ตอนที่ 35 สัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก
หยูเสี่ยวเฉาวิ่งเข้าไปหาพ่อของนางอย่างดีใจ พ่อของนางก็ได้ก้มตัวลงแล้วอุ้มนางขึ้นมา นางเอาเฮเซลนัทใส่ปากเขาอย่างเขิน ๆ แล้วยิ้มกว้าง “ท่านพ่อ ข้าได้เรียนวิธีวางกับดักมาด้วยล่ะ ! กับดักของข้าจับกระต่ายป่าตัวอ้วนได้ด้วยเจ้าค่ะ ! อีกทั้งมันยังไม่ตายอีกด้วย ! ”
หยูไห่ไม่ประหยัดคำชมเช่นเดิม “เฉาเอ้อร์ของเราเก่งมากจริง ๆ เลย วันหน้าพ่อจะรอกินกระต่ายที่เจ้าจับได้นะ”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ! พวกเรายังจับกวางโรได้อีกด้วย ! ดูสิมันเดินตามเรามาโดยไม่ต้องจูงเลย มันว่าง่ายมากเลยท่านพ่อ ! ” ฉีโตวพูดบ้าง เด็กน้อยดึงขากางเกงของพ่อแล้วชี้ไปที่เจ้ากวางโรตัวน้อย
หยูไห่ก้มลงมามองเจ้าสัตว์ตัวเล็กใกล้ ๆ เมื่อครู่เขาเห็นไม่ค่อยชัดเพราะมันมืดเกินไป ก็เลยคิดว่ามันเป็นหมาของชาวบ้าน ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นลูกกวาง
หยูไห่วางลูกสาวลงแล้วก้มลงมองเจ้ากวาง ดวงตาโตสีดำของเจ้าตัวน้อยเบิกกว้างอย่างสับสน มันมองไปที่ลูกสาวของเขาและเริ่มเอาหัวถูขาของนาง...ฮือออ !
เขาไม่เคยพบเจอกวางโรที่มีนิสัยไม่กลัวมนุษย์มาก่อน หรือเป็นเพราะมันสูญเสียแม่แล้วคิดว่าลูกสาวของเขาเป็นสัตว์ประเภทเดียวกับมัน ? เจ้ากวางโง่ ช่างโง่เง่าเสียจริง ๆ เลย
“เฉาเอ้อร์ นี่ลูกเป็นคนจับหรือจ้าวฮันเป็นคนจับ ? เราไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่นเจ้าเข้าใจหรือไม่ ! ” หยูไห่สำนึกในบุญคุณของจ้าวปู้ฝานเป็นอย่างมากที่คอยดูแลสั่งสอนเขา ทักษะในการล่าสัตว์ของเขาส่วนใหญ่ก็เรียนมาจากเพื่อนของเขาคนนี้ ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าลูกสาวของเขาจะทำตัวไม่มีเหตุผลไปขอของ ๆ ผู้อื่นมาเป็นของตน
หยูเสี่ยวเฉาหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้า “ข้าเพิ่งเรียนวิธีวางกับดักวันนี้เอง ที่จับกระต่ายป่าได้มันก็เป็นเพียงแค่โชคของมือใหม่เท่านั้นเจ้าค่ะ กวางโรตัวนี้เป็นของท่านพี่ฮัน พวกเราจะช่วยพี่ฮันเลี้ยงก่อน สักพักแล้วค่อยส่งคืนเจ้าค่ะ”
หยูไห่พยักหน้า “ถูกแล้ว เล่นกับมันสักสองสามวันแล้วควรส่งมันคืน พ่อไม่แน่ใจเช่นกันว่าเจ้าตัวนี้ดูแลยากหรือไม่ พวกลูกต้องระวังหน่อยนะ จะให้มันตายตอนอยู่ในความดูแลของพวกเจ้ามิได้เป็นอันขาด ! ถ้าลูกสองคนชอบมันจริง ๆ พรุ่งนี้พ่อจะล่าสัตว์ไปแลกกับครอบครัวจ้าวให้ เราจะเอาของ ๆ ผู้อื่นมาโดยไม่มีสิ่งตอบแทนไม่ได้ พวกเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ ? ”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะท่านพ่อ ! ” หยูเสี่ยวเฉาเอาเฮเซลนัทออกมาจากกระเป๋า 2 ชิ้นแล้วส่งให้พ่อของนาง “ท่านพ่อลองกินดูสิเจ้าคะ ! เราเจอในป่าแล้วท่านป้าจ้าวก็ทอดให้ข้ากับฉีโตวน้อยด้วยล่ะ อร่อยมาก ๆ เลยเจ้าค่ะ ! ”
หยูไห่เห็นลูกชายทำเฮเซลนัทหล่นจากกระเป๋าจึงรีบก้มลงเก็บและถามว่า “พวกลูกอยู่ที่บ้านลุงจ้าวกันทั้งวันเลยรึ ? มิได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ท่านป้าจ้าวใช่หรือไม่ ? ”
“เราไปที่เมืองกันด้วยล่ะ ดูสิท่านพ่อ ! พี่สามซื้อขนมให้ข้าด้วย ! ” ฉีโตวลืมที่เขาสัญญากับพี่สาวไปเสียแล้วและได้โพล่งเรื่องราวของวันนี้ให้กับพ่อของพวกเขาฟัง
หยูไห่ขมวดคิ้วพร้อมกับมองไปที่ขนมซึ่งห่อกระดาษเอาไว้แล้วมองไปที่ลูกสาว พวกเขาเอาเงินจากไหนไปซื้อขนมพวกนี้กัน ? เงินที่เหลือจากการขายหอยเป๋าฮื้องั้นรึ ?
“วันนี้ท่านพี่ฮันจับสัตว์มาได้เยอะเลยเจ้าค่ะ เขาเข้าเมืองไปขายพวกมัน ในเมื่อข้ากับฉีโตวไม่มีอะไรทำก็เลยตามพี่ฮันไปด้วย วันนี้ข้าจับกระต่ายได้ก็เลยเอาไปขาย ได้มา 100 อีแปะ ข้าเลยซื้อขนมกับลูกอม นี่คือที่เหลือเจ้าค่ะ ! ” หยูเสี่ยวเฉาไม่บอกเรื่องเงินก้อนใหญ่ที่ซ่อนไว้อยู่แล้ว นางเอาเงินประมาณ 50 - 60 อีแปะออกมาให้พ่อของนางดูเพียงเท่านั้น
หยูไห่พาลูกสองคนของเขากลับบ้านพร้อมกับสั่งสอนว่า “ลูกสองคนช่างบ้าระห่ำกันเสียจริง ! คนโตสุดก็อายุเพียงแค่ 8 ขวบ ยังกล้าไปที่เมืองกันเองอีก ถ้าโดนลักพาตัวไปจะว่าเยี่ยงไร ? คราวหน้าถ้าอยากเข้าเมืองก็รอจนกว่าพ่อจะไปขายสัตว์ ถ้าลูกเหนื่อย พ่อจะได้อุ้มลูกได้เยี่ยงไรเล่า”
“พวกเรามิเหนื่อยเลยขอรับ ! ท่านปู่จางจากหมู่บ้านซีชานขี่เกวียนผ่านมาพอดีก็เลยให้พวกเรานั่งไปด้วย พี่สามให้ขนมปู่จางไปถุงนึงด้วยขอรับ ! ” ฉีโตวหมกมุ่นอยู่แต่กับขนม
“พี่สามทำถูกแล้ว เมื่อมีคนช่วยเหลือเจ้า เจ้าก็ต้องตอบแทนเขา ถ้าเจ้าเอาเปรียบผู้อื่นอยู่ฝ่ายเดียว เยี่ยงนั้นต่อไปจะมีผู้ใดมาช่วยเหลือเจ้าตอนที่เจ้ามีปัญหาอีกกัน ? ” หยูไห่เริ่มสอนลูกของเขา
ไม่นานทั้งสามคนก็ถึงบ้าน ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงของทางเหนือจะเย็นเป็นอย่างมาก คนอื่น ๆ ในครอบครัวหยูนอกจากบ้านหลังที่สอง นอกนั้นได้พากันเข้าห้องของตนเองไปพักผ่อนนานแล้ว ห้องทางด้านตะวันออกเป็นเพียงห้องเดียวที่ยังมีแสงไฟสลัว ๆ อยู่
“เฉาเอ้อร์ ฉีโตว ลูกทั้งสองคนต้องเป็นหิวแน่ พ่อของลูกเก็บหมั่นโถวเอาไว้ให้ ประเดี๋ยวแม่จะไปอุ่นมาให้แล้วแบ่งกันกินนะ ! ” ข้อดีของการมีแม่ที่ใจดีอ่อนโยนก็เป็นอย่างที่เห็น แม่ในชาติก่อนของนางก็อุ่นอาหารให้นางเหมือนกันตอนที่นางกลับถึงบ้านช้า แต่อาหารก็มักจะมาพร้อมกับคำด่าอยู่เสมอ
ฉีโตวโผล่หัวออกจากห้องมาแอบดูแล้วรีบปิดประตู เขาเปิดถุงขนมและเริ่มต้นแบ่งให้กับทุกคน แม้ว่าเด็กน้อยจะชอบกินขนมหวานนุ่ม ๆ มาก แต่เขาก็ไม่ได้มีนิสัยเก็บไว้กินคนเดียว
ในกระดาษห่อนั้นมีขนมอยู่ 6 ชิ้น เขาแบ่งให้ทุกคนที่บ้านคนละ 1 ชิ้น แล้วจ้องชิ้นที่เหลืออย่างลังเลก่อนจะพูดขึ้นว่า “ชิ้นนี้เก็บไว้ให้พี่ใหญ่”
สีหน้าของหยูไห่กับภรรยาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำพูดของฉีโตว ทั้งห้องตกลงสู่ความเงียบที่น่าอึดอัด สักพักหยูไห่ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเก็บไว้หรอก เราไม่รู้ว่าพี่ชายของลูกจะกลับมาได้เมื่อใด ขนมพวกนี้ก็เก็บไว้ได้ไม่นานนัก ลูกสามคนแบ่งกันกินเถอะ ถ้าพ่อเข้าเมืองคราหน้าค่อยซื้อให้พี่ชายของลูกก็ยังมิสายมิใช่รึ ? ”
หยูเสี่ยวเฉาคิดถึงตอนที่นางไปเจอพี่ชาย เขาดูเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแอเป็นอย่างมาก เสี่ยวเฉารู้สึกปวดใจจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ พาท่านพี่ใหญ่กลับมาเถอะ ท่านพี่อยู่ที่นั่นไม่สบายเหมือนอยู่ที่บ้านหรอก”
“พ่อก็อยากพาพี่ของลูกกลับบ้าน แต่...” หลังจากพาเขากลับบ้านแล้วจะเป็นยังไงเล่า ? คงได้มีการทะเลาะกับนางจางเป็นแน่หากทำเช่นนั้น
หยูเสี่ยวเฉาพูดเสียงดัง น้ำเสียงเจือไปด้วยความขุ่นมัว “ท่านย่ากับท่านป้าใหญ่ชอบคิดว่าครอบครัวของเราเป็นกาฝากไปเกาะพวกเขากิน ! แต่เรามิได้กินจากถ้วยพวกเขาเสียหน่อย ! สัตว์ทุกตัวที่ท่านพ่อขายได้มากพอจะเลี้ยงพวกเราได้หลายเดือนเลยมิใช่รึ ! ”
เสี่ยวเฉาทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงแล้วพึมพำว่า “ถ้าเราแยกบ้านได้ก็หมดปัญหาแล้ว ! ”
ดวงตาของเสี่ยวเหลียนเป็นประกายขึ้นมาก่อนจะสลดลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านย่ามิมีวันยอมเป็นแน่ ! ท่านย่าต้องพึ่งเงินของท่านพ่อเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนของท่านอาสาม... ”
“ลูกสองคนพูดอะไรกัน ? ตราบใดที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เราจะไม่แยกบ้านเป็นอันขาด ! ท่านปู่กับท่านย่าของเจ้าก็ยังอยู่ที่นี่ ! พูดเรื่องแยกบ้านก็เหมือนการบอกให้ผู้อื่นมานินทาลับหลัง พวกเจ้าอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดข้างนอกเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ ! ” หลังอบหมั่นโถวเสียจนกรอบ นางหลิวก็บิดหมั่นโถวออกแล้วใส่ผักเค็มลงไป จากนั้นก็ส่งให้เสี่ยวเฉากับฉีโตว
นางหลิวเอาขนมส่วนของนางใส่กลับเข้าไปในถุงกระดาษ นางอยากเก็บมันเอาไว้ให้ลูก ๆ ของนางกินในวันพรุ่งนี้ แต่พอนางหันไปสนใจอย่างอื่น เสี่ยวเฉาก็เอาขนมยัดใส่ปากของนางทันที
แอ๊ด...... !
เสียงประตูไม้เปิดออกทำให้บรรยากาศครึกครื้นในห้องสะดุดลงกลางคัน นางหลิวรีบกลืนขนมที่อยู่ในปากทันที พร้อมกับเอามือปัด ๆ ใบหน้าเพื่อเช็ดเศษขนมที่ติดอยู่ออก
สายตา 5 คู่มองไปทางประตูทันที แม้ว่าจะมีเสียงประตูเปิด แต่พวกเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นเลย พอลดสายตาลงมาพวกเขาก็เห็นหูใหญ่ ๆ คู่หนึ่งโผล่ขึ้นมาจากหัวเล็ก ๆ ที่ยื่นเข้ามาสำรวจห้องอย่างอยากรู้อยากเห็น
เมื่อดวงตาใสกระจ่างนั้นมองเห็นหยูเสี่ยวเฉา เจ้าสัตว์ร่างเล็กตัวนี้ก็ก้าวเข้ามาในห้องทั้งตัว มันเดินเข้ามาหาเสี่ยวเฉาและใช้หัวของมันดันข้อเท้านางราวกับเป็นลูกหมาตัวน้อยที่กำลังขออาหาร
“ว้าว ! น่ารักจังเลย ! ” หยูเสี่ยวเหลียนก้มลงอุ้มเจ้ากวางโรขึ้นมา นางเอามือลูบหัวมันพร้อมกับเอาหน้าซบลงไปที่ขนนุ่ม ๆ ของมันด้วย
“เจ้าตัวเล็กนั่นจ้าวฮันเป็นคนจับมันมา ! ฉีโตวชอบมันมาก จ้าวฮันเลยให้เขาพามันกลับมาเลี้ยงที่บ้านเราสองสามวัน เจ้านี่คงจะหิวเป็นแน่ เช่นนั้นคงไม่เข้ามาในห้องเยี่ยงนี้” หยูไห่อธิบายแทนลูกสาวคนเล็กกับลูกชาย
หยูเสี่ยวเหลียนกอดกวางน้อยไว้แน่น ตัวของมันไม่ได้ใหญ่ไปกว่าลูกสุนัขอายุ 1 เดือนเลย “ที่ลานบ้านยังมีผักคาวทองที่ข้าเก็บมาวันนี้อยู่ ให้ข้าเอามาป้อนมันได้หรือไม่ ! เจ้าตัวเล็กนี่ว่าง่ายเสียจริง ไม่กลัวคนเลยด้วย ! ” โชคร้ายที่เสี่ยวเฉาคิดผิด เมื่อเสี่ยวเหลียนกลับมาหลังจากหยิบเอาผักคาวทองที่สดที่สุดและอ่อนที่สุดมา เจ้ากวางโรก็เพียงแค่ดมมันนิดหนึ่งก่อนจะหันหน้าหนีแบบหยิ่ง ๆ ดวงตาของมันมองเสี่ยวเฉาอย่างหมดอาลัยตายอยากและเริ่มดิ้นเพื่อที่จะกลับลงไปที่พื้น
เสี่ยวเหลียนกลัวว่าเจ้าลูกกวางจะหล่นจึงวางมันลง นางโบกผักคาวทองตรงหน้ามัน แต่มันก็ไม่ได้สนใจเลย มันสนใจเพียงแค่จะเข้าไปหาเสี่ยวเฉา
เสี่ยวเหลียนถอนหายใจอย่างผิดหวัง “มันชอบน้องสามคนเดียว ! คงเพราะน้องสามเป็นคนพามันกลับมา ! ”
หยูเสี่ยวเฉาเอาผักคาวทองจากมือเสี่ยวเหลียนมาและเอ่ยแกมหยอกนางไปว่า “เจ้าตัวเล็กนี่น่าจะชอบความสะอาดเลยไม่ยอมกินของเสี่ยวเหลียน มันคงคิดว่าผักคาวทองพวกนี้สกปรกเกินไป ! ”
เด็กหญิงเอาเหยือกที่ใส่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ออกมาและเอาผักคาวทองลงไปล้าง จากนั้นก็ยื่นผักคาวทองไปให้กวางน้อยอีกครั้ง และครานี้เจ้ากวางโรก็มีกริยาที่แตกต่างไปจากเดิมมาก มันรีบพุ่งเข้ามากินคำโตเลยทีเดียว
“มันชอบความสะอาดจริง ๆ ด้วย ! ” ฉีโตวหัวเราะคิกคักจนเริ่มสะอึก เขาเอาผักคาวทองไปล้างน้ำเหมือนกัน หลังจากมันกินอาหารในมือเสี่ยวเฉาหมดแล้ว เจ้ากวางโรก็ดมหากลิ่นของอร่อยที่น่ากินยิ่งกว่านมแม่แล้วกระโดดเข้าหาฉีโตว มันเริ่มต้นกินผักคาวทองในมือของฉีโตวด้วยเช่นกัน
เสี่ยวเหลียนเห็นตัวอย่างจากน้อง ๆ ของนางและใช้น้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือล้างผักคาวทองทั้งหมด หยูเสี่ยวเฉามองแล้วก็รู้สึกเศร้าใจขี้นมา ‘เจ้าเด็กฟุ่มเฟือยคนนี้นี่ นั่นน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์สองถ้วยเลยนะ มันมีค่ามากถึงเพียงไหนเจ้ารู้บ้างหรือไม่ ! ’
ตั้งแต่ที่เสี่ยวเฉาได้น้ำศักดิ์สิทธิ์มา นางก็มักจะเอาให้ทุกคนในครอบครัวของนางดื่มถ้วยนึงเสมอ ผลของมันน่าทึ่งเป็นอย่างมาก ไม่พูดถึงผลที่เกิดกับร่างกายเสี่ยวเฉาเลย นางหลิวแม่ของนางก็มีร่างกายที่อ่อนแอเช่นกัน หลังจากดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์เข้าไป 2 เดือน ร่างกายของนางหลิวก็ดีขึ้นมากถึงแม้จะยังดูซูบผอมอยู่เล็กน้อย เมื่อเร็ว ๆ นี้นางหลิวโดนฝนจนเปียกชุ่มไปหมดทั้งร่าง หากเป็นแต่ก่อนที่นางจะได้ดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ นางคงป่วยหนักไปเสียแล้ว แต่ครานี้นางเพียงแค่กินน้ำขิง 1 ถ้วยก็หายแล้ว ไม่มีแม้แต่น้ำมูกด้วยซ้ำ
หยูไห่ก็พูดเหมือนกันว่าช่วงนี้เขาแข็งแรงขึ้น เมื่อก่อนตอนที่เขาแบกสัตว์ที่ล่าได้ซึ่งหนักประมาณ 100 ชั่งลงจากภูเขาไปที่เมือง เขาจะเหนื่อยมากจนต้องนอนพักหลายยามเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เหมือนกับเขามิได้ออกแรงอะไรเลย ความจริงแล้วเขาสามารถเพิ่มน้ำหนักขึ้นได้อีก 30 - 50 ชั่งโดยที่เขาไม่รู้สึกถึงความหนัก
คิดถึงข้อดีทั้งหมดแล้ว หยูเสี่ยวเฉาก็ถือเหยือกที่ว่างเปล่าเดินไปที่ครัวแบบเงียบ ๆ นางเติมน้ำที่ต้มเอาไว้แล้วลงไปแล้วเอาหินศักดิ์สิทธิ์ที่ข้อมือของนางใส่ลงไปในเหยือกอย่างระมัดระวัง จากนั้นวิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์ก็ออกจากหินมาแหวกว่ายอยู่ในน้ำ
ถ้าคนอื่น ๆ ในห้องสามารถมองเห็นได้ พวกเขาก็คงจะตกใจเสียจนพูดไม่ออก ว่าเหตุใดถึงมีลูกแมวสีทองอยู่ในเหยือกน้ำของพวกเขา ? อีกทั้งยังตีแข้งตีขาอยู่ในน้ำไม่หยุดเหมือนกับว่ามันกำลังจะจมน้ำ
หินศักดิ์สิทธิ์บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ [ ประท้วง ข้าขอประท้วง ! ในนี้มีพลังวิญญาณไม่เพียงพอ ไม่มีโสมก็เรื่องหนึ่ง แต่ใครอยากจะได้น้ำในบ่อน้ำห่วย ๆ นั่นกัน ข้าอยากได้น้ำจากป่าไผ่ในภูเขา ! ]
“ช่วยพอใจในสิ่งที่มีได้หรือไม่ ? น้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์มีประโยชน์กับครอบครัวของข้าเป็นอย่างมาก อีกทั้งเจ้าเองก็ได้ประโยชน์ด้วยมิใช่รึ ? ถ้าหากเจ้ายังโวยวายไม่เลิก ข้าจะโยนเจ้าลงลำธารเล็ก ๆ นั่นแล้วจะไม่หยิบเจ้าขึ้นมาอีก ! ” ขณะที่หยูเสี่ยวเฉาป้อนอาหารเจ้ากวางน้อย นางก็ขู่หินศักดิ์สิทธิ์จอมหยิ่งยโสอยู่ในใจไปด้วย