px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 41  ป่วยฉับพลัน


ตอนที่ 41  ป่วยฉับพลัน

 

หมอโหยวจากหมู่บ้านตงชานไปได้ 2 เดือนแล้ว แรก ๆ พวกชาวบ้านทั้งในและรอบ ๆ หมู่บ้านตงชานก็ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอันใด แต่พอผ่านไปสักพักชาวบ้านก็เริ่มลำบากเมื่อไม่มีเขา แต่ก่อนตอนที่พวกเขาป่วยไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือสาหัสก็ได้จ่ายเพียงแค่ 10 - 20 อีแปะเพื่อให้หมอโหยวรักษา หลังจากนั้นพวกเขาก็แค่ต้องกินอาหารและกินยา อาการป่วยนั้นก็จะหายไป

 

หลังจากหมอโหยวจากไป ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เจ็บป่วยก็จะทนจนกว่าจะหายป่วย แต่ถ้าอาการของพวกเขาไม่ดีขึ้น พวกเขาก็ต้องเข้าเมืองเพื่อไปหาหมอ และต้องจ่ายอย่างน้อยหลายร้อยอีแปะแม้จะเป็นร้านหมอที่เล็กที่สุดก็ตาม

 

ชาวบ้านทุกคนต่างก็รู้ว่าหลานสาวของเฒ่าหยูเรียนวิชาแพทย์กับหมอโหยวมา 1 เดือนแล้ว แต่นางเป็นเพียงแค่เด็ก 8 ขวบและเพิ่งเรียนได้ไม่นาน พวกเขาจึงยอมทนมากกว่าจะเอาชีวิตไปไว้ในมือของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นางอาจจะทำให้อาการป่วยเล็กน้อยกลายเป็นป่วยหนักกว่าเดิมก็ได้ !

 

เสี่ยวเฉามีพรสวรรค์ในการเรียนหมอมาก และหมอโหยวก็รู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรจะสอนนางอีกแล้ว แต่ 3 เดือนผ่านไปเสี่ยวเฉาก็ยังไม่มีคนไข้แม้แต่คนเดียว แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะจุดประสงค์เดิมของเสี่ยวเฉาในการเรียนหมอก็เพื่อปกปิดฤทธิ์ของน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ตอนที่นางใช้มัน ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่านางจะมีคนไข้หรือไม่มี

 

หมอโหยวมักจะปรุงยาเอาไว้สำหรับอาการป่วยทั่วไป เช่น หวัดทั่วไป, ไข้เล็ก ๆ น้อย ๆ และอาการป่วยเล็กน้อยอื่น ๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่จากหมู่บ้านตงชานต่างก็รู้เรื่องนี้

 

หยูเสี่ยวเฉาจะออกเยี่ยมชาวบ้านเป็นครั้งคราว นางจะเอายาที่หมอโหยวเตรียมไว้ไปให้กับชาวบ้านที่ป่วย นี่เป็นหน้าที่อย่างเดียวในฐานะศิษย์โดยตรงของหมอโหยวที่หมอโหยวทิ้งไว้ให้ขณะที่เขาไม่อยู่

 

หยูเสี่ยวเฉาใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าหิมะต้นฤดูหนาวยังไม่ได้ปิดภูเขาไว้และขึ้นไปวางกับดักทุกสองหรือสามวันตอนที่ขึ้นไปยังภูเขา เมื่อมีน้ำหินศักดิ์สิทธิ์เป็นเหยื่อล่อ ในทุก ๆ ครั้งนางจึงจับสัตว์ป่าได้มากโข กระเป๋าเงินลับ ๆ ของนางจึงพองขึ้นในทุก ๆ วัน

 

ยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งกังวลมาก แต่ก่อนแค่เงิน 1 - 2 ก้อนนางยังสามารถหาที่ซ่อนได้  แต่ตอนนี้นางมีทั้งเงินก้อนและเงินเหรียญอยู่ในกระเป๋า จึงยิ่งหาที่ซ่อนที่ปลอดภัยได้ยาก...นั่นก็เพราะที่บ้านของพวกเขามีหยูไห่สือที่ชอบรื้อค้นข้าวของของผู้อื่นอยู่

 

เสี่ยวเฉาไม่ได้ปฏิบัติกับไห่สืออย่างไร้เหตุผล เขามีประวัติที่กระทำความผิดอยู่มากมาย ทุกวันหยูไห่กับนางหลิวมีงานมากเกินกว่าจะทำให้เสร็จภายในวันเดียวได้ และเสี่ยวเหลียนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ว่าง ๆ ได้ เวลาที่เสี่ยวเฉาไปวางกับดัก นางก็จะพาฉีโตวไปด้วย โดยปกตินอกจากเวลากินและนอนแล้ว ก็ไม่มีใครอยู่ในห้องตะวันตกเลย

 

ครั้งหนึ่งหยูเสี่ยวเฉากลับมาจากการขายสัตว์ที่จับได้ในภูเขา นางเห็นประตูห้องตะวันตกเปิดอยู่จึงรีบเข้าไปดู ทั้งห้องถูกใครบางคนรื้อค้นจนข้าวของกระจุยกระจาย  เสื้อผ้าในหีบถูกโยนไปทั่ว แม้แต่ผ้าห่มบนเตียงก็ยุ่งเหยิงพันกันเป็นก้อน

 

นางรีบไปตรวจที่ซ่อนเงินในรอยแตกเล็ก ๆ ระหว่างเตียงกับกำแพง หลังจากซ่อนเงินเอาไว้ในรอยแตกนางก็ใช้ดินปิดมันเอาไว้ เยี่ยงนั้นเงินนี่คงไม่รอดพ้นเงื้อมมืออันชั่วร้ายของหยูไห่สือเป็นแน่

 

หยูเสี่ยวเฉารู้สึกโกรธเป็นอย่างมากมาก นางจึงไปบอกนางจาง หญิงชราผู้ลำเอียงแค่ถามคำถามไม่กี่คำ เนื่องจากขาดหลักฐานพวกเขาจึงต้องปล่อยเรื่องนี้ไป  หลังจากนั้นเวลาเสี่ยวเฉาซ่อนเงินนางจึงระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

 

สุดท้ายเสี่ยวเฉาก็หาวิธีซ่อนเงินของนางได้อย่างปลอดภัย นางขุดรูสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่อิฐโคลนตรงกำแพง หลังจากเอาเงินใส่ไว้ในรูแล้ว นางก็เอาเศษอิฐเล็ก ๆ วางปิดไว้  จากนั้นก็เอาโคลนพอกปิดรอยแตกเล็ก ๆ นั่นทำให้ทุกอย่างดูไร้ที่ติ

 

วันเวลาผ่านไป ในที่สุดฤดูหนาวของทางเหนือก็มาถึง วันนั้นอากาศมืดครึ้ม  ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหนาลอยต่ำสีเหลืองเทา

 

สายลมตะวันออกเฉียงเหนือส่งเสียงหวีดหวิว มันได้สร้างความเสียหายให้กับป่าเป็นอย่างมาก เวลาที่เสี่ยวเฉาออกไปด้านนอก นางจะโดนสายลมที่หนาวเย็นยะเยือกพัดผ่านใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บจนแทบจะทนมิไหว สายลมหนาวนั้นราวกับใบมีดที่กำลังกรีดลงไปบนผิวหน้าของนางอยู่ก็มิปาน

 

ท้องฟ้ามืดครึ้มโปรยปรายพร้อมกับเกล็ดหิมะสีขาวที่ตกลงมาฝากฟ้า หิมะนั้นมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับขนห่านที่ปลิวลงมาเป็นจำนวนมาก ย้อมโลกใบนี้ให้กลายเป็นสีขาวโพลนในทันที

 

ชาติก่อนหยูเสี่ยวเฉาอาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศจีน ดังนั้นต่อให้มีหิมะ ก็จะมีหิมะตกเพียงเบา ๆ เท่านั้น นี่เป็นคราแรกที่นางได้เห็นหิมะตกหนักถึงเพียงนี้ ดูราวกับก้อนสำลีจำนวนมากหล่นลงมา

 

เสื้อบุฝ้ายเก่า ๆ ที่นางสวมใส่อยู่ไม่พอที่จะต้านทานความหนาวแสนสาหัสของทางเหนือได้ ตั้งแต่เข้าฤดูหนาว หยูเสี่ยวเฉาก็ไม่ยอมออกไปด้านนอกห้องอีกเลย นางเอาแต่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงในทุก ๆ วัน

 

“หิมะแรกของปีก็ตกหนักถึงเพียงนี้แล้ว ! ดูเหมือนฤดูหนาวในปีนี้จะลำบากไม่น้อย พวกเราได้สะสมอาหารไว้มากพอแล้วหรือไม่ ? ” ช่วงเวลาอาหารเย็นเฒ่าหยูนั่งมองหิมะที่ตกลงมาทั้งวันอยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจ จากประสบการณ์หลายปีของเขามันเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเห็นหิมะตกครั้งใหญ่หลังจากนั้นจะกลายเป็นหายนะ

 

นางจางคิดถึงมันเทศที่กองเป็นภูเขาอยู่ในห้องเก็บของ เมื่อมีอาหารอยู่ในมือนางจางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอีกต่อไป นางพยักหน้าและตอบว่า “มีอาหารพออย่างแน่นอน แค่ยังมิได้ป่นมันเทศให้เป็นผง พอหิมะหยุด ลูกใหญ่และลูกรองจะทำการป่นผงมันเทศเก็บไว้”

 

เฒ่าหยูขมวดคิ้วและเอ่ยออกไปอีกว่า “ถึงเจ้าจะกินแป้งมันเทศได้ตลอดทั้งฤดูหนาวโดยไม่เบื่อ แต่ท้องของเจ้าคงทนรับมิไหวหรอก เยี่ยงนั้นคงยังต้องซื้อเมล็ดธัญพืชมาเก็บไว้สำหรับฤดูหนาวอีก ถ้าหากรอจนถึงปีใหม่ตอนที่หิมะกองสูงแล้ว ราคาของเมล็ดธัญพืชคงสูงขึ้นอีกเป็นแน่ ! ”

 

ขณะที่พวกเขาปรึกษากันอยู่ เสียงประตูหน้าของบ้านตระกูลหยูถูกกระแทกดังขึ้น ท่ามกลางเสียงลมและหิมะนั้น พวกเขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังร้องไห้อยู่ที่ประตู

 

“ข้าจะไปดูเอง ! ” หยูไห่วางถ้วยข้าวแล้วสวมเสื้อกันหนาวตัวหนา จากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินฝ่าพายุหิมะออกไปยังประตูหน้าบ้าน พอประตูบ้านถูกเปิดออก เกล็ดหิมะก็ได้ปลิวเข้ามาในบ้าน มันตกลงบนพื้นและละลายกลายเป็นน้ำ

 

นางหลี่กินข้าวต่อ แต่นางก็ยังไม่ลืมที่จะบ่นพึมพำออกมา “ใครกัน ? เหตุใดถึงมาเอาตอนที่หิมะตกหนักเยี่ยงนี้ ? อีกทั้งยังมาเวลานี้อีก จะมิให้กินข้าวกินปลากันเลยรึเยี่ยงไร ? ”

 

“เฉ่าเอ้อร์ ! มียาแก้ไข้ที่ปู่โหยวทิ้งไว้บ้างหรือไม่ ? ลุงชวนจู้มีไข้ขึ้นสูงเป็นอย่างมาก ต้องใช้ยาเดี๋ยวนี้ ! ” หยูไห่รีบผลักประตูเข้ามาในบ้าน ข้างหลังเขาคือภรรยาของชวนจู้ที่ดวงตาแดงก่ำ

 

หยูเสี่ยวเฉากลืนอาหารในปากแล้วรีบตอบว่า “ยาที่ท่านปู่โหยวทำไว้ใช้ไปหมดแล้วเจ้าค่ะ ลุงชวนจู้มีไข้สูงมากเลยรึ ? ต้องการให้ข้าไปดูหรือไม่ ? ”

 

“เจ้าเป็นเพียงแค่เด็ก ไปแล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน ? อย่าได้ถ่วงเวลาคนป่วยเลย ส่งเขาไปหาหมอในเมืองมิดีกว่ารึ ? อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องเงิน” นางจางกลัวว่าหยูเสี่ยวเฉาจะพาลเอาเรื่องเดือดร้อนมาให้ครอบครัวจึงรีบขัดขึ้น

 

ภรรยาของชวนจู้รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมากจนเกือบร้องไห้ออกมา “เมื่อวานสามีอาเป็นหวัดนิดหน่อย พอเขาตื่นขึ้นมาวันนี้ก็รู้สึกไม่สบาย แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนเขาจะทนจนกว่าจะดีขึ้นเอง แต่ใครจะคิดเล่าว่าไข้ของเขาจะสูงขึ้นอีก  เมื่อครู่เขาเริ่มชักแล้ว ยาแก้ไข้เราก็หมดแล้วเช่นกัน ข้าจะทำเยี่ยงไรดี ? ”

 

นางหลี่เริ่มปากเสียอีกครา “ตายแล้ว ! ไข้สูงจนชักเลยงั้นรึ ? เป็นไปมิได้ ! เพื่อนบ้านของบ้านท่านแม่ของข้าก็มีไข้เช่นกัน ไข้ของเขาขึ้นสูงเป็นอย่างมาก ตัวร้อนเสียจนเผาสมองกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปเลยล่ะ บัดนี้อายุเกือบ 40 ปีแล้วก็ยังหาภรรยาไม่ได้ !  ชวนจู้ไข้ขึ้นสูงมาทั้งวันแล้ว จะเป็นเยี่ยงไรบ้างก็มิรู้ ! ”

 

ฟังจบภรรยาของชวนจู้ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกแล้ว นางร้อนใจหาทางออกมิได้  “แล้วข้าสามารถทำอันใดได้บ้างเล่า ? หิมะตกหนักถึงเพียงนี้ ข้าส่งเขาไปหาหมอในเมืองมิได้หรอก เสี่ยวเฉาเจ้ามิมียาเหลือแล้วจริง ๆ รึ ? ”

 

“ชีวิตคนมีค่ากว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าข้ามียา ข้าก็คงมิซ่อนเอาไว้หรอกเจ้าค่ะ ! ท่านอาคะ ถ้าท่านอาไว้ใจข้า ข้าจะไปดูอาการของท่านลุงชวนจู้ให้ จะอยู่เฉย ๆ รอให้อาการไข้ของท่านลุงชวนจู้แย่กว่านี้ก็คงมิได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” หยูเสี่ยวเฉาตัดสินใจรับคนไข้คนแรก

 

นางจางพูดอย่างโกรธจัด “เด็ก 8 ขวบอย่างเจ้าจะไปทำอันใดได้ ? ตรวจคนไข้เป็นเรื่องง่ายงั้นรึ ? นี่ชีวิตคนมิใช่ผักปลา ! เจ้าเรียนกับหมอโหยวมาได้กี่วันกัน ? มิกลัวทำให้ลุงชวนจู้กับภรรยาของเขาเสียเวลาไปเปล่ารึ ? เหตุใดเจ้ามิเข้าเมืองไปเชิญหมอมาเล่า ? ”

 

หากนางฝ่าหิมะเข้าเมืองไปตอนนี้ มันจะต้องใช้เวลาไปกลับถึง 2 ชั่วยามอีกทั้งก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอจะยอมเดินทางออกมาตอนกลางคืนเพื่อไปดูคนไข้ตอนที่อากาศเลวร้ายเยี่ยงนี้หรือไม่

 

ภรรยาของชวนจู้ไม่รู้จะหันไปพึ่งหมอที่ไหน หยูเสี่ยวเฉาคือความหวังสุดท้ายของนาง “เสี่ยวเฉา ลุงชวนจู้กับพ่อของเจ้าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมา พวกเขาสู้กับฉลามในทะเลมาด้วยกัน เพราะเยี่ยงนั้นเจ้าบอกอามาตามความจริงได้หรือไม่ ว่าเจ้าเรียนหมอไปถึงขั้นไหนแล้ว ? ”

 

หยูเสี่ยวเฉามองภรรยาของชวนจู้ด้วยสายตาแน่วแน่มั่นคง นางตอบไปตามความจริงว่า “ท่านปู่โหยวบอกว่าข้าเรียนไปได้ประมาณ 7 - 8 ส่วนของความสามารถของเขาแล้ว ที่เหลืออีก 2 - 3 ส่วนเป็นเพราะยังขาดประสบการณ์มากนัก แต่ถ้าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ท่านปู่โหยวรักษาได้ ข้าเองก็รักษาได้เช่นกัน ! ”

 

หัวใจที่ร้อนรนของภรรยาของชวนจู้ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงหลังจากเห็นสายตาที่สงบนิ่งของเสี่ยวเฉา นางกัดฟันแล้วทำการตัดสินใจที่ถึงจะยากแต่ก็ดีที่สุดในยามนี้แล้ว “ดี ! อาเชื่อเจ้า ชีวิตลุงชวนจู้อยู่ในมือของเจ้าแล้ว ! ”

 

“ไอ้หยา ! เมียชวนจู้ เจ้าไปเชื่อคำพูดขี้โม้ของเด็กได้เยี่ยงไร ? เสี่ยวเฉานางอายุเพียงแค่ 8 ขวบเองมิใช่รึ ถ้าหากนางรักษาผิดพลาดขึ้นมาพวกเราชดใช้ให้มิได้หรอกนะ ! ” นางหลี่ที่กินเสร็จแล้วก็ได้นั่งดูโชว์อย่างสบายใจ แต่ตอนนี้นางกังวลขึ้นมาแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีเรื่องผิดพลาด

 

ภรรยาของชวนจู้กัดฟันเอ่ยออกมาอีกครา นางกระทืบเท้าแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉาจะรักษาได้หรือมิได้ ข้าก็มิให้เจ้าต้องมารับผิดชอบหรอก เสี่ยวเฉาไปกันเร็วเข้าเถิด ลุงชวนจู้ไข้สูงมากแล้ว ข้าเกรงว่าจะเป็นอันตราย ! ”

 

หยูเสี่ยวเฉาไม่สนอาหารที่กินไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียว นางรีบเดินไปที่ห้องตะวันตกเพื่อเอากล่องยาที่ปู่โหยวทิ้งไว้ให้ นางมองดูส่วนประกอบยาในกล่องและเห็นว่ามันครบสมบูรณ์ดี นางคิดอีกชั่วครู่แล้วมองไปที่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์จากนั้นได้เทมันลงไปในขวดยาเปล่าหนึ่งขวด หลังจากใส่เสื้อผ้าทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยต้านความหนาวแล้วนางก็ได้เดินทางออกจากบ้านพร้อมกับภรรยาของชวนจู้

 

หยูไห่รู้สึกไม่แน่ใจและกินข้าวต่อไม่ลงแล้ว เขาจึงตามลูกสาวไปและช่วยนางแบกกล่องยา หลายครั้งเขาจะช่วยพยุงลูกสาวเพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่ลื่นล้ม

 

เดิมทีจะใช้เวลาเดินเพียงแค่ก้านธูปเดียวเท่านั้น แต่ลมและหิมะเป็นอุปสรรคทำให้คนทั้งสามคนต้องใช้เวลาเดินถึง 1 เค่อจึงจะไปถึงจุดหมาย พอเปิดประตูเข้าไปพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กตระกูลหลิว 2 คน “ท่านพ่อ ! ท่านพ่อฟื้นสิ ! ท่านพ่อจะตายมิได้นะ ! ฮือ ๆ ๆ ”

 

เมื่อภรรยาของชวนจู้ได้ยินเสียงร้องไห้ของพวกเขา ขาของนางก็อ่อนแรงขึ้นมาทันที นางทรุดตัวลงนั่งบนพื้นและเริ่มร้องไห้

 

หยูเสี่ยวเฉากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปที่เตียง นางเปิดเปลือกตาของลุงชวนจู้และดูนัยน์ตาของเขา จากนั้นก็กล่าวอย่างสงบว่า “มิต้องร้องไห้ ท่านลุงชวนจู้ยังมิตาย เพียงแต่ไข้ของเขาทำให้เกิดอาการหมดสติ ท่านอาเจ้าคะ รีบเตรียมน้ำอุ่นเร็ว ๆ เข้าเถิด ท่านอาจะต้องทำให้ร่างกายของลุงชวนจู้เย็นลง ! ”

 

“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? จะทำให้ร่างกายเขาเย็นลงรึ ? หนาวถึงเพียงนี้อีกทั้งเขายังป่วยอยู่ด้วย ถ้าทำให้ร่างกายเขาเย็นลงอีกอาการป่วยของเขาจะไม่ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมอีกรึ ? ” ภรรยาของชวนจู้ซวนเซเล็กน้อยขณะที่ลุกขึ้นยืน นางเริ่มรู้สึกหวั่น ๆ ขึ้นมาบ้างแล้วที่ตัดสินใจให้หยูเสี่ยวเฉามารักษาสามีของนาง

 

หยูเสี่ยวเฉาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีนางจึงกล่าวอีกว่า “ลุงชวนจู้มีไข้ขึ้นสูงเป็นอย่างมาก ต้องทำให้ร่างกายของเขาเย็นลงเร็ว ๆ เจ้าค่ะ ถ้าพึ่งแต่ยาจะหายช้า ข้าอยากให้ท่านอาใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวท่านลุงชวนจู้เจ้าค่ะ วิธีนี้จะทำให้ร่างกายของลุงชวนจู้เย็นลงเร็วกว่าเดิม”

รีวิวผู้อ่าน