ตอนที่ 42 ภัยฤดูหนาว
“ได้ ! ได้ ! มีน้ำร้อนอยู่ในหม้อ อาจะไปเอามาเดี๋ยวนี้ เจ้ารอสักประเดี๋ยว ! ” เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเฉาดูจะรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ ความหวังก็ผุดขึ้นมาในใจภรรยาของชวนจู้ นางรีบเดินไปเตรียมน้ำร้อนในครัวและลุกลี้ลุกลนเสียจนเกือบจะสะดุดล้มอีกด้วย
หลังจากหยูเสี่ยวเฉาตรวจชีพจรของท่านลุงชวนจู้อย่างละเอียดแล้ว นางก็เอาส่วนประกอบยาลดไข้ออกมาจากกล่องยาและเริ่มต้นปรุงยาทันที
“น้องเสี่ยวเฉา ท่านพ่อของข้าจะเป็นอะไรมากหรือไม่ ? ” หลิวฮุ้ยฟาง ลูกสาวอายุ 10 ขวบของหลิวชวนจู้ร้องไห้ไปพลางช่วยเสี่ยวเฉาต้มยาไป นางถามขึ้นเพื่อความมั่นใจ
หยูเสี่ยวเฉาใส่สมุนไพรลงไปในหม้อและใส่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงไปสองสามหยด หลังจากนั้นนางก็ตอบอย่างมั่นใจว่า “เจ้ามิต้องเป็นห่วง ! หากท่านลุงชวนจู้ได้ดื่มยาสัก 2 ถ้วยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ! ”
“นี่น้ำร้อน เสี่ยวเฉาร้อนพอหรือไม่ ? ” ภรรยาของชวนจู้เข้ามาพร้อมอ่างน้ำร้อนและผ้าเช็ดตัว
หลังจากหยูเสี่ยวเฉาวัดอุณหภูมิน้ำแล้ว นางก็ได้ใส่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงไปครึ่งขวดและพยักหน้า “พอดีแล้วเจ้าค่ะ ! เอาไปเช็ดตัวท่านลุงชวนจู้เร็วเข้าเถิดเจ้าค่ะ โดยเฉพาะตรงคอกับรักแร้ ความร้อนในร่างกายจะได้ลดลงเร็วขึ้น ! ”
“ท่านพี่เสี่ยวเฉา ท่านพี่ใส่สิ่งใดลงไปในน้ำรึ ? มิเห็นเหมือนสมุนไพรเลยเจ้าค่ะ ? ” ลูกคนที่สองของครอบครัวหลิวอายุเท่าเสี่ยวเฉา นางอ่อนกว่าเสี่ยวเฉาไม่กี่เดือนเพียงเท่านั้น
หยูเสี่ยวเฉาสอนหลิวฮุ้ยฟางต้มยา แล้วอธิบายให้ลูกคนที่สองของครอบครัวหลิวที่มีชื่อเล่นว่าเตี่ยต้านเอ้อร์ฟัง “นี่คือยาลับของท่านปู่โหยว มันช่วยทำให้หายป่วยเร็วขึ้น นี่คือสิ่งที่สกัดจากสมุนไพร 49 ชนิด 50 ปี ท่านปู่โหยวทำออกมาได้เพียงแค่ 2 ขวดเท่านั้น เจ้ามิคิดว่ามันจะเป็นยาล้ำค่าหรอกรึ ? อย่าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกกับผู้ใดเข้าล่ะ หากท่านลุงชวนจู้มิใช่เพื่อนสนิทของท่านพ่อของข้า ข้าคงมิใช้มันหรอก ! ”
ภรรยาของชวนจู้เชื่อนางและน้ำตาไหลออกมาอย่างตื้นตัน “เฉาเอ้อร์ เจ้าใช้ยาไปถึงครึ่งขวดเพื่อสามีของอา ท่านหมอโหยวจะมิว่าเจ้าแย่รึตอนที่เขากลับมา ? ”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ! ท่านปู่โหยวบอกว่ายาทำขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้คน ท่านอาชวนจู้ต้องการการรักษาเร่งด่วน หากชักช้าไปมากกว่านี้ ปอดของเขาอาจจะไหม้จนเป็นรูใหญ่ ถ้าหากข้ามิใช้ยานี้ ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตราย ! ”
หยูเสี่ยวเฉารู้ดีว่าเป็นการยากที่จะรักษาอาการป่วยของลุงชวนจู้โดยใช้แค่ความสามารถของนางเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าใช้น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ช่วยมันจะง่ายขึ้นมาก
เสี่ยวเฉาเองก็มีความกังวลก่อนที่จะตัดสินใจมารักษาลุงชวนจู้ เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นคนไข้คนแรกของนาง ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา คงเป็นไปมิได้แล้วที่นางจะได้รักษาคนไข้คนอื่นอีกในอนาคต นอกจากนั้นนางอาจจะได้ชื่อว่า ‘หมอเถื่อนที่ทำร้ายคนไข้ของตนเอง’ และคงไม่สามารถเงยหน้ามองใครในหมู่บ้านได้อีกต่อไป
ขณะที่กำลังลังเล หินศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏตัวขึ้น [ ก็แค่ไข้หวัดเองมิใช่รึ ถึงพลังของข้าจะถูกผนึกไว้ ข้าก็ยังรักษาโรคเล็กน้อยเช่นนี้ได้ เอานี่ไป ! น้ำอาบตัวของข้า หินศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ มิมีวันล้มเหลวอย่างแน่นอน ! นี่ ข้าแถมน้ำลายของข้าให้ด้วย ถุย ไม่ล้มเหลวเป็นแน่]
น้ำลายและน้ำอาบหินศักดิ์สิทธิ์ได้ผลอย่างน่าทึ่ง ภรรยาของชวนจู้เช็ดตัวให้สามีอยู่หลายครา และสังเกตได้ว่าตัวของเขาเย็นลงมาก ชวนจู้ที่หมดสติเพราะพิษไข้ก็ค่อย ๆ ได้สติกลับมา
เมื่อยาต้มเสร็จแล้ว ภรรยาของชวนจู้ก็ป้อนยาให้กับสามี ไข้ที่สูงจนน่ากลัวของเขาลดลงภายใน 1 ชั่วยามหลังจากที่กินยาเพียงไป 1 ถ้วย
“ท่านพี่หยูไห่ ลูกสาวของท่านพี่เก่งเกือบเท่าท่านหมอโหยวเลยมิใช่รึ มิน่าเล่าท่านหมอโหยวถึงได้ชมนางว่าเป็นอัจฉริยะ ! ” หลิวชวนจู้ที่ยังอ่อนแออยู่นั่งพิงเตียง เขาแสดงความขอบคุณและชมเชยเสี่ยวเฉาออกมา
ภรรยาของชวนจู้เอากระเป๋าผ้าออกมาจากตู้ และหยิบเงินอีแปะออกมาหลายพวง นางเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพี่หยูไห่ พวกเราต้องขอบคุณเสี่ยวเฉาลูกสาวของท่านด้วยใจจริง ยาของท่านหมอโหยวคงราคาสูงไม่น้อย ข้ามิแน่ใจว่า 800 อีแปะจะพอหรือไม่ ถ้าหากมิพอข้าจะไปขอยืมจากบ้านท่านแม่มาให้ตอนหิมะหยุดตกแล้ว”
ถ้ายาและสมุนไพรพวกนั้นเป็นของลูกสาวเขา หยูไห่คงมิยอมรับเงินเป็นแน่เพราะชวนจู้คือสหายสนิทของเขา แต่ลูกสาวของเขาบอกว่ายานั้นเป็นของท่านหมอโหยว ยิ่งกว่านั้นมันยังล้ำค่าเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้จะตัดสินใจเยี่ยงไรจึงมองไปที่ลูกสาว
ในเมื่อพูดออกไปแล้วมันก็คงน่าสงสัยถ้านางจะมิยอมรับเงิน หลังจากลังเลอยู่ชั่วอึดใจเสี่ยวเฉาก็เอ่ยออกมาว่า “ท่านอาชวนจู้ก็รู้จักนิสัยของท่านปู่โหยวดีมิใช่รึ ถ้าครอบครัวของคนไข้กำลังลำบาก เขาก็จะมิเก็บค่ารักษา”
“ใช่แล้ว ! ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านรอบ ๆ ต่างก็ชื่นชมท่านหมอโหยวแห่งหมู่บ้านตงชานว่าเป็นคนที่ใจดีมีเมตตา ผู้คนมากมายเห็นเขาเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ! ” ภรรยาของชวนจู้พูดขึ้น
หยูเสี่ยวเฉาจึงพูดต่อว่า “ถ้าท่านปู่โหยวอยู่ที่นี่ เขาก็คงมิอยากเห็นท่านอาต้องหยิบยืมเงินมาจ่ายค่ารักษา วันนี้ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะรับเพียงแค่ 200 อีแปะจากท่านอา ท่านลุงชวนจู้ยังต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายวัน แล้วก็กำลังจะถึงวันปีใหม่แล้วด้วย... ”
“200 อีแปะรึ ? มิน้อยเกินไปหน่อยรึ ? ท่านหมอโหยวต้องว่าเจ้าเป็นแน่ตอนเขากลับมา ! เฉาเอ้อร์รับเงินของอาไว้เถิด พวกเราขัดสนเงินเพียงนิดหน่อยเพราะซื้อเรือใหม่ เจ้ามิต้องห่วง ถึงลุงชวนจู้จะมิเก่งเท่าพ่อของเจ้า แต่เขาก็ยังเป็นชาวประมงที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในหมู่บ้าน มีเรือลำใหม่ด้วยเช่นนี้พวกเรายังจะต้องกลัวหนี้เล็กน้อยแค่นี้ด้วยรึ ? ” ภรรยาของชวนจู้ยัดเยียดถุงผ้าใส่มือของเสี่ยวเฉา
ค่ายาที่เสี่ยวเฉาใช้กับชวนจู้นั้นรวมแล้วยังมิถึง 12 อีแปะเลยด้วยซ้ำส่วนประกอบสำคัญก็คือน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก็ไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะเดียว ดังนั้นนางจึงมิได้ใช้เงินสักอีแปะเดียว ถ้านางยอมรับเงิน 800 อีแปะมานางก็คงจะรู้สึกผิด หยูเสี่ยวเฉาจึงปฏิเสธและยืนยันว่าจะรับแค่ 200 อีแปะเท่านั้น
ภรรยาของชวนจู้เองก็เป็นคนดื้อรั้น ยิ่งเสี่ยวเฉาไม่ยอมรับเงิน นางก็ยิ่งอยากให้ หลังยื้อกันไปมาอยู่นาน ลุงชวนจู้ก็ทนไม่ไหวจึงกระแอมออกมา
“เลิกผลักกันไปมาได้แล้ว เสี่ยวเฉา เจ้ารับเงินไว้เถิด ลุงให้ 500 อีแปะเป็นค่ารักษา ครอบครัวของเราฉลองปีใหม่กันที่บ้านท่านปู่ของเตี่ยต้าน เพราะงั้น 300 อีแปะที่เหลือนี่ก็พอให้เราใช้ในฤดูหนาวได้แล้ว”
เสี่ยวเฉารู้ว่านางไม่อาจจะปฏิเสธได้อีก จึงยอมรับเงิน 5 พวงนั้นมาด้วยความละอายใจ นางทิ้งสมุนไพรเอาไว้และเตือนให้อาชวนจู้ต้มยาให้ลุงชวนจู้ดื่มทุกวัน
น้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ได้ผลดีเกินไปแล้ว คราวหน้านางคงต้องปรับปริมาณตัวยาให้ดีเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นสงสัยและเกิดความละโมภ
ขากลับหิมะตกหนักกว่าเดิมเสียอีก เกล็ดหิมะเกือบเหมือนบอลหิมะลูกเล็ก ๆ หิมะบนพื้นเพิ่มสูงขึ้นจนถึงหัวเข่าของเสี่ยวเฉา นางจึงเดินบนหิมะได้อย่างยากลำบาก บางคราเท้าของนางก็จะติดอยู่ในหิมะและดึงไม่ออก
หยูไห่จับมือลูกสาวของเขาเอาไว้ เขาสังเกตเห็นความลำบากของนางในการเดิน จึงอุ้มนางขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เขาแบกนางขึ้นหลังและเดินกลับบ้าน
หยูเสี่ยวเฉากรอกตา ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เหตุใดข้าต้องขาสั้นด้วย !
หิมะตกหนักตลอดทั้งคืน พอพวกเขาตื่นขึ้นในวันต่อมา หิมะด้านนอกก็ได้ขวางประตูเอาไว้กองโต เมื่อหยูไห่ตื่นขึ้นในตอนเช้า สิ่งแรกที่เขาทำก็คือกวาดหิมะที่สูงถึงหัวเข่าออกไปจากลานบ้าน
“ท่านพี่ต้าไห่ท่านได้ข่าวหรือ ? บ้านของหวังเอ้อร์เหลียนซื่อโดนหิมะถล่ม ห้องโดนทำลายไปถึง 2 ห้องครึ่ง กลางดึกเมื่อคืนครอบครัวของเขาต้องเบียดกันอยู่ในห้องอีกครึ่งที่เหลือ โชคดีที่พวกเขามิแข็งตาย ! ” เพื่อนบ้านของพวกเขา จ้าวต้า กวาดหิมะเสร็จแล้ว และได้ออกเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อกระจายข่าว
เฒ่าหยูขมวดคิ้ว เขาเดินกลับมาจากข้างนอกพร้อมกับเอามือประสานไว้ที่ด้านหลัง ชายชรากระทืบเอาหิมะออกจากรองเท้าที่หน้าประตูทางเข้าแล้วถอนหายใจพลางพูดว่า “แค่หิมะแรกของฤดูก็ใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ท่าทางปีนี้จะเป็นฤดูหนาวที่ยากลำบากเสียแล้ว ! ”
“หิมะตกหนักจนกลายเป็นภัยพิบัติ หลายบ้านถูกหิมะทำลายไปไม่มากก็น้อย มีผู้เฒ่าหลายคนที่ผ่านความหนาวเย็นของเมื่อคืนไปไม่ได้ ได้ยินว่าตอนที่พบเมื่อเช้าพวกเขาก็แข็งทื่อไปแล้ว ! ” จ้าวต้าส่ายหน้าและเดินเข้าไปในห้องของพ่อ เขาใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปในช่องของเตียงเพื่อทำให้เตียงอบอุ่น
ในช่วงฤดูหนาวทางเหนือจะมีคนแก่และเด็กแข็งตายและป่วยตายเกือบทุกปี แต่หายากที่จะได้เห็นบ้านถล่มและคนแข็งตายในช่วงต้นของฤดูหนาวเช่นปีนี้
ผู้คนออกมากวาดหิมะหน้าประตูมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะทำงานพวกเขาก็พูดคุยซุบซิบกันเรื่องลูกอกตัญญูที่ทิ้งพ่อแม่แก่ชราเอาไว้ให้อยู่ตามลำพัง หิมะถล่มบ้านของคนแก่เหล่านี้และได้ฝังร่างของพวกเขาไว้ข้างใต้พื้นหิมะ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขานอนตายอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนกันแล้ว...
หยูเสี่ยวเฉารู้สึกเศร้ามากขึ้นเมื่อได้ยินเยี่ยงนี้ นางคิดถึงท่านปู่โหยวที่เป็นคนแก่อายุ 60 และอาศัยอยู่เพียงลำพังในหมู่บ้านชาวประมงที่ห่างไกลจากที่แห่งนี้ นางเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเขา มีคนคอยดูแลเขาตอนที่เขาเดินทางเพียงลำพังหรือไม่ ? เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งบ้างหรือไม่ ?
“ท่านพ่อ ข้าเป็นห่วงบ้านของท่านปู่โหยว ไปดูกันเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ! ” เห็นหิมะข้างนอกแล้วหยูเสี่ยวเฉาก็รู้ว่ามันยากที่จะเดินไปด้วยขาสั้น ๆ ของนางเอง ดังนั้นนางจึงขอให้ท่านพ่อของนางช่วยพานางไป
“ได้สิ ! พ่อจะพาเจ้าไปดูเอง” หยูไห่ถือไม้กวาดกวาดหิมะด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็อุ้มลูกสาวขึ้นมาขี่หลัง หลังจากนั้นเขาก็เดินไปทางตะวันตกของหมู่บ้านอย่างยากลำบาก
นางจางไล่ตามพวกเขามาได้นิดเดียวก็ยอมแพ้แล้วตะโกนว่า “หิมะบนหลังคาบ้านเรายังมิได้กวาดเลย ยังจะไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นอีก ! พวกเจ้ามีเวลาว่างมากเลยรึไง ? ”
หยูเสี่ยวเฉาที่กอดคอพ่อของนางอยู่ก็หันกลับไปตะโกนว่า “ท่านย่า ท่านพ่อมิใช่ผู้ชายคนเดียวในบ้านเสียหน่อย ! ท่านลุงใหญ่กับท่านอาสามก็อยู่บ้านมิใช่รึ ? ท่านปู่โหยวเป็นหมอคนเดียวในละแวกนี้ ถ้าหากบ้านเขาพังขึ้นมา แล้วเขาจะอยู่ในหมู่บ้านของเราได้เยี่ยงไรตอนที่เขากลับมาเจ้าคะ ? ”
หมู่บ้านในระแวกนี้ต่างอิจฉาหมู่บ้านตงชานที่หมอโหยวพักอยู่ที่นั่น การที่มีหมออยู่ในหมู่บ้านทำให้ชาวบ้านรู้ปลอดภัยและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หมอโหยวไม่มีอะไรให้เป็นห่วงนอกจากบ้าน 2 ห้องของเขา ดังนั้นจึงถือเป็นหน้าที่ของหมู่บ้านตงชานที่ต้องคอยดูแลบ้านของเขาตอนที่เขามิอยู่
เมื่อหยูไห่กับเสี่ยวเฉามาถึง หัวหน้าหมู่บ้านก็ได้รวบรวมชายที่แข็งแรงหลายคนมาช่วยกันกวาดหิมะที่ลานบ้านของหมอโหยวแล้ว
หมอโหยวมีบ้าน 2 ห้อง ห้องหนึ่งหลังคาได้ถล่มลงมาแล้วเพราะหิมะหนาเกินไปจนทนแบกรับน้ำหนักมิไหว โชคดีที่ห้องเก็บสมุนไพรมิได้รับผลกระทบมากนัก
หยูเสี่ยวเฉารีบเข้าไปในห้องที่ยังไม่เสียหายซึ่งมีเพียงเตียงขนาดใหญ่และสมุนไพรหลายกล่อง นางตรวจสอบกล่องใส่สมุนไพรทั้งหมดอย่างละเอียด หลังจากแน่ใจว่าสมุนไพรทั้งหมดยังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหาย นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หัวหน้าหมู่บ้านเป็นชายชราอายุประมาณ 50 ปี ผมและเคราเป็นสีขาวแล้ว รูปร่างสูงและมีใบหน้าคมเข้ม เมื่อเขาเห็นหยูเสี่ยวเฉาก็พูดขึ้นมาว่า “โอ้ ! หมอน้อยของหมู่บ้านเรามาตรวจสมุนไพรเยี่ยงนั้นรึ ? มิต้องห่วง ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านสัญญาว่าจะซ่อมบ้าน 2 ห้องให้ดีและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ถึงหิมะจะตกหนักเพียงไหนก็จะมิสามารถทำอันใดสมุนไพรพวกนี้ได้ ! ”