px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 48 : อย่ามาห้าว เดี๋ยวหน้าจะร้าวไม่รู้ตัว!!


บทที่ 48 : อย่ามาห้าว เดี๋ยวหน้าจะร้าวไม่รู้ตัว!!

 

"โว๊ย หนวกหูเว้ย แม่งจะพล่ามดูถูกศิษย์ระดับ D ไปถึงไหนกันวะ เฮ่ย?" หลินฟ่านทุบโต๊ะดังปั๊ง ก่อนที่จะลุกขึ้นมายืนด่า

มาทำเก่งต่อหน้าผู้รู้จริง มันเป็นอะไรที่ไม่ควรทำอย่างมาก

ถึงแม้ว่านักเรียนของหลินฟ่านจะมีแค่ 13 คนและถูกเหมารวมอยู่ในพวกขยะ แต่ว่าเขาก็เป็นอาจารย์ของพวกมันคนหนึ่ง แล้วจะให้ทนคำดูถูกพาดพิงกระแนะกระแหนได้ยังไง?

"แล้วเจ้ามีปัญหาอันใด?" อาจารย์ที่นั่งข้างๆ ลี่ฉิงเฟยถามออกมาอย่างหยิ่งๆ หลินฟ่านเหลือบไปมองมันด้วยหางตา ท่าทางมันดูดุดันและดูเหมือนวิชาที่ฝึกมาคงจะเป็นแนวแข็งกร้าวแน่นอน

"อาจารย์หู อย่าพึ่งมีโทสะ มันเป็นอาจารย์ของระดับ Dที่พึ่งมาใหม่ บางทีคงยังไม่ค่อยรู้เรื่องกฎอันใดมากมาย" ลี่ฉิงเฟยกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

โลกนี้นั้นเป็นโลกของปลาใหญ่กินปลาเล็ก พวกอ่อนแอก็ไร้ซึ่งใครเหลียวแลและเคารพอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสำนักนภาสวรรค์แห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งคือผู้ออกกฎ อาจารย์ระดับ D ก็แค่หนอนแมลงต่ำต้อย เป็นแค่พวกสวะที่อยู่รวมกับขยะเท่านั้น

จำนวนลูกศิษย์ของระดับ D ที่ยังมาศึกษาฝึกฝนอยู่ในปัจจุบันก็เหลือไม่ถึงครึ่ง อีกทั้งส่วนมากก็เป็นขยะไม่ก็ถูกสังคมทอดทิ้งทั้งนั้น อาจารย์เองก็เป็นพวกสวะๆ ที่นับจำนวนได้ด้วยสองมือ

สาเหตุหลักที่ยังไม่โละระดับ D นี้ทิ้งหรือคัดออกไปให้หมดก็เพราะว่ามันเป็นแนวความคิดของผู้ก่อตั้งสำนัก ผู้ก่อตั้งนี้นับว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมคนหนึ่ง เขาเคยกล่าวไว้ว่า ต่อให้เป็นคนธรรมดาหรือไร้พรสวรรค์แต่ถ้าอยากฝึกฝนและเดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ สำนักแห่งนี้จะยินดีต้อนรับและอบรมสั่งสอนให้อย่างสุดความสามารถ ...ประมุขของสำนักในปัจจุบันก็ยังคงเชื่อฟังคำสั่งสืบทอดมาของผู้ก่อตั้งเลยไม่ได้ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์อะไร

"กฎมารดาเจ้าสิ เมื่อคืนตอนข้าทับนางไม่เห็นนางจะบอกกล่าวอันใด แต่พวกแกกล้าดูถูกนักเรียนของข้าต่อหน้าต่อตา อารมณ์ข้าไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา ที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรนะเฟ้ย" หลินฟ่านกล่าวพร้อมหัวเราะเย้ยหยันออกมา

"บัดซบ! อาจารย์หลิน หากเจ้ามีปัญหามากนัก แน่จริงไปเจอกับข้าที่ลานประลอง พวกเราจะไม่มีเรื่องกันทีนี่" ลี่ฉิงเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มอำมหิต ลานประลองเป็นที่ๆให้คนที่ความเห็นไม่ลงรอยกันมาตัดสินปัญหากันด้วยกำลัง เป็นสถานที่สำนักนภาสวรรค์สร้างไว้เพื่อให้มาถกข้อพิพาทกันด้วยกำปั้น

ในสำนักมีกฎห้ามทะเลาะวิวาทกันที่อื่นนอกจากลานประลอง ส่วนมากลานประลองนี้จะมีแต่พวกศิษย์ขึ้นมาต่อสู้กัน นานแล้วที่ไม่มีอาจารย์มาต่อสู้กันเอง

หลังจากสำนักแบ่งแยก ศิษย์และอาจารย์ออกเป็น 4 ระดับ A,B,C,D ความขัดแย้งระหว่างอาจารย์ก็ลดลง แต่ทว่าความขัดแย้งระหว่างเหล่าศิษย์นั้นก็มีให้เห็นอยู่แทบจะตลอดเวลา

"เหอะ จะที่ไหนก็เหมือนกัน แกไปล้างคอรอได้เลย  อ่อ พวกแกทั้ง 3 ตัวก็ด้วย มัดรวมกันมาให้หมดเลยนะ... ชะตาพวกแกจะจบลงเหมือนโต๊ะตัวนี้" หลินฟ่านลุกขึ้น ก่อนที่จะใช้นิ้วชี้เคาะไปที่โต๊ะเบาๆ

ดัชนีปลิดบุปผาถูกใช้ออกอย่างแยบยล พลังงานที่แท้จริงถูกถ่ายเทลงไปทำลายโครงสร้างของโต๊ะในเสี้ยวพริบตา

หลังจากนั้นหลินฟ่านก็เดินจากไป เขาคิดว่าช่วงบ่ายจะสอนให้ลูกศิษย์รู้ซึ้งถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง มันแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปยังห้องเรียน

ลี่ฉิงเฟย ได้แต่ยืนมองหลินฟ่านจากไปด้วยสายตารังเกียจเหยียดหยามและแค้นเคืองที่มันกล่าวถล่มมารดา

"บัดซบนัก เป็นแค่อาจารย์ระดับ D กลับกล้าเผชิญหน้ากับพวกเรา ข้าอยากรู้นักถึงเวลามันจะอ้อนวอนขอชีวิตข้าอย่างไร" ลี่ฉิงเฟยกล่าวออกมาด้วยอำมหิต

"แค่ตัวตลกจากระดับ D พวกเราคงไม่ต้องลงมืออะไรมากมายหรอกมั้ง"

"ไอพวกระดับ Dนี่มีเยอะและน่ารังเกียจเสียจริง มันคิดว่าจะทำอันใดได้เช่นนั้นหรือ ศิษย์มันระดับไม่ถึงขั้นมนุษย์ด้วยซ้ำจะไปใส่ใจอะไรนักหนา แล้วตัวมันเองคิดว่ามันจักทำอันใดได้?"

"พอเถอะ อย่าไปกล่าวถึงมันเลยเสียอารมณ์กันเสียเปล่าๆ พวกเรามากินกันต่อเถอะ กินเสร็จได้ไปเตรียมสั่งสอนมันกัน"

"เอาล่ะตามเจ้ากล่าว"

...

"แคร่กกก ..."

แต่ในขณะที่ลี่ฉิงเฟยและพรรคพวกกำลังจะนั่งลงนั้น โต๊ะเหล็กที่หลินฟ่านนั่งเมื่อครู่ ก็เริ่มสลายเป็นผุยผง ก่อนจะถูกลมพัดปลิวหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก

"นะ...นี่... " ลี่ฉิงเฟยและคนทั้งหมดได้แต่มองด้วยความตกตะลึงดวงตาของพวกมันเบิกกว้างราวกับไม่ยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ...หลินฟ่านที่เดินจากไปนั้นมีแต่รอยยิ้ม ถึงแม้ดัชนีปลิดบุปผามันจะเป็นสกิลที่เรียบง่ายและดูไม่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ทว่ามันเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดที่เขามีในตอนนี้

...

ในตอนบ่าย

เหล่าลูกศิษย์ของหลินฟ่านนั้นมารวมตัวกันอยู่ในห้องเรียนนานแล้วท่าทางของพวกมันเปลี่ยนไปอย่างมาก ก่อนหน้านี้บรรยากาศภายในห้องจะเต็มไปด้วยความหดหู่ซังกะตาย พวกมันต่างหมดอาลัยตายอยากและไร้กำลังใจในการดำเนินชีวิต แต่ทว่าตอนนี้แววตาพวกมันกลับคมกล้า แต่ละคนดูเข้มแข็งและกล้าหาญขึ้นอย่างมาก..ถึงแม้ตามตัวพวกมันจะมีบาดแผลก็เถอะ

ราวกับศิษย์ทั้ง 13 คนนั้น ได้ถูกรังแกมาหยกๆ แต่ทว่าพวกมันกลับแย้มยิ้มไม่ได้มีความเศร้าเสียใจอะไรสักนิด ราวกับรอยช้ำนั้นเกิดขึ้นเพื่อยืนยันในสิ่งที่พวกมันเชื่อมั่น

"วันนี้วันนี้ข้าไปตอกหน้าไอพวก ระดับ C ห้องที่ 6 มา ข้าบอกมันว่า อย่าหวังจะได้ดูถูกข้าอีกต่อไป สักวันหนึ่งข้าจะมาทวงคืนศักดิ์ศรีของข้า... ช่างสะใจยิ่งนักถึงมันจะทุบตีข้า แต่ข้าหาได้รู้สึกเจ็บไม่ ข้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ และสัมผัสได้ถึงความเชื่อมั่น ที่วันนึงข้าจะก้าวข้ามมันไปได้" ชูตี้ กล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ

"ข้าด้วย แต่แปลกมากจริงๆ ที่ข้ารู้สึกบาดเจ็บน้อยลง หรือนี่จะเป็นเพราะพลังใจที่แข็งแกร่งดังเช่น ตัวเอกของเรื่องราวที่อาจารย์เล่ากัน ขอเพียงมีใจไม่ว่าอันใดย่อมทำได้" เก๋าฟู่จู๋ กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมยกมือขึ้นมากำหมัดแน่

"เช่นกัน ถึงข้าจะไปต่อยตีและพ่ายแพ้มา แต่ทว่าข้ายืนขึ้นและตอกหน้ามันกลับด้วยคำพูดเช่นเดียวกับชูตี้ และเมื่อข้ากลับไปบ้านไปบอกเล่าให้บิดาฟังว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น และต่อไปข้าจะพยายามอย่างหนักอย่างไร ท่านเดินมากอดข้าและทำท่าทางภูมิใจในตัวข้าอย่างมาก...ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นแววตาภาคภูมิใจจากบิดาถึงเพียงนี้"

"แม้ท่านอาจารย์หลินฟ่านจะสอนข้าแค่ครึ่งวัน แต่ข้าจะนับถือเขาเป็นบิดาไปชั่วชีวิต"

"ถูกแล้ว ต่อไปพวกเราจะต้องพิสูจน์คุณค่าในตัวให้ท่านอาจารย์เห็น"

...

หลินฟ่านที่กินอิ่มและไปแอบงีบมาพักหนึ่ง ก็เดินมาเข้าห้องเรียนเพื่อเตรียมจะสอนในช่วงบ่าย เมื่อมันเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แข็งแกร่งราวกับพวกลูกศิษย์ของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน..แต่ทว่ามันก็เห็นบาดแผลตามตัวพวกมันเช่นกัน

"เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?"

เหล่าลูกศิษย์เพียงยิ้มไม่ได้ตอบคำถามพวกมันยืนขึ้นแล้วกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน "ท่านอาจารย์พวกเราจะพยายามอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ท่านต้องผิดหวัง"

หลินฟ่านเมื่อได้ฟังก็ยิ้มแย้มออกมา เห็นลูกศิษย์เชื่อมั่นในตัวเองและฟังคำของเขาๆก็ดีใจ แต่มีแค่ความเชื่อมั่นอย่างเดียวมันไม่เพียงพอมันต้องมีพรสวรรค์ด้วย ตอนนี้พวกมันยังไม่สามารถเทียบได้กับคนธรรมดาทั่วไป หากฝันไกลตอนนี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ซะมากกว่า

แต่โชคดีที่พวกมันมาเจอเขา หลินฟ่านผู้มีอารี!!  ...ราวกับ เหล่าลูกแกะน้อยหลงทางได้พบกับพระผู้มาโปรด เขาจะทำทุกอย่างเพื่อฉุดดึงพวกมันออกมาจากใต้โคลนตมจนผงาดเป็นบัวพ้นน้ำให้ได้

ก่อนที่เขาจะไปเล่นงานหรือหารายได้จากพวกสี่ ตระกูลใหญ่ในเมือง ดูเหมือนเขาต้องทำให้เหล่าลูกศิษย์พัฒนาขึ้นมาเป็นมังกรก่อนเสียแล้ว

"เอาล่ะ ตั้งแต่ที่ข้าเห็นพวกเจ้าได้ใจที่เชื่อมั่นกลับคืนมา ข้าก็ภูมิใจในตัวพวกเจ้ามากแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนทะยานผ่านข้ามสวรรค์ดั่งเซียวเอี๋ยนให้ได้ ..ตอนนี้พวกเจ้าติดตามข้าไปยังลานประลองกันก่อน ข้าจะไปสอนบทเรียนที่สองให้พวกเจ้า มันคือ เหยียบให้มิด!!" หลินแฟนกล่าว

เหล่าลูกศิษย์ทั้ง 13 คนที่ได้ฟังต่างสงสัยอย่างมาก เหยียบให้มิด? นั่นคืออันใดกัน? อาจารย์จะสอนถึงเรื่องใดกันแน่

เหล่าลูกศิษย์ทั้ง 13 คนได้แต่เก็บความสงสัยไว้ และเดินตามหลินฟ่านไปเป็นขบวนด้วยความใคร่รู้

ในตอนนี้นั้น ลานประลอง หนาแน่นไปด้วยผู้คน

ทั้งเหล่าศิษย์และอาจารย์ทั้ง 4 ระดับ ต่างมารวมตัวกันที่ลานประลองอย่างคับคั่ง การประลองระหว่างอาจารย์นั้นไม่เกิดขึ้นนานแล้ว ดังนั้นการประลองวันนี้ จึงมีคนมากที่สุดในรอบหลายปี

นกที่มีขนเหมือนกันก็จะรวมฝูงอยู่ด้วยกัน*  ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือลูกศิษย์ ที่อยู่ในระดับ A,B,C,D ก็ต่างแยกย้ายกันยืนกับกลุ่มของตัวเอง ไม่ไปเจรจาพาทีกับกลุ่มอื่นๆ แยกกันอย่างชัดเจน ความขัดแย้งระหว่างระดับจึงไม่ค่อยเกิดขึ้นมากนัก

(* หมายถึง คนที่มีรสนิยม ,นิสัย ,ระดับ,ความชอบ  เหมือนๆกัน มักจะรวมตัวอยู่ด้วยกัน )

 

แม้ลูกศิษย์จะมีกระทบกระทั่งกันในหมู่ระดับเดียวกันบ้าง แต่ว่าส่วนมากจะไม่มีใครกล้าไปท้าประลองกับผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าให้อับอายขายขี้หน้า อาจารย์ก็เช่นกัน

แต่ทว่าคราวนี้ พวกเขากลับได้ยินข่าวว่า อาจารย์ระดับ D เพียงหนึ่งเดียว หาญกล้าท้าประลองกับอาจารย์ระดับ B พร้อมกันถึง 4 คนนี่ทำให้ทุกคนต่างคิดว่า อาจารย์ระดับ D คนนั้น เสียสติไปแล้วหรือไร พวกมันต่างมารอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยจิตใจที่สงสัยใคร่รู้

 

รีวิวผู้อ่าน