสำคัญนั้นทำให้ตัวเองกลายเป็นเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง หลังจากนั้นพลังเหนือธรรมชาติของฟ้าดินจะกลายเป็นเส้นไหม  จิตใจแน่วแน่ของตัวเองนั้นเป็นเหมือนเข็มที่จะช่วยถักทอความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง ทำให้ตัวเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้ฮวางซางจะเข้าใจหลักการตรัสรู้นี้ก็ตาม แต่กลับไม่เข้าใจพลังเหนือธรรมชาติฟ้าดินทั้งหมดหมดว่ามันคืออะไร

“ถ้ามหากัปยุคเสื่อมสิ้นสุดลงในวันนี้ พลังเหนือธรรมชาติที่มีอยู่ทุกที่การรอให้ผู้อาศัยนั้นหลีกหายออกไปจากความคิดดั่งมหาสมุทร  ถ้าไม่มีพลังภายนอกช่วยปลุกเสกให้ การเข้าฌานของตัวเอง  วิชาหลอมรวมเป็นหนึ่งต่อให้มีพรสวรรค์เป็นเลิศมาแค่ไหนก็ยังต้องใช้เวลาถึง 30 ปี

มันเป็นปัญหาที่ฮวางซางไม่เข้าใจแต่ระบบเข้าใจ เพียงแค่ว่าคำพูดที่ระบบพูดออกมานั้นกลับทำให้

ฮวางซางหวาดกลัวราวกับถูกน้ำเย็นๆราดลงไปบนหัวอย่างไรอย่างนั้น

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดรึเปล่า การเข้าฌานต้องใช้เวลาถึง 30 ปี งั้นการครอบคลุมสรรพสิ่งได้ทุกอย่างไม่ต้องรอถึง 100 ปีเลยเหรอ หรือนี้เป็นเพียงแค่รากฐานเท่านั้น  งั้นฉันจะบำเพ็ญทำขี้เกลืออะไรละ ไม่สู้หาที่ตายดีๆไม่ดีกว่าเหรอ”

ตอนแรกในใจของฮวางซางยังพอมีความคาดหวังอยู่บ้าง  แต่ในเวลานี้กลับเหลือเพียงความผิดหวัง

“30 ปีโดยไม่มีการช่วยเหลือของพลังภายนอก พลังเหนือธรรมชาติที่ทะลักเข้ามาเหมือนวันนี้ อำนาจพระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งใดๆได้ปรากฏขึ้นมา  ผู้อาศัยเพียงแค่ต้องทำลายล้างพลังวิญญาณที่มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งนั้นเพื่อดูดพลังของพวกเขา  การบำเพ็ญของตัวเองก็จะเร่งความเร็วขึ้น”

โชคดีทีระบบไม่ได้ต้องการจะฆ่าฮวางซาง เขาสามารถหาวิธีการได้อย่างรวดเร็ว  “สิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่าซอมบี้เมื่อสักครู่นั้น ร่างกายของมันก็มีแค่พลังวิญญาณเพียงพลังเดียว ถ้าผู้อาศัยสังหารมัน ก็เท่ากับว่าผู้อาศัยก็ต้องบำเพ็ญอย่างยากลำบากไป 1 ปี ถ้าหากฆ่า 30 ตัว วิชาหลอมรวมเป็นหนึ่งก็จะเข้าสู่การเข้าฉาน

 “เดิมทียังมีอีกวิธีการหนึ่ง เพื่อสามารถเลื่อนขั้นเป็นปีศาจที่อำพรางตัวได้?”

เมื่อได้ยินคำพูดของระบบ ฮวางซางก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา “แต่พลังความสามารถของฉันตอนนี้จะฆ่าซอมบี้สักตัวก็ยังกินแรงไปมากเลย 30 ตัวจะไปฆ่าได้ยังไง ? อีกอย่างถ้าติดเชื้อละจะทำยังไง?”

“มีการเพิ่มพลังของวิชาหลอมรวมเป็นหนึ่ง พิษระดับอ่อนๆก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อผู้อาศัยได้”

ระบบกล่าวต่อ “อีกทั้งซอมบี้เหล่านี้ก็ไม่มีสติปัญญา รูปแบบการโจมตีก็เป็นเพียงอย่างเดียว เพียงแค่ให้ผู้อาศัยต้องระวัง ก็ไม่มีสิ่งไหนยากที่เกินกว่าจะสำเร็จลุล่วงได้  สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งที่ผู้อาศัยฆ่าซอมบี้ได้ 1 ตัว ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้น 1 ส่วน  เพียงแค่ผ่านด้านแรกไปได้ ซอมบี้ทั่วไปเหล่านี้ก็จะไม่คุกคามผู้อาศัยอีกแล้ว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ แสงสีฟ้าของระบบดูเหมือนพลังจะเริ่มสูญสิ้น ค่อนๆเปลี่ยนเป็นอ่อนลง น้ำเสียงก็เริ่มที่จะไม่ต่อเนื่อง ”พลังของระบบใกล้จะสูญสิ้นแล้ว ต้องรีบส่งผู้อาศัยออกไปยังมหาสมุทรซะแล้ว ขอให้ผู้อาศัยใช้พลังความสามารถในการปกป้องตนเอง หลังจากนี้สามวัน...ระบบ....จะ...เกิด....ใหม่....”

เมื่อสิ้นเสียง ฮวางซางก็สัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นสะท้านไปทั้งตัว ต่อมาก็มีแสงเปล่งประกายออกมา กลับไปยังเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนอันรุนแรงอีกครั้ง อีกทั้งซากของซอมบี้ตัวนั้นก็ยังคงอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับทั้งหมดมันคือความฝัน

เพียงแค่ตอนนี้วิชาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้ชัดเจนอยู่ในความคิดของเขา รวมทั้งหยกที่แผ่รังสีความร้อนออกมาอยู่ตรงหน้าอกของเขาทำให้ฮวางซางเข้าใจ ว่าทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่ความฝัน

วันสิ้นโลกจริงๆ ได้มาถึงแล้ว!

 

รีวิวผู้อ่าน