px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 38  ท่านอ๋อง


ตอนที่ 38  ท่านอ๋อง

 

หยูเสี่ยวเฉาสังเกตเห็นว่ามีคนสองคนในกลุ่มนั้นหันหน้ามาทางพวกเขาจึงรีบเอามือปิดปากน้องชายทันที ผู้ใดจะรู้ได้ว่าอารมณ์ของขุนนางพวกนี้เป็นเยี่ยงไร ? หากมีเรื่องกันขึ้นมา คนที่จะแย่ก็คือพวกเขาเองมิใช่รึ

 

คนที่อยู่ถัดจากเด็กหนุ่มนั่นก็คือชายแก่ผิวซีด ดวงตาของชายชราผู้นั้นเป็นประกายขึ้นมา เขาก้มหัวพูดบางอย่างกับเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มจึงดึงสายบังเหียนและหันมามองทางสองพี่น้อง

 

ครานี้หยูเสี่ยวเฉามองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นได้อย่างชัดเจน เขามีดวงตาสีดำเหมือนหินออบซิเดียน แววตากล้าหาญ มองแวบแรกสีหน้าเขาดูสงบเยือกเย็น แต่พอมองดูดี ๆ แล้วจะเห็นว่าเขาซ่อนความเด็ดขาดและความเฉลียวฉลาดเอาไว้ เมื่อรวมกับใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับถูกปั้นมาอย่างประณีตแล้ว จึงส่งผลให้ลักษณะท่าทางทั้งหมดของเขายิ่งดูสง่าน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น เสี้ยววินาทีนั้นหยูเสี่ยวเฉาก็ได้รู้สึกราวกับว่าคนเบื้องหน้านางเป็นเสือร้ายที่กำลังออกล่า มิใช่เด็กหนุ่มอายุ 15 - 16 ปี

 

แต่ทว่า...เมื่อมองดูใบหน้าของเขาดี ๆ แล้ว เหตุใดนางถึงรู้สึกเหมือนเคยเจอเขาที่ไหนสักแห่งมาก่อน ? บางที...ชาติก่อนนางอาจจะเคยเห็นเหล่าคนดังมากเกินไป ตอนนี้หนุ่มหล่อทุกคนจึงดูคล้ายกับคนที่นางเคยเจอไปเสียหมด...

 

“พี่สาม ข้าจำเขาได้ ! ” ฉีโตวพูดขึ้นหลังจากสลัดใบหน้าหลุดจากการเกาะกุมของมือนางได้ คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างหันมามองพวกเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

 

หยูเสี่ยวเฉาแสร้งทำเป็นหัวเราะแล้วส่ายหน้า เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้หันมามองยังพวกเขา เสี่ยวเฉาจึงก้มหัวคำนับให้เขา “เด็กแค่พูดจาเหลวไหลเพียงเท่านั้น ขอท่านอย่าได้ใส่ใจเพียงคำพูดของเด็กเล็ก ๆ เลยเจ้าค่ะ... ”

 

แต่เด็กหนุ่มคนนั้นได้ขี่ม้ามาทางนี้แล้ว ผู้คนยังคงเบียดเสียดอยู่รอบตัวพวกเขา  หรือพวกเขากำลังปกป้องนางกัน ?

 

แย่แล้ว ! ถ้าหนีออกไปตอนนี้จะทันหรือไม่ ? หยูเสี่ยวเฉามองไปรอบ ๆ เพื่อหาทางหนี โชคร้ายที่ก่อนหน้านี้นางพยายามจะหาที่ดี ๆ ให้น้องชายได้ดูขบวนเสด็จ ทำให้พวกเขาถูกฝูงชนล้อมเอาไว้ทุกด้าน แค่เบียดฝูงชนออกไปอย่างช้า ๆ ยังทำมิได้ เยี่ยงนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงการพยายามหนีแบบเร็ว ๆ เลย

 

ฮ่องเต้ทรงเลือกผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายของกองทหารรักษาการณ์ฟางสวินให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของท่านอ๋อง เขาติดตามท่านอ๋องที่ฮ่องเต้ทรงเลือกให้ดำรงตำแหน่งจวิ๋นอ๋องด้วยพระองค์เอง และรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสองพี่น้องที่อยู่ในฝูงชนนั่น

 

ตัวพี่สาวมีดวงตากลมโตสดใสและมีชีวิตชีวาซึ่งดูคุ้นตาแปลก ๆ อ๊ะ ! ใช่แล้ว เมื่อเดือนก่อนเขาเคยเจอพี่น้องคู่นี้หน้าร้านไม้ในเมืองถังกู่ ท่าทีของนางไม่โอหังแต่ก็ไม่ยอมถูกกด ดูสงบนิ่งใจเย็นเกินอายุ ทำให้เขารู้สึกประทับใจในตัวนาง

 

ท่านอ๋องขี่ม้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าสองพี่น้อง จูจวินหยางมองใบหน้าที่ขาวซีดละเอียดอ่อนของเด็กหญิงและรู้สึกคุ้นกับดวงตากลมโตนั้น เด็กหนุ่มราวกับจะหลุดเข้าไปในความทรงจำของเขา

 

เขานั่งเงียบอยู่บนหลังม้าและมองไปยังสองพี่น้องโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง หยูเสี่ยวเฉารู้สึกประหม่าเมื่อถูกจ้องเขม็งเช่นนั้น  นั่นรังสีอำมหิตใช่หรือไม่ ? หยุดจ้องเสียที ข้ามิใช่สาวงามจนไม่มีใครเทียบได้เสียหน่อย

 

“หัวหน้าฝู ท่านแน่ใจรึว่าพวกเขาคือผู้ที่ช่วยชีวิตเรา ? ” ในที่สุดจูจวินหยางก็พูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน

 

ตั้งแต่อุบัติเหตุเมื่อหลายเดือนก่อน เสด็จแม่ของเขาก็ให้เขาอยู่แต่ในตำหนักเพื่อพักฟื้น เดิมทีเขาวางแผนเอาไว้ว่าจะออกเรือในเดือนเก้า แต่มันก็ต้องยืดออกไปอีกเกือบเดือน

 

เขาคิดจะตามหาผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาเช่นกัน แต่บริเวณที่เขาจมน้ำมีหมู่บ้านชาวประมงอยู่มากมาย เขาไม่อยากทำการค้นหาให้มันเอิกเกริก เรื่องเรือล่มจนเกือบจะจมน้ำตายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอวดมิใช่รึ

 

แต่จูจวินหยางก็รู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้ให้รางวัลตอบแทนคนที่ช่วยชีวิตเขา นี่ถ้าหัวหน้าขันทีไม่เห็นคนที่เกี่ยวข้องและบอกให้เขารับรู้ เขาก็คงพลาดโอกาสพบผู้มีพระคุณของเขาอีกครั้ง

 

“พี่สาม พี่คนนั้นไงที่พวกเราช่วยขึ้นจากน้ำวันที่ไปหาของที่ทะเล ดูที่หูของเขาสิ มีปานแดงด้วย ข้าจำได้มิผิดเป็นแน่” ฉีโตวน้อยบอกสิ่งที่เขารู้กับหยูเสี่ยวเฉาจนหมดอย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีอะไรแอบแฝง

 

ใบหน้าเคร่งขรึมตามปกติของจูจวินหยางเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนแวบนึง  เขาถูกล้อเรื่องปานแดงที่หูมาตั้งแต่เด็ก คนอื่นมักจะล้อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ว่าชาติก่อนเขาเป็นผู้หญิง คนที่เห็นมันแวบเดียวมักจะคิดว่าเขาใส่ตุ้มหู ปานแดงคือความอับอายของเขามาตลอดทั้งชีวิต หลังจากได้ตำแหน่งจวิ๋นอ๋องแล้ว ก็มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนที่ยังกล้าพูดถึงมันต่อหน้าเขา

 

หยูเสี่ยวเฉารู้สึกได้ว่าชนชั้นสูงที่อยู่เบื้องหน้านางกำลังรู้สึกไม่พอใจ นางอยากจะเอากาวทาปากน้องชายให้ปิดสนิทเสียเหลือเกิน เจ้าตัวแสบ ! ชาวบ้านเยี่ยงเราสามารถวิจารณ์เรื่องหน้าตาของชนชั้นสูงได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?

 

ความทรงจำอันน่ากระอักกระอ่วนในวัยเยาว์ทำให้ท่านอ๋องไม่มีอารมณ์ที่จะตอบแทนหนี้บุญคุณให้ผู้มีพระคุณของเขา เขาหันม้ากลับทันที แผ่นหลังของเขาตั้งตรง เกร็งไปทั้งร่าง

 

“เอาเงินให้พวกเขา ! ” จู่ ๆ ท่านอ๋องก็หยุดชะงัก หลังคิดถึงสภาพเสื้อผ้าของสองพี่น้องแล้ว เขาก็รู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ก็แทบไม่ต่างจากขอทานข้างถนน ท่านอ๋องจึงออกคำสั่งห้วน ๆ ให้กับหัวหน้าขันทีเอาเงินให้พวกเขา

 

หัวหน้าขันทีฝูก้มหัวรับคำสั่ง เขามองไปรอบ ๆ แล้วสั่งให้เจ้าหน้าที่พาเด็กสองคนมาหาเขา ก่อนที่หัวหน้าขันทีจะทันได้พูดอะไรออกมา ชายร่างสูงคนหนึ่งก็ฝ่าพวกเจ้าหน้าที่เข้ามาและผลักเด็กทั้งสองไปอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าหัวหน้าขันที

 

“เด็กสองคนนี้มิรู้เรื่องรู้ราวอันใดจึงได้เผลอล่วงเกินพวกท่านไป เป็นความผิดของพ่ออย่างข้าที่ไม่สั่งสอนพวกเขาให้ดี ได้โปรดปล่อยเด็กสองคนนี้ไปเถิด ข้าขอรับโทษแทนพวกเขาเองขอรับ ! ”

 

หลังจากหยูไห่ขายปลาเสร็จแล้ว เขาก็ได้ยินว่าจะมีชนชั้นสูงผ่านมาเพื่อเดินทางออกทะเล จึงมาดูกับชาวบ้านด้วย เมื่อครู่ที่เขาได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว สัญชาตญาณของพ่อที่ต้องปกป้องลูกนั้นไม่อาจจะปิดมันเอาไว้ได้ เมื่อเห็นลูกของเขากำลังเดือดร้อน เขาจึงพุ่งเข้ามาเพื่อปกป้องเด็ก ๆ อย่างไม่คิดชีวิต

 

“ท่านพ่อ ! ” หยูเสี่ยวเฉาตาแดงทันที ก่อนหน้านี้นางเก็บความไม่พอใจและความผิดหวังในตัวพ่อคนนี้เอาไว้ เขามีความสามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ แต่ก็ยังปล่อยให้ภรรยาและลูก ๆ อยู่อย่างยากลำบากถึงเพียงนี้ ชายที่ไม่สามารถปกป้องภรรยาและครอบครัวของเขาได้ย่อมไม่นับว่าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง

 

แต่การกระทำของเขาวันนี้ได้ทำลายความผิดหวังของนางไปแล้ว เขายอมสละชีวิตเพื่อช่วยลูก ๆ ของเขาเอาไว้ นั่นมิใช่สิ่งที่พ่อทุกคนจะทำได้ ในใจของเสี่ยวเฉานั้นตำแหน่งของพ่อนางสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

เมื่อหัวหน้าขันทีฝูเห็นว่าหยูไห่เป็นพ่อที่ดี เขาจึงรู้สึกนับถือชายคนนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เขาดึงตัวชายร่างสูงให้ลุกขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ เสียงที่เฉียบขาดเข้มงวดของเขาอ่อนลงเมื่อเอ่ยออกมาว่า “ท่านผู้มีพระคุณ ไม่ทราบว่าท่านจำส่าเจียผู้นี้ได้หรือไม่ ? ”

 

ส่าเจีย ? นั่นเป็นคำที่พวกขันทีมักจะใช้เรียกตัวเองมิใช่รึ ? เยี่ยงนั้นชายชราผมขาวตรงหน้าพวกเขาก็คือขันทีรึ ? เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้มีพระคุณ’

 

หยูเสี่ยวเฉาก็รู้สึกโล่งอกและแอบมองขันทีร่างบางผู้นั้นด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

 

หัวหน้าขันทีคนนี้จะเหมือนหัวหน้าขันทีในเรื่อง ‘เดชคัมภีร์แดนพยัคฆ์’ ที่เก่งกาจในเรื่องของการต่อสู้ด้วยหรือไม่ ? ฮ่องเต้จะให้จวิ๋นอ๋องออกเดินเรือโดยที่ไม่มียอดฝีมืออยู่ข้างกายได้เยี่ยงไรกัน ?

 

หยูไห่ใช้โอกาสนี้ลุกขึ้น เมื่อยืนขึ้นแล้วร่างของเขายิ่งดูสูงกำยำขึ้นไปอีก เขามองสำรวจหัวหน้าขันทีฝูอย่างละเอียดแล้วก้มหน้าคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “มิใช่แค่ข้าหรอกขอรับ หากชาวประมงท่านใดที่เจอคนกำลังจะจมน้ำก็คงทำเช่นเดียวกับข้า ข้าไม่คู่ควรให้เรียกว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ หรอกขอรับ”

 

อ่า ! พ่อของข้าก็เก่งเหมือนกันนี่ ! ต่อหน้าหัวหน้าขันที เขายังดูสงบนิ่งและมีมารยาท คำพูดที่พูดออกมาก็ฟังดูมีการศึกษา หยูเสี่ยวเฉามองพ่อของนางด้วยสายตานับถือที่เพิ่มขึ้นอีก

 

หัวหน้าขันทีฝูพยักหน้ายิ้ม “สำหรับท่านผู้มีพระคุณมันอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องง่าย ๆ แต่ถึงเยี่ยงไรท่านก็ได้ช่วยชีวิตจวิ๋นอ๋องเอาไว้ ซึ่งก็เท่ากับการช่วยชีวิตส่าเจียผู้นี้และทุกคนในตำหนักของท่านอ๋องด้วย โปรดรับการคารวะด้วยขอรับ ! ”

 

พอเถอะคำพูดสวยหรู ไม่มีผู้ใดอยากได้การคารวะของท่านหรอก ช่วยให้ของตอบแทนที่สามารถจับต้องได้มิดีกว่ารึ ? หยูเสี่ยวเฉามองหัวหน้าขันทีตาวาว นางรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเหมือนมีหนู 25 ตัวมาข่วนในใจนางพร้อม ๆ กัน

 

หยูไห่จะรับการคารวะจากหัวหน้าขันทีได้เยี่ยงไร ? ขันทีผู้นี้คือคนที่อยู่กับคนในราชวงศ์ทุกวันและยังคอยรับใช้พวกเขา เขาจะรับอะไรจากบุคคลสำคัญเช่นนี้ได้กัน ? เขารีบพยุงตัวหัวหน้าขันทีฝูให้ลุกขึ้นและพูดซ้ำ ๆ ว่า “ข้ารับไว้มิได้หรอกขอรับ สวรรค์โปรดเถอะ ข้ารับการคารวะจากท่านมิได้จริง ๆ ! ”

 

หัวหน้าขันทีฝูเอามือที่จับตัวเขาไว้ออกและโค้งคำนับอย่างจริงจังตามพิธีการ  หลังจากแสดงความขอบคุณแล้ว เขาก็ส่งสัญญาณให้ขันทีที่อยู่ด้านหลังเขาและพูดว่า “การพบกันในวันนี้เป็นถือเรื่องบังเอิญ ส่าเจียจึงมิมีเวลาเตรียมของตอบแทนที่เหมาะสมให้กับท่าน ตอนนี้ข้ามีเพียงแค่ตราเล็ก ๆ อันเดียวที่ไม่คู่ควรเป็นของตอบแทนให้ท่าน ท่านผู้มีพระคุณได้โปรดรับเอาไว้ด้วยเถิด วันใดที่จวิ๋นอ๋องเสด็จกลับจากทะเลตะวันตกแล้ว ส่าเจียจะนำของขวัญไปให้ท่านถึงที่เรือนเพื่อแสดงความขอบคุณ ”

 

พวกเขาเห็นแค่ว่าหัวหน้าขันทีผู้นั้นหยิบของหนัก ๆ อย่างหนึ่งที่ห่อผ้าเอาไว้จากมือของขันที หัวหน้าขันทีถือของปริศนานั้นด้วยสองมือแล้วยื่นให้แก่หยูไห่ เขาไม่ยอมให้หยูไห่มีหนทางปฏิเสธจึงพูดขึ้นว่า “เรือกำลังจะออกแล้ว ส่าเจียขอลา ! ”

 

พอหยูไห่จะไล่ตามไปเพื่อคืนของ เจ้าหน้าที่ 2 คนก็ได้ขวางเขาเอาไว้ พวกเขาไม่สนว่านี่คือผู้มีพระคุณ หน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องพวกชนชั้นสูงจากอันตรายต่าง ๆ

 

“ท่านพ่อ ขอข้าดูหน่อยสิว่าหัวหน้าขันทีผู้นั้นให้อะไรท่านพ่อมา” หยูเสี่ยวเฉาคว้าของไปจากมือพ่อของนางอย่างที่ไม่สามารถอดทนรอได้ ขณะที่เขาพานางกลับเข้ามาในกลุ่มคน ว้าว ! หนักกว่าที่คิดอีก เกือบจะหลุดมือเสียแล้ว

 

หยูไห่เพิ่งจะพูดว่า ‘อย่าเปิดของต่อหน้าผู้อื่น ! ’ เขาก็เห็นเฒ่าหยูกับหยูต้าชานเดินตรงมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

สีหน้าของหยูต้าชานดูร้อนรนกระวนกระวาย แววตาของเขาทั้งตื่นกลัวและโกรธเป็นอย่างมาก “ต้าไห่ ลูกของเจ้าทั้งสองคนก่อความเดือดร้อนมากเกินไปแล้ว พวกนั้นเป็นขุนนางและเหล่าชนชั้นสูงจากเมืองหลวง อีกทั้งยังมีท่านอ๋องอีก คนอย่างพวกเจ้าไปก่อเรื่องได้เยี่ยงไร ? แล้วเจ้าอีก ! วิ่งเข้าไปแบบนั้นได้เยี่ยงไร ? ถ้าไปล่วงเกินคนพวกนั้นเข้า ครอบครัวเราทั้งครอบครัวก็ต้องแย่ไปด้วยมิใช่รึ ! ”

 

หยูเสี่ยวเฉาได้ยินเข้าก็รู้สึกไม่พอใจ “ท่านลุงใหญ่ พวกเราจะไปก่อเรื่องได้เยี่ยงไร ? ข้าได้ฆ่าใครหรือจุดเพลิงเผาอะไรหรือไงกัน ? คนจากเมืองหลวงพวกนั้นมีความยุติธรรมและมีเหตุผลมากพอ พวกเขาเรียกพวกเราไปถามอะไรบางอย่างเพียงแค่นั้น จะทำให้ครอบครัวของเราแย่ได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”

 

หยูต้าชานมองพวกเขาด้วยดวงตาที่เหมือนกับนางจางและพูดอย่างขุ่นเคือง  “ต้าไห่ ดูสิว่าเจ้าตามใจเด็กพวกนี้จนเสียคนแล้ว ! พูดกับผู้ใหญ่เช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? คิดว่าชนชั้นสูงพวกนั้นใจกว้างงั้นรึ พวกไม่ลดตัวลงมาระดับเดียวกับพวกเจ้าหรอก แต่ถ้าพวกเจ้าไปล่วงเกินพวกเขาเข้า ได้ถูกประหาร 9 ชั่วโคตรเป็นแน่ ! ตระกูลหยูทั้งตระกูลจะไม่ถูกทำลายจนหมดสิ้นเลยรึ ? ”

 

“ประหาร 9 ชั่วโคตร ? นั่นสำหรับโทษที่ร้ายแรงที่สุดมิใช่รึ ก่อกบฏเท่านั้น ! ถ้าท่านลุงอ้างว่าเด็ก 2 คนอย่างข้าและฉีโตวก่อกบฏ ผู้ใดจะเชื่อท่านลุงกัน ? ท่านลุงใหญ่  ท่านลุงฟังนิทานจากพวกนักเล่านิทานมากเกินไปแล้ว ! ” ความโง่เขลาของลุงใหญ่ทำให้หยูเสี่ยวเฉาขำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างมากก็เป็นได้แค่ความผิดฐานไม่เคารพ  การลงโทษสำหรับความผิดนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับการประหาร 9 ชั่วโคตรเลย อ่า ! ท่านลุงใหญ่ ท่านลุงช่างเป็นตัวอย่างของกระต่ายตื่นตูมได้ดีเสียจริง

 

หยูไห่มองพ่อและพี่ชาย เขาไม่รู้ว่าจะรู้สึกกับพวกเขาเยี่ยงไรดี เมื่อครู่คนทั้งสองเข้ามาประกบเขาและไม่ยอมให้เขาเข้าไปช่วยลูก ลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา การสละชีวิตของเขาเพื่อช่วยลูกของตนเองเอาไว้เป็นเรื่องที่ควรกระทำ

 

เขามองพี่ชายใหญ่แล้วหันไปมองพ่อที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลาและพูดว่า “ท่านพ่อ เฉาเอ้อร์กับฉีโตวไม่ได้ล่วงเกินชนชั้นสูงพวกนั้น พวกเขาแค่จำเด็กทั้งสองคนนี่ได้ก็เลยเรียกไปถามอะไรบางอย่างเพียงเท่านั้นเอง”

 

 

รีวิวผู้อ่าน