ตอนที่ 47 ลงโทษ
เสี่ยวเฉารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ แม้ว่านางจะเล่าเรื่องน่าขันเช่นนั้น พ่อที่รักนางสุดหัวใจก็ยังเชื่อนางและยังแสดงความห่วงใยต่อนางอีกด้วย มันทำให้นางมีความสุขและตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
ในสายตาของหยูไห่ ลูกสาวของเขานั้นบริสุทธิ์เหมือนน้ำจากน้ำพุที่ซ่อนอยู่ในภูเขาลึก ก่อนที่นางจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ นางไม่เคยก้าวออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพักฟื้นอยู่บนเตียง แล้วนางจะรู้วิธีโกหกผู้อื่นได้เยี่ยงไร ?
นอกจากนั้นเด็กอายุ 8 ขวบจะรู้เรื่องยมทูตขาวดำที่มีหน้าที่รับดวงวิญญาณไปรับการตัดสินจากพญายมราชและเรื่องที่ว่านรกเป็นแบบไหนได้เยี่ยงไร ? นางจะบรรยายเรื่องพวกนี้อย่างชัดเจนได้เยี่ยงไรถ้านางมิเคยเจอด้วยตนเอง ? เขาจับมือเด็กหญิงแน่นขึ้น ลูกสาวของเขามีชีวิตที่มิง่ายเลย อีกทั้งยังเกือบตายแล้วอีกด้วย เขาตัดสินใจว่าจะไม่ให้โอกาสที่สองของชีวิตลูกสาวเขาต้องเสียเปล่า...
“ท่านพ่อ ถึงร้านไม้แล้วเจ้าค่ะ ! ” หยูเสี่ยวเฉาสังเกตเห็นว่าหยูไห่เหม่อลอยจนเกือบจะเดินผ่านร้านไม้ไป นางจึงดึงรั้งมือของเขาไว้
หยูไห่ถึงได้ดึงสติกลับมา เขาเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างของทางเข้า เขาจึงเดินเข้าไปหาเขาและพูดว่า “ท่านขอรับ รบกวนท่านช่วยไปเรียกหยูฮังออกมาให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ ? ข้าเป็นคนในครอบครัวของเขา จะเอาเสื้อกันหนาวมาให้เขาขอรับ”
ชายคนนี้สุภาพกว่าคนก่อน เขามองสองพ่อลูกแล้วตอบอย่างหงุดหงิดนิด ๆ ว่า “รออยู่นี่แหละ พวกเด็กฝึกงานกำลังถูกลงโทษ เจ้าของร้านอาจจะไม่ปล่อยให้ใครออกมาถ้าไม่จำเป็น ! ”
ขณะที่เดินกลับไปทางหลังร้าน เขาก็บ่นกับตนเองว่า “ไม่เห็นเหมือนคนที่ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกเลยมิใช่รึ ? แล้วเหตุใดถึงต้องทำใจแข็งส่งลูกของตนเองเข้าถ้ำเสือกันด้วยเล่า ? ”
หลังจากน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ช่วยทำให้ร่างกายของนางฟื้นคืนกลับมาแล้ว ประสาทสัมผัสของหยูเสี่ยวเฉาก็แหลมคมขึ้นเมื่อเทียบกับคนทั่วไป นางได้ยินเสียงบ่นพึมพำของชายคนนั้น และนึกถึงรอยช้ำที่นางเห็นบนใบหน้าของพี่ชายตอนที่มาเยี่ยมคราก่อน เด็กหญิงจึงพูดขึ้นอย่างไม่สบายใจว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ เราพาท่านพี่ใหญ่กลับไปได้หรือไม่เจ้าคะ ? ข้าว่าเรียนช่างไม้ที่นี่มิใช่สิ่งที่ดีกับท่านพี่ใหญ่เลยสักนิด สู้เรียนตกปลาล่าสัตว์กับท่านพ่อมิดีกว่าหรือเจ้าคะ ? ”
หยูไห่เข้าเมืองอยู่บ่อย ๆ และเคยได้ยินข่าวลือเรื่องเจ้าของร้านไม้อยู่เหมือนกัน เวลาที่ชายคนนั้นเมาเขาจะชอบทุบตีพนักงานกับเด็กฝึกงานของเขา หยูไห่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเบา ๆ “เอาไว้ตัดสินใจหลังงานฉลองปีใหม่ก็แล้วกัน เพราะพ่อต้องยืมเงินเพื่อให้ลูกมาหาหมอวันนี้ ท่านย่าจะต้องเอาเรื่องนี้มาอาละวาดเป็นแน่ ถ้าพ่อพาพี่ชายของลูกกลับไปโดยไม่ขอความเห็นของนางก่อน คนในบ้านคงฉลองงานปีใหม่ปีนี้กันไม่สนุกอย่างแน่นอน ! ”
สองพ่อลูกยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวพักนึงก็เห็นหยูฮังวิ่งออกมาจากประตูข้างร้าน หยูเสี่ยวเฉามิได้เจอพี่ชายมาเกือบสองเดือน นางมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเศร้าใจ แม้ว่านางจะไม่เห็นบาดแผลใหม่ ๆ บนตัวเขา แต่หน้าของเขาก็ซีดเป็นอย่างมากและร่างกายของเขาก็ซูบผอมจนน่าตกใจ
เสี่ยวเฉาถามออกไปด้วยเสียงเป็นห่วงว่า “ท่านพี่ใหญ่ผอมลงมากเลยนะเจ้าคะ เจ้านายของท่านพี่มิให้ข้าวกินเลยรึเยี่ยงไรกัน ? ” หยูฮังซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อและพยายามยิ้มอย่างเต็มที่ เขาส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าแค่โตขึ้นน่ะ กินไปเท่าใดก็มิอ้วนขึ้น เจ้ามิต้องห่วงข้าหรอกน้องสาม ! อาหารที่นี่ก็เท่ากับที่บ้านนั่นแหละ ! ”
เท่ากับที่บ้านตอนที่ถูกจำกัดอาหารและกินไม่เคยอิ่มน่ะรึ ? อีกทั้งยังต้องทำงานหนักกว่าที่บ้านอีกด้วย
แต่หยูฮังเป็นคนมีเหตุผล เขาไม่พูดความคิดพวกนี้ออกไปต่อหน้าครอบครัวของเขาเพื่อที่จะไม่ให้พวกเขาต้องเป็นห่วง
หยูไห่ลูบผมที่แห้งแตกของลูกชายอย่างอ่อนโยน เขาผอมขึ้นมากจริง ๆ แท้จริงแล้วรูปร่างของลูกชายเขาก็มิได้แตกต่างไปจากตอนที่นางจางจำกัดอาหารมากนัก แก้มของเขายังคงซูบตอบ ลูกสาวเขาพูดมิผิด เขาต้องพาลูกชายกลับบ้านให้เร็วที่สุด
หยูเสี่ยวเฉาพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ นางหยิบซาลาเปาเนื้อออกมายัดใส่มือพี่ชายแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ใหญ่ ซาลาเปาเนื้อพวกนี้เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ท่านพี่กินตอนนี้เลยเถิด มันกำลังร้อน ๆ อยู่เลย ! ”
“ข้าบอกแล้วมิใช่รึว่ามิต้องซื้ออะไรมาให้ข้ากินอีก ! ถ้าท่านย่ารู้ว่าเจ้าซื้อของตามใจเข้าแล้วล่ะก็ ประเดี๋ยวท่านย่าก็โกรธบ้านเราอีกหรอก ! ” หยูฮังมองซาลาเปาเนื้อสีขาวอ้วนกลมที่ส่งกลิ่นหอมน่ากิน แล้วอดกลืนน้ำลายไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้กินของที่ทำจากแป้งขาว ?
หมั่นโถวที่ร้านไม้ทำจากธัญพืชที่หยาบที่สุดและคุณภาพต่ำที่สุด แห้งแข็งจนติดคอ อีกทั้งยังมีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็กเท่านั้น ส่วนซุปนั้นนอกจากเศษผักกาดสองสามชิ้นแล้วก็มีแต่น้ำเสียมากกว่า มิมีน้ำมันอยู่ในซุปเลยแม้แต่หยดเดียว อีกทั้งไม่เคยมีผักให้กินอีกด้วย !
เดิมทีที่ร้านมีเด็กฝึกงานทั้งหมด 7 - 8 คน แต่ตอนนี้เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวเพราะความหิว คนอื่น ๆ เลยลาออกไปนานแล้วเพราะครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ยากจนจนเลี้ยงไม่ได้ เมื่อครู่เขาถูกลงโทษพร้อมกับเด็กฝึกงานอีก 2 คนที่อายุมากกว่าเขาสองสามปี ทั้งสามคนโดนลงโทษให้คุกเข่าบนหิมะและต้องถือกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง แววตาของหยูฮังหม่นลงเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น
“ซาลาเปาพวกนี้หัวหน้าพ่อครัวหวังแห่งร้านเจินซิวให้ข้ามา ข้ามิได้เสียเงินซื้อเลยสักอีแปะเดียว รีบกินเร็วเข้า ประเดี๋ยวหากมันเย็นแล้วจะไม่อร่อยเอานะเจ้าคะ ” หยูเสี่ยวเฉาอธิบาย นางสังเกตเห็นมือที่ถือซาลาเปาของพี่ชายสั่นไม่หยุด จึงถามขึ้นอย่างอดรนทนมิได้ “ท่านพี่ใหญ่ เกิดสิ่งใดขึ้นกับมือของท่านพี่รึเจ้าคะ ? ”
หยูฮังตอบเลี่ยง ๆ ไปว่า “พวกเราทำงานมิเสร็จผู้จัดการร้านก็เลยลงโทษน่ะ มิใช่เรื่องใหญ่อันใด พักสักหน่อยก็มิเป็นไรแล้ว ท่านพ่อกับน้องสามกินอะไรมากันรึยัง ? ”
“พวกเรากินกันแล้วล่ะ เสี่ยวชาทำงานที่นี่เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ? ทนอีกหน่อยนะ พอพ่อกลับไปแล้วพ่อจะคุยกับท่านย่า แล้วพอจบงานฉลองปีใหม่แล้วพ่อจะพาลูกกลับบ้านเอง ! ” เมื่อได้ยินว่าลูกชายที่เชื่อฟังและขยันทำงานของเขาถูกลงโทษก็ยิ่งทำให้หยูไห่อยากพาเขากลับบ้านเสียตอนนี้
หยูฮังระงับความอยากเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เขากัดซาลาเปาเนื้อร้อน ๆ คำใหญ่ เด็กชายเกือบร้องไห้ออกมาเมื่อได้ลิ้มรสแป้งนุ่ม ๆ กับเนื้อบดที่หอมหวาน
พอได้ยินสิ่งที่พ่อของเขาพูด หยูฮังก็ลังเลนิดนึงก่อนจะส่ายหน้า “ท่านพ่อ ท่านย่ามิเห็นด้วยเป็นแน่ ต่อให้ครอบครัวของเราจะทำงานหนักถึงเพียงไหนก็มิมีความหมายในสายตาท่านย่า ท่านย่ามิยอมให้ข้ากลับบ้านไป ‘อยู่สบาย ๆ ’ เป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าอยากยกเลิกสัญญาฝึกงาน ต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญาด้วยนะขอรับ ท่านพ่อคิดจริง ๆ รึว่าท่านย่าจะยอมเสียเงินให้คนอื่นนอกจากท่านอาสาม ? ”
การเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านไม้ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาคือฝันร้ายของหยูฮัง นอกจากกินไม่อิ่มแล้วยังนอนไม่พออีกด้วย อีกทั้งยังถูกทำโทษด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอด และการลงโทษจะเปลี่ยนไปตามอำเภอใจ เขารู้สึกเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ นี่ถ้าพ่อกับน้องสาวเขาไม่ได้มาเยี่ยม เขาคงทนถือกะละมังน้ำนั่นต่อไปอีกไม่ไหวแล้วเป็นแน่
ถ้าเขาถือไม่ไหว ตัวเขาคงโดนน้ำเย็นหกใส่จนเปียกโชกไปแล้ว เด็กฝึกงานที่มาจากครอบครัวยากจนนั้น มีเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นสักชุดหนึ่งก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว หากมันเปียกขึ้นมา เขาก็จะไม่มีเสื้อผ้าตัวอื่นให้เปลี่ยน ถ้าไม่มีอะไรมาช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นในช่วงอากาศหนาวเย็นยะเยือกเช่นนี้ ก็ไม่รู้เลยว่าชีวิตของเขาจะเป็นเยี่ยงไร ?
นั่นเป็นสาเหตุที่เขาไม่ปฏิเสธข้อเสนอที่หยูไห่จะพาเขากลับบ้าน ต่อให้เขาจะเป็นคนมีเหตุผลมากแต่ก็ใช่ว่าจะทนไหวตลอดไป ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแค่กล่าวถึงความกังวลเรื่องที่จะพาเขากลับบ้านเท่านั้น
หยูไห่ตบบ่าผอม ๆ ของลูกชาย และพูดด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “มิต้องกังวลเรื่องนั้น ! พ่อจัดการปัญหาเรื่องเงินได้ อยู่ที่นี่อีกไม่นานนะลูก...เอาเงินนี่ไปแล้วเก็บให้ดี ๆ หิวเมื่อใดก็ไปซื้อหมั่นโถวกับซาลาเปาเนื้อมากิน หลังงานปีใหม่เสร็จสิ้นแล้วพ่อจะมาเยี่ยมลูกอีกครา”
หยูเสี่ยวเฉามองเงินอีแปะพวงนั้นแล้วทัศนคติที่มีต่อพ่อของนางก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยพ่อก็ไม่ได้บ้าความกตัญญูจนหน้ามืดตามัวจนไม่มีเหตุผล
“ท่านพี่ใหญ่ เสื้อตัวนี้คุณชายสามโจวให้มา มันหนามากนะเจ้าคะ กลับเข้าไปก็อย่าลืมใส่ด้วยล่ะ” หยูเสี่ยวเฉาเห็นมือพี่ชายเต็มไปด้วยแผลจากความเย็นกัดและผิวแตกจนเลือดออก เด็กอายุเพียง 10 ขวบแต่กลับมีมือที่เหมือนผู้ใหญ่ ภาพนั้นทำให้นางรู้สึกแย่ คราวหน้านางต้องทำครีมทาแผลที่ผสมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์มาให้พี่ใหญ่เสียหน่อยแล้ว น่าจะพอช่วยรักษามือของเขาได้
เมื่อเห็นหยูฮังกินซาลาเปาเนื้อทีเดียว 3 ลูกรวด หยูไห่ก็ต้องเตือนให้เขาหยุด “พอแล้วประเดี๋ยวจะปวดท้องเอา กลับเข้าไปก็ดื่มน้ำร้อนด้วย แล้วเก็บที่เหลือไว้กินพรุ่งนี้ พ่อกับน้องต้องกลับแล้ว เจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี ๆ ล่ะ ! ”
หยูฮังห่อซาลาเปาเนื้อที่เหลือไว้อย่างดีและใส่ไว้ในห่อผ้ารวมกับชุดกันหนาวของเขา เขาบอกลาพ่อกับน้องสามอย่างไม่เต็มใจนัก เขาได้แต่ภาวนาให้พ่อสามารถเกลี้ยกล่อมนางจางให้พาตัวเขากลับไปได้เร็ว ๆ เยี่ยงนั้นเขาอาจจะมีจุดจบเหมือนเสี่ยวมู่ ที่อยู่ในสภาพใกล้ตายแล้ว ครอบครัวถึงจะได้รับแจ้งว่าให้พาเขากลับไปได้
สองพ่อลูกเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ เมื่อพวกเขาผ่านร้านยาถงเหริน หยูไห่ก็ยืนกรานที่จะให้ลูกสาวเข้าไปให้หมอซุนตรวจ
[ ฮ่า ๆ ! พลังวิญญาณ ข้าจะดูดพลังวิญญาณให้หมดเลย ! ] หินศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าไปยังตู้ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรล้ำค่าและนั่งเกาะอยู่ข้างบนเหมือนตุ๊กแก ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นมันได้นอกจากเจ้านายของมัน ดังนั้นรูปร่างหน้าตามันจะเป็นเยี่ยงไรก็ไม่สำคัญ
หมอซุนยังคงประทับใจในตัวสองพ่อลูก เขาลูบเครายาวพร้อมกับถามเด็กหญิงว่า “มิสบายตรงรึเจ้าหนู ? ”
“ข้าสบายดี... ! ” ก่อนที่เสี่ยวเฉาจะพูดจบ พ่อของนางก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
“ท่านหมอซุนขอรับ ลูกสาวของข้าเป็นลมเมื่อเช้านี้ ช่วยดูให้หน่อยขอรับว่าโรคเก่าของนางกำเริบขึ้นมาอีกหรือไม่ ? ” แต่ก่อนเสี่ยวเฉาป่วยบ่อยเอามาก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ป่วยแล้ว เรื่องราวที่ผ่านมาทำให้หยูไห่ฝังใจ มีอยู่หลายคราที่หมอโหยวไม่สามารถรักษานางได้และมีเพียงแต่หมอซุนเท่านั้นที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้
หยูเสี่ยวเฉารู้ว่านางไม่สามารถหลอกหมอซุนได้จึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าแค่กลัวท่านย่ามากไปหน่อยเท่านั้นเอง ข้าบอกแล้วนี่ว่าข้าหายจากโรคเก่านานแล้ว เหตุใดท่านพ่อยังมิเชื่อข้าอีกกัน ? ”
หมอซุนตรวจชีพจรเสี่ยวเฉาอย่างละเอียดและตรวจสอบผิวของนางด้วย จากนั้นเขาก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยว่า “มิต้องห่วง โรคเรื้อรังของนางหายขาดแล้วอย่างแน่นอน ต่อไปก็ดูแลให้ดีเป็นพิเศษหน่อย มิควรให้กลัวมากนัก บางคราการหวาดกลัวมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่อย่างอื่นได้อีก”
“ขอบคุณขอรับท่านหมอ เยี่ยงนั้นท่านหมอช่วยสั่งยาให้ได้หรือไม่ขอรับ...? ”
“ท่านหมอซุนบอกแล้วนี่เจ้าคะว่าข้าสบายดี เหตุใดถึงต้องสั่งยาอีกกัน ? ” หยูเสี่ยวเฉาไม่อยากดื่มยาขม ๆ
“ยาทุกอย่างมีผลกระทบทั้งนั้น นางก็มิได้เป็นอะไรมากแล้ว มิจำเป็นต้องกินยาเพิ่มแล้ว” คำพูดของหมอซุนเป็นเหมือนแสงสว่างในความมืด เขาสามารถหยุดความดื้อรั้นของหยูไห่ได้ ชายชรายิ้มให้เสี่ยวเฉา
หยูเสี่ยวเฉายิ้มอย่างเขินอาย หมอซุนผู้นี้น่าสนใจมิน้อย ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอาการป่วยของมารดาขึ้นมาได้ จึงอธิบายอาการและชีพจรของมารดาในตอนนี้ให้หมอซุนฟังอย่างละเอียด
“เจ้าหนู เจ้ามีความรู้เรื่องการแพทย์ด้วยเยี่ยงนั้นรึ ? ” หมอซุนแสดงสีหน้าแปลกใจและตกใจเป็นอย่างมาก
หยูเสี่ยวเฉาหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ไม่มากนักหรอกเจ้าค่ะ ข้าใช้เวลากับท่านหมอโหยวหมอในหมู่บ้านของข้าอยู่หลายวันก็เลยได้ความรู้มาบ้าง มิใช่ความสามารถทางการแพทย์จริง ๆ หรอกเจ้าค่ะ ข้ามิกล้าแสดงความสามารถต่อหน้าท่านหมอหรอกเจ้าค่ะ”
หมอซุนยิ้มและไม่ได้ตอบอะไร เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็อธิบายว่า “จากที่เจ้าอธิบายถึงชีพจรของนาง หมอบอกได้ว่านี่เป็นโรคเก่า ถ้าปล่อยไปโดยที่มิรักษา ท่านแม่ของเจ้าก็จะเป็นโรคปอดเรื้อรัง ให้นางกินยาที่หมอสั่งเถิด หลังจากนั้นควรจะพานางมาตรวจจึงจะปลอดภัยต่อตัวนาง ! ”