px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 37  ท่าเรือ


ตอนที่ 37  ท่าเรือ

 

หยูเสี่ยวเฉาและฉีโตวกำลังมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือตามที่นางได้วางแผนไว้ ! หยูเสี่ยวเฉาเอาเงินที่ซ่อนไว้มาบางส่วน หลังจากคิดเพียงชั่วครู่ นางก็เอาเงินอีแปะหนึ่งพวงใส่ไว้ในกระเป๋าที่หน้าอก ทางเหนือฤดูหนาวจะมาถึงเร็วเป็นอย่างมาก อากาศจึงหนาวเย็นมากแล้ว หลาย ๆ คนเริ่มใส่เสื้อผ้าหนา ๆ กันแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าหยูเสี่ยวเฉามีเงิน 100 อีแปะซ่อนอยู่

 

หยูเสี่ยวเฉาถือตะกร้าใบใหญ่กระโดดไปตามถนนอย่างร่าเริง โดยมีฉีโตวที่ตื่นเต้นไม่แพ้กันเดินตามหลัง พวกเขาเดินตามถนนที่ตรงไปยังท่าเรือ แม้ว่าท่าเรือจะใกล้กับหมู่บ้านตงชานมากกว่าตัวเมือง แต่มันก็ยังต้องใช้เวลาเดินถึงครึ่งชั่วยามอยู่ดี เสี่ยวเฉากำลังอารมณ์ดี นางจึงไม่รู้สึกเหนื่อยมากนักเมื่อไปถึงที่นั่น พวกเขามาถึงในช่วงที่ท่าเรือกำลังวุ่นวายที่สุดเข้าพอดี ชาวประมงที่ออกเรือเพิ่งกลับเข้ามาพร้อมปลาที่จับได้  ส่วนทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของท่าเรือกลายเป็นตลาดปลาไปแล้ว

 

พวกพ่อบ้านจากคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ทำหน้าที่ซื้อของต่างก็มาเร็วเป็นอย่างมากเพื่อที่จะได้เลือกปลาและของทะเลที่เป็นของโปรดให้เจ้านาย และยังมีคนจากร้านอาหาร, โรงแรม, และบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มารออยู่ที่นั่นเพื่อของสด ๆ ที่จับได้ในวันนี้อีกด้วย

 

ที่ท่าเรือมีลังสินค้า 2 ลังที่เพิ่งเอาขึ้นมาบนฝั่ง หัวหน้าคนงานกำลังกำกับพวกคนงานให้ขนสินค้าลงจากเรือ เสียงพ่อค้าแม่ค้า เสียงตะโกน และเสียงทำงานดังเซ็งแซ่...ปนกันไปหมด เสียงต่าง ๆ เหล่านั้นคือเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท่าเรือ

 

เสี่ยวเฉาที่รู้สึกว่าตนเองกำลังดื่มด่ำกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ พวกนี้ ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมา

 

“ พี่สาม ตรงนั้นไงที่ขายขนม ข้าเคยมากับท่านพ่อครั้งหนึ่ง ตอนนั้นท่านพ่อซื้อหมั่นโถวลูกใหญ่ที่ทำจากแป้งขาวให้กับข้าด้วย หมั่นโถวที่ทำจากแป้งขาวนี่รสชาติยอดเยี่ยมสุด ๆ ไปเลย”

 

ฉีโตวนักกินตัวน้อยชี้ไปที่ถนนรอบนอกของท่าเรือ มีเพิงที่สร้างหยาบ ๆ สองเพิงอยู่ข้างถนน และมีไอของความร้อนลอยขึ้นจากที่นั่น

 

พวกชาวประมงและคนงานที่ท่าเรือคงจะนำอาหารแห้งมากินด้วย แต่เช้าที่หนาวเย็นเช่นนี้ก็ยังจำเป็นต้องกินซุปร้อน ๆ สักถ้วยเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

 

เมื่อมีความต้องการก็มีตลาด ภายใต้เพิงเตี้ย ๆ นั้นมีทั้งคนขายโจ๊กและก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ คนอื่น ๆ ก็นึ่งซาลาเปาและหมั่นโถวขาย รวมไปถึงชาวนาชาวไร่ที่ไม่มีงานในไร่ทำเพราะเป็นช่วงฤดูหนาว พวกเขาต่างก็เอาตะกร้าที่เต็มไปด้วยอาหารหรือผักดองมาขาย

 

แผนการเริ่มผุดขึ้นในหัวของเสี่ยวเฉา ฝีมือการทำอาหารตุ๋นของนางในชาติก่อนจะทำให้นางมีชีวิตที่สุขสบายได้มากยิ่งขึ้น แต่โชคร้ายที่คนที่นี่ชอบซุบซิบนินทา ถ้าท่านย่ารู้เข้าคงเอาเงินไปหมดเป็นแน่...

 

“นั่นเสี่ยวเหลียน...หรือเสี่ยวเฉาน่ะ ? ” เสี่ยวเฉาไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จักที่ท่าเรือ  นางหันหน้าไปมองและเจอกับคนผู้หนึ่งที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตานางเลยแม้แต่น้อย

 

เด็กหนุ่มผิวดำเบื้องหน้าเสี่ยวเฉาอายุประมาณ 15 - 16 ปี รูปร่างสูงกำยำ  ตาโต คิ้วหนา ใบหน้าดูคุ้นเคยแปลก ๆ...อ่า...เขาคือผู้ใดกัน ? ฉีโตวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางก็ตอบคำถามที่นางไม่ได้ถามออกไปว่า “ท่านพี่จื้อเหว่ย มาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไรขอรับ ? มากับท่านป้าใหญ่รึ ? ”

 

อ่า...ลูกชายของลุงรองนี่เอง หลิวจื้อเหว่ย อายุ 14 ปี ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะอายุเพียงแค่ 14 ปี แต่เขาก็ดูแข็งแรงเป็นอย่างมาก หน้าตาของเขาไม่ได้เหมือนพ่อกับแม่ของเขาเลย แต่กลับเหมือนลุงใหญ่มากเสียอย่างนั้น

 

หลิวจื้อเหว่ยหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ข้ามากับท่านป้าใหญ่แล้วก็ท่านลุงใหญ่ด้วย  ข้ากำลังดูว่าจะหางานทำที่ท่าเรือได้หรือไม่...ท่านลุงใหญ่มาที่นี่บ่อย ๆ ก็เลยคุ้นเคยกับหัวหน้าคนงาน เขากำลังขนสินค้าลงจากเรืออยู่ พวกเขาคิดว่าข้ายังเด็กเกินไปก็เลยไม่มีใครอยากจ้างข้าเลยสักคน ! ”

 

เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเจ็บใจ ถึงเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็มีแรงเยอะเฉกเช่นผู้ใหญ่ ปกติเขาจะทำงานในไร่กับพ่อ มีงานมากมายที่จำเป็นต้องใช้แรงมาก ๆ แต่พวกนั้นกล้าดูถูกเขาได้เยี่ยงไรกัน !

 

“เสี่ยวเฉา ฉีโตว ! เหตุใดเจ้าสองคนถึงมาอยู่ที่ท่าเรือได้ล่ะ ? ” นางฮันป้าใหญ่ของพวกเขาถามขึ้น นางเดินถือตะกร้าตรงเข้ามายังจุดที่พวกเขายืนอยู่

 

สองพี่น้องหันไปทักทายนางอย่างสุภาพและเรียกนางว่า ‘ท่านป้าใหญ่’ ตอนที่เสี่ยวเฉาได้รับบาดเจ็บที่หัวและนอนหมดสติอยู่ 3 วัน  ตากับยายและลุงกับป้าทุกคนต่างก็ได้มาเยี่ยมนาง พวกเขาได้นำไก่กับไข่ 1 ตะกร้ามาฝากเสี่ยวเฉาอีกด้วย แต่โชคร้ายที่ของพวกนั้นถูกนางจางยึดเอาไปเสียหมด

 

ในสายตาของนางจางนั้น เนื่องจากนางหลิวมีร่างกายที่อ่อนแอขี้โรคและหยูเสี่ยวเฉาก็เป็นปีศาจผลาญเงินค่ายา ของขวัญที่ครอบครัวหลิวนำมาจึงไม่พอชดเชยให้ตัวผลาญเงินทั้งสองคน !

 

เสี่ยวเฉามีความประทับใจที่ดีต่อครอบครัวทางแม่ นางรู้มาจากเสี่ยวเหลียนว่าท่านป้าใหญ่เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นก็สามารถยืนยันได้ว่านั่นเป็นเรื่องจริง

 

ตอนนี้คนงานท่าเรือกำลังจะไปพักทานอาหารเช้า หลังจากหัวหน้าคนงานสั่นกระดิ่ง พวกคนงานราว 100 คนก็เริ่มเดินมาทางนี้ คนงานบางคนมีอาหารอยู่ในมือ

 

เหล่าพ่อค้าที่ขายอาหารเช้าก็เริ่มเรียกลูกค้ากันอย่างกระตือรือร้นทันที “ซุปร้อน ๆ จ้า ซุปร้อน ๆ ต้มกะหล่ำปลี แกงจืดหัวไชเท้า... ”

 

“โจ๊กร้อน ๆ ทางนี้เลย ! ทั้งร้อนทั้งถูก ถ้วยละ 1 อีแปะเท่านั้น... ”

 

“ก๋วยเตี๋ยวน้ำจ้า ! นายท่านคนนั้นน่ะ นายผู้หญิง กินก๋วยเตี๋ยวสักชามหรือไม่ รับรองว่าแค่หนึ่งชามก็อิ่มแล้ว... ”

 

“ผักดองอร่อย ๆ แค่ 1 อีแปะแบ่งกินกันได้หลายคนเลยนะ ! นายท่านคนนั้นน่ะซื้อผักดองหน่อยไหมขอรับ ! จะได้มีแรงทำงาน... ”

 

ป้าใหญ่เห็นดังนั้นจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ได้เวลาขายอาหารแล้ว ป้าต้องไปเรียกลูกค้าบ้างแล้ว พวกเจ้าสองคนคงจะยังมิได้กินข้าวเช้า จื้อเหว่ยเอานี่ไป เงิน 5 อีแปะ ไปซื้อหมั่นโถวมาแบ่งกันกินกับน้อง ๆ เถอะ”

 

คนงานคนหนึ่งที่มีกลิ่นเหงื่อฉุนมากผ่านมาพอดี หัวของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาหันไปทางป้าใหญ่แล้วพูดว่า “เฒ่าแก่เนี้ย ข้าขอแป้งห่อผักดองกับเต้าเจี้ยว 1 อีแปะ”

 

“ได้เลยเจ้าค่ะ ! ” ป้าใหญ่จัดการเอาเต้าเจี้ยวทาลงบนแผ่นแป้ง แล้วหั่นผักดองและผัดด้วยน้ำมันหมู เสร็จแล้วก็ห่อด้วยกระดาษเคลือบมันส่งให้ชายคนนั้นแลกกับเงิน 1 อีแปะ

 

พอรับมาแล้วชายคนนั้นก็กัดคำโตแล้วพูดว่า “เฒ่าแก่เนี้ยขอรับ ข้าบอกได้เลยว่าเต้าเจี้ยวของเฒ่าแก่นี่รสชาติดีที่สุด ผักดองก็สมบูรณ์แบบ ไม่เค็มมากเกินไป พอได้กินอาหารของเฒ่าแก่เนี้ยแล้ว อาหารของคนอื่นก็ไม่เคยอร่อยอีกเลย ! ”
 

“แน่นอน ! ไม่รู้เสียแล้วว่านี่เมียใคร ? ” ชายวัยกลางคนร่างสูงไหล่กว้างเดินมาจากด้านหลังและตบบ่าชายอีกคน ใบหน้าหล่อเหลา ผิวสีแทน เขายิ้มยิงฟันจนเห็นฟันขาวเต็มปาก

 

ฉีโตวโผเข้าหาผู้ที่มาใหม่อย่างดีใจและกอดขาของชายคนนั้นเอาไว้พร้อมกับพูดว่า “ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่เจอท่านตั้งนาน ข้าคิดถึงท่านลุงมาก ๆ เลยขอรับ ! ”

 

หลิวเป่ยก้มลงยกตัวเด็กน้อยขึ้นมา เขาเขย่าตัวฉีโตวเล็กน้อยเพื่อวัดน้ำหนัก  และมองใบหน้าที่มีเนื้อมีหนังของเด็กน้อยอย่างพอใจปนประหลาดใจ “ครอบครัวของเจ้าเริ่มให้อาหารมากขึ้นแล้วงั้นรึ ? ดูโตขึ้นนิดหน่อยด้วยนี่เจ้าตัวเล็ก ! ”

 

“ไม่ใช่ ! พี่สามรู้วิธีจับปลากับกระต่าย พวกมันย่างแล้วอร่อยมากเลยขอรับ คราหน้าถ้าจับได้อีกข้าจะแบ่งให้ท่านลุงใหญ่ด้วย... ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉีโตวจะไม่มีวันยอมแลกเนื้อเพื่อให้ได้สนิทสนมกับใครเป็นอันขาด แต่ตอนนี้เขาสามารถกินเนื้อย่างหรือเนื้อตุ๋นทุก ๆ 2 วันได้แล้ว (หลังจากเอาสัตว์ที่ล่าได้ไปที่บ้านป้าจ้าวและใช้เตาของนางทำอาหาร) เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อคือของหายากที่ต้องหวงเอาไว้อีกต่อไป

 

หลิวเป่ยสำรวจผิวพรรณของเสี่ยวเฉาแล้วก็ยิ้มกว้าง “เสี่ยวเฉาของเราเก่งจริง ๆ  จับปลากับกระต่ายก็ได้ด้วย ! ลุงดีใจที่รู้ว่าพวกเจ้ามีความเป็นอยู่ที่สบายมากยิ่งขึ้น แล้วท่านย่าของพวกเจ้ามิว่าเอารึที่พวกเจ้านำสัตว์ที่ล่าได้มาทำอาหาร ? ”

 

“ท่านพี่พูดอะไรกับเด็ก ๆ อยู่กัน ? ” ป้าใหญ่มองสามีของนาง เสี่ยวเฉาบอกได้เลยว่ากิจการของนางไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจสักเท่าใด ผักดอง แผ่นแป้งและเต้าเจี้ยวเป็นอาหารที่ทุกบ้านมีอยู่แล้ว คนที่นำอาหารมาจากบ้านก็ได้นำอาหารแบบนี้มา แล้วเหตุใดพวกเขาจะต้องเสียเงินเพื่อซื้ออาหารที่เหมือนกันเพิ่มด้วยเล่า ?

 

ฉีโตวหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “พวกเราทำอาหารกันในป่าแล้วค่อยแบ่งกันกินขอรับ ท่านย่ามิรู้เรื่องนี้หรอก ! ”

 

“อย่าลืมแอบเอาไปให้แม่ของพวกเจ้าด้วยล่ะ แม่ของพวกเจ้านางก็ลำบากมากเช่นกัน ! ” หลิวเป่ยรู้สึกแย่ที่น้องสาวคนเดียวของเขาต้องลำบากลำบนโดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรนางได้มากเท่าที่อยากจะทำ

 

 

ตอนนั้นพ่อของเขาไม่น่าให้น้องสาวของเขาแต่งงานกับคนในครอบครัวที่มีแม่เลี้ยงเลย ที่ไหนมีแม่เลี้ยง ไม่นานที่นั่นก็จะมีพ่อเลี้ยง ตอนแรก ๆ ก็ยังพอทน แต่พอลูกชายคนที่สามของครอบครัวหยูไปเข้าโรงเรียน แม้แต่เฒ่าหยูเองก็ยังคงมีนิสัยลำเอียง

 

“อื้อ ! ข้าเก็บไก่กับขากระต่ายไว้ให้ท่านแม่ด้วย ขาที่มีเนื้อมากที่สุดเลยด้วยขอรับ ! ” เด็กน้อยรู้วิธีทำให้ตนเองเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่เสียด้วย

 

หลังจากทักทายลุงใหญ่เสร็จแล้ว หยูเสี่ยวเฉาก็ยืนยิ้มเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่นางได้พูดขึ้นมาบ้าง “ฉีโตว ลงมาเร็วเข้า ! ให้ท่านลุงใหญ่ได้พักกินอาหารเสียก่อน ! ”

 

“ไม่มีปัญหาเลย ! เด็ก 5 ขวบจะหนักสักเท่าไหร่กันเชียว ? ” แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นหลิวเป่ยก็วางฉีโตวลงกับพื้นลง หัวหน้าคนงานบอกเขาว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาต้องขนของขึ้นเรือของขุนนางระดับสูง พวกเขาจะทำลวก ๆ มิได้

 

คนงานท่าเรือในบริเวณรอบ ๆ กินกันไปพลางพูดคุยเรื่องเรือของขุนนางไป หยูเสี่ยวเฉาแอบฟังการสนทนาของพวกเขาและพบว่ามันเป็นเรือเดินสมุทรที่เป็นของท่านชายจากเมืองหลวง มันเดินทางไปยังสถานที่อันไกลโพ้นและได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ  จากเสียงซุบซิบรอบตัวของหยูเสี่ยวเฉาจึงได้รู้ว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ชอบออกเดินเรือเช่นกันตอนที่ยังเป็นองค์รัชทายาท เรือเดินสมุทรลำใหญ่ทั้งหมดในตอนนี้ฮ่องเต้เป็นคนซื้อเอาไว้ตอนที่พระองค์ยังเป็นองค์ชาย

 

ก่อนขึ้นครองราชย์ ฮ่องเต้เจี้ยนเหวินออกเดินเรืออยู่หลายครา เขาไปทะเลใต้ ทะเลตะวันตก และสถานที่ที่ไกลยิ่งกว่านั้น ครั้งหนึ่งเขาได้เอาพืชผลที่มีผลผลิตสูง, มันเทศและเครื่องปรุงแปลก ๆ บางอย่างกลับมาด้วย ตัวอย่างสิ่งของที่เขานำกลับมาด้วยก็เช่น พริกที่เผ็ดจนปากบวมแดง, แตงกวาสด ๆ กรอบ ๆ และแตงโมที่มีรสชาติสดชื่นช่วยดับกระหายได้

 

หยูเสี่ยวเฉาจำได้ว่าชาติก่อนของนางนั้น ราชวงศ์หมิงก็มีการออกเดินทางทางทะเลอยู่หลายครา แต่คนที่ออกเดินทางไปยังทะเลตะวันตกคือขันทีซานเป่าเจิ้งเหอไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท เจิ้งเหอในชาติก่อนของนางไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฮ่องเต้เจี้ยนเหวินเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ที่สถาปนาราชวงศ์กับฮ่องเต้เจี้ยนเหวินก็ได้ย้ายร่างมาที่นี่เช่นกัน ? 

 

อ่า ! การย้ายร่างมาเกิดใหม่ไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง ต่อจากนี้ต้องรอบคอบและระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น !  ความจริงแล้วนิยายหลายเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนและการต่อสู้กันทางการเมืองมักพูดย้ำถึงประเด็นนี้ เมื่อมีการย้ายร่างมามากกว่า 1 คน พวกเขาแทบจะไม่ร่วมมือกันเลย  ตรงกันข้ามพวกเขามักจะต่อสู้กันจนถึงแก่ความตาย ! ในเมื่อข้าเป็นแค่ปลาตัวเล็ก ๆ ในทะเล ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปสู้กับฮ่องเต้ อย่าได้ทำตัวโดดเด่นและอยู่อย่างสงบเข้าไว้เสียจะดีกว่า !

 

สุดท้ายสองพี่น้องก็ไม่ยอมให้ป้าใหญ่ซื้อหมั่นโถวให้ พวกเขาอ้างว่ากินอาหารเช้ามาแล้ว ทั้งสองอยู่บนท่าเรือได้ไม่นานก็ได้มีขุนนางคนหนึ่งมาบอกให้พวกเขาขยับออกไป  ท่านชายจะออกเดินทาง คนที่ไม่ได้ทำงานและไม่จำเป็นควรถอยออกไป พวกเขามิได้ไล่เพียงแค่สองพี่น้องเท่านั้น แม้แต่คนเร่ขายของก็ถูกไล่ออกไปจากท่าเรือด้วย มีเพียงพ่อค้าแม่ค้าในเพิงเท่านั้นที่โชคดีไม่ต้องโดนไล่ออกไป

 

 ฉีโตวบ่นพึมพำว่าอยากเห็นท่านชาย หยูเสี่ยวเฉาทำได้แค่จับหัวน้องชายเอาไว้แน่น ๆ และดิ้นไปมาอยู่ท่ามกลางคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ผลักออกไป เพื่อจะได้หาที่ดี ๆ ไว้คอยดูท่านชาย

 

หลังจากนั้นเพียง 1 เค่อ ท่าเรือที่เอะอะวุ่นวายเสียงดังก็เงียบกริบ รถลากปรากฏขึ้นเป็นแถวยาว ทุกคันมีข้าวของกองอยู่พะเนิน แถวของรถลากยาวเสียจนมองไม่เห็นหางแถว ด้านหน้ารถลากมีคนที่แต่งตัวเรียบง่ายท่าทางถือตัวอยู่หลายคน ทุกคนกำลังขี่ม้าล้อมรอบชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมราคาแพง

 

“พี่สาม พี่ชายคนนั้นคือท่านชายงั้นรึ ? ” เสียงของฉีโตวน้อยไม่ได้ดังมาก แต่ในความเงียบที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าม้าอย่างชัดเจนนั้น เสียงของเขาจึงดังชัดเป็นพิเศษ

รีวิวผู้อ่าน