บทที่ 53 : คุณธรรม เสียสละ ความรัก !!
วันรุ่งขึ้นหลินฟ่านที่ตื่นมาเปิดดูหน้าต่างสถานะตัวละครด้วยความคาดหวัง
‘เฮ่ย ได้อยู่นะเนี่ย ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก’
ค่า EXP ของ "จิตมารไร้ลักษณ์" เกือบจะถึง 30,000 และวิชา "ไร้ลักษณ์" นั้นถึง Lv 12 นับว่ามันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลินฟ่านคิดว่าวิชา "ไร้ลักษณ์" ที่เป็นวิชาไร้ระดับแบบเดียวกับ ลิงขโมยลูกท้อ จะเริ่มพัฒนาเมื่อมันมี Lv ถึง 20
ในคืนเดียวเขายกระดับวิชา ไรลักษณ์ ไปถึง Lv 12 นี่มันเหนือกว่าของเดิมที่มีเพียง 3 ขั้นหรือเทียบเท่า Lv 3 ไปไกลโข กล่าวง่ายๆคือแม้แต่ผู้สร้างวิชาเองก็ไม่คิดว่ามันจะมาได้ถึงขั้นนี้
หลินฟ่านมีความสุขอย่างมาก เขาอาบน้ำแปรงฟันสระผม...รวมทั้งขัดจรวดด้วยอารมณ์เบิกบาน วันนี้เขาจะสอนนักเรียนด้วยความรักอีกวัน .... ในขณะที่หลินฟ่านกำลังมุ่งหน้าไปห้องเรียนนั้น เขาได้ยินผู้คนกล่าวถึงเหตุการณืเมื่อวานนี้ เขารู้สึกตื่นเต้นเล้กน้อยเพราะมันเป็นเรื่องของเขา เขารีบมาแอบฟังทันทีเพราะอยากรู้คนจะมองเขาว่าอย่างไรกันบ้าง
"อาจารย์ระดับ D คนใหม่ผู้นั้น นับว่าเก่งกาจอย่างมิธรรมดา สามารถบีบบังคับให้ ลี่ฉิงเฟยยินยอมรับความอัปยศเช่นนี้ได้ นับว่ามันต้องมีฝีมือพอตัว มิได้อยู่ในระดับ D เป็นอันขาด เผลอๆจะอยู่ในระดับ A เสียด้วยซ้ำ"
หลินฟ่านรู้สึกระรื่นแล้วก็ชื่นบานทันทีเมื่อได้ยินคนกล่าวชมเชยเขาในระยะเผาขน แต่ทว่าเมื่อฟังต่อไปเขาก็รู้สึกแปลกๆเล็กน้อย เพราะมันฟังไม่เหมือนคำชมสักเท่าไร
"อาจารย์คนใหม่นี้ไม่รู้คิดอันใดถึงกล้าบีบบังคับให้ลี่ฉิงเฟยแสดงความอัปยศจนต้องกล่าวขอขมาลูกศิษย์ท่ามกลางผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องทำลายภาพลักษณ์และไม่ไว้หน้าอาจารย์ด้วยกันถึงเพียงนั้นเล่า?"
"เฮอะ ข้าว่าไม่พ้นมันต้องคิดเล่นหมูกินเสืออย่างแน่นอน แท้จริงแล้วมันคงมีความสามารถอยู่ในระดับ B ที่อาจจะสูงสักหน่อย แต่ทว่ามันกลับเลือกไปอยู่ในระดับ D เพื่อจะมาแสดงละครเช่นนี้ให้ผู้คนยกย่องอย่างไรเล่า"
"ฮ่าๆ หากพวกเจ้ายังมิเข้าใจข้าจะกล่าวอธิบายให้ฟังโดยละเอียด พวกเจ้าเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ยินยอมเป็นหัวไก่ ไม่ไร้หน้าตาเช่นหางฟีนิกซ์หรือไม่ นั่นหมายความว่ามันผู้นั้นเลือกที่จะโดดเด่นอยู่ในระดับ D และไม่อยากอยู่ในระดับ B ทั้งๆที่ไม่มั่นใจว่าจะโดดเด่นเหนือผู้ใดไงเล่า พวกเจ้าอย่าลืมนะ ว่าความแข็งแกร่งของพวกลี่ฉิงเฟย นั้นอยู่ในระดับธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้เหนือล้ำอะไรมากมาย "
" ที่แท้เป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะ...คำกล่าวของเจ้ามีเหตุผลมาก ข้าก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่าเพราะเหตุใดเขาจึงกระทำเช่นนี้ สุดท้ายแล้วมันมีแผนเช่นนี้นี่เอง"
"มันจะดีกว่าหากพวกเจ้าไม่ไปยุ่งหรือสุงสิงอะไรกับอาจารย์ผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่า แม้ลี่ฉิงเฟยนั้นจะเป็นแค่อาจารย์ระดับ B แต่ทว่ามันมีความสัมพันธ์กับคนในราชวงศ์และคนสนิทของเจ้าชายอยู่ไม่น้อย”
...
หลินฟ่านรู้สึกว่าไอคนพวกนี้ชักจะรู้มากไปแล้ว เอ๊ย! ชักจะมั่วนิ่มใส่ความเขามากเกินไปแล้ว ยังงี้ไม่ได้การแล้ว?
"ข้าว่าการวิเคราะห์ของพวกเจ้านั้นผิดพลาดอย่างมาก" จากนั้นหลินฟ่านก็แกล้งตีเนียนทำเป็นคนที่รับฟังอยู่แล้วพูดกล่าวแทรกขึ้นมา
"โอ้ หรือว่าเจ้ามีข้อมูลเชิงลึกอันใดงั้นรึ?" คนที่เอ่ยข้อสันนิษฐานเมื่อครู่กล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
ท่าทางของหลินฟ่านเริ่มเปลี่ยนไปมันดีใจมากเมื่อเรื่องราวกับลังเข้าทางของมัน มันเริ่มกระบวนการตอแหลหน้าตายออกมาทันที ในเวลาเพียง 1.1 วินาทีมันก็แต่งเรื่องเสร็จสิ้นพร้อมทั้งรีบกล่าวออกมาทันทีว่า...
"เรื่องนี้มันเป็นเพราะ...เมื่อวานนี้ในขณะที่ข้ากำลังขบคิดและสงสัยแบบเดียวกันกับพวกเจ้าจนไม่ได้ดูทางนั้น ข้าบังเอิญเดินไปถึงบ่อน้ำเก่าที่ร้างผู้คนด้านหลังสำนักโดยมิได้ตั้งใจ ก่อนที่ข้าจะเดินผ่านไป ข้าบังเอิญได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งกล่าวคร่ำครวญจึงหยุดชมดู และเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ่อน้ำร้างบ่อนั้น”
“ในตอนแรกข้าคิดว่าคนผู้นั้นคงกำลังเศร้าสร้อยหรือผิดหวังอะไรบางอย่างในชีวิตมา มันจึงคิดที่จะฆ่าตัวตายหรืออะไรทำนองนั้น ข้าจึงคิดว่าไม่ได้การแล้ว ข้าจำเป็นต้องซ่อนตัวแอบฟังมันรำพึงรำพันเสียก่อน หากมันคิดสั้นจริงๆข้าจะรีบเข้าไปช่วยเหลือมันไว้ "
"แต่ทว่าเรื่องราวที่ข้าได้ยินนั้นกลับสั่นสะท้านจิตใจของข้านัก... ชายคนนั้นกลับเป็นอาจารย์ระดับ D ผู้นั้นนั่นเองตอนแรกข้าไม่ทันสังเกตแต่เมื่อได้ยินมันกล่าวถึงเรื่อง ที่มันลดตัวไปเป็นอาจารย์ระดับ D และสอนลูกศิษย์ที่เป็นขยะพวกนั้น ข้าถึงแน่ใจว่าเป็นมัน มันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยและจริงใจอย่างมาก ว่ามันตั้งใจที่จะอบรมสั่งสอนให้เหล่าศิษย์ระดับ D นั้นให้ได้ดี และมีความสามารถ มันสงสารเหล่าเด็กน้อยที่ถูกเหยียดหยามดูถูกอย่างมาก...”
“ถึงตอนนี้บอกเลยว่าข้าถึงกับแอบร่ำไห้เพราะความรู้สึกผิดที่คิดตัดสินไปเองว่ามันสร้างภาพ ข้าช่างเป็นคนเลวนัก ข้าแทบไม่อยากให้อภัยตัวเอง หากข้าเป็นคนชั่วช้าสามานย์ไร้ยางอายบิดามารดาไม่สอนสั่งเกิดมาเป็นสวะสมควรตายไม่สมควรสูดหายใจร่วมโลกใบนี้กับคนดีอย่างมันแล้วล่ะก็ ข้าก็คงไม่สำนึกเสียใจเช่นนี้ แต่นี่ข้าไม่ใช่คนอุบาทว์ชาติชั่วสมควรตายเลวทรามยิ่งกว่าเดรัจฉาน ข้าเลยสำนึกและรู้สึกผิดจนต้องรีบเล่าให้พวกเจ้าฟังอย่างไรเล่า..."
“เอาล่ะคราวนี้หลังจากที่ข้าสำนึกแล้ว ข้ายังแอบฟังมันต่อ มันกล่าวต่อไปว่า มันนั้นเป็นห่วงเหล่าลูกศิษย์ที่น่าสงสารพวกนี้อย่างมาก พวกเจ้าคิดสภาพดูสิ หากเหล่าลูกศิษย์พวกนี้จบไปทั้งๆที่ไม่มีใครเหลียวแลชีวิตพวกมันในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรบ้าง?" ถึงตอนนี้หลินฟ่านเลือกที่จะกล่าวถามออกมา หลังจากที่ทุกคนมีอารมณ์ร่วมเต็มที่
"เอ่อ ก็..เหล่าลูกศิษย์ระดับ D นั้นส่วนมากแล้วก็เป็นพวกต่ำต้อยไร้สามารถคงไม่ได้มีหน้าตาอันใดในสังคม อีกทั้งบางทีพวกมันยังผันตัวไปเป็นโจรเพราะไม่รู้จะทำมาหากินอย่างไร สุดท้ายก็คงตายอย่างไร้ค่า..." คนที่ฟังอยู่คนหนึ่งตัดสินใจเอ่ยตอบออกมา สีหน้ามันเศร้าลงเล็กน้อย
"ถูกแล้วหากไม่มีใครสนใจและเหลียวแลพวกมัน ชีวิตพวกมันย่อมอนาถอย่างที่เจ้ากล่าวมา ชายคนนั้นสามารถเอาชนะลี่ฉิงเฟยได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นระดับการบ่มเพาะของมันย่อมไม่อ่อนแอ มันสมควรอยู่ในระดับ B ขึ้นไปแน่นอน แต่มันกลับเลือกที่จะเป็นอาจารย์ระดับ D เพื่ออยู่ดูแลเหล่าลูกศิษย์ที่น่าสงสารเหล่านั้น พวกเจ้าไม่คิดว่ามันน่านับถือหรอกหรือ มันจะสร้างภาพให้ผู้คนรังเกียจยามรู้ความจริงไปเพื่ออะไรกัน? อีกอย่างพวกเจ้าไม่สังเกตเรื่องที่มันพูดและความเปลี่ยนแปลงของเหล่าเด็กน้อยหรือ พวกเจ้าลองใช้ใจรับรู้ดูสิ พวกเจ้านับว่าเป็นคนดีกลุ่มหนึ่งข้าว่าพวกเจ้าคงเข้าใจได้ไม่ยาก" หลินฟ่านกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจ หลายคนก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์จนเผลออินแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
ตอนนี้กลุ่มคนเหล่านี้เริ่มอับอายและสมเพชตัวเองที่จับกลุ่มนินทา อาจารย์ที่ประเสริฐถึงเพียงนั้น
"จากการวิเคราะห์ของเจ้า...ไม่สิเจ้าเป็นผู้ที่ได้พบกับความจริงมา เช่นนี้อาจารย์ผู้นี้นับว่าประเสริฐนัก ข้าผิดพลาดแล้ว ผิดพลาดอย่างมากแล้ว"
"ขายหน้ายิ่งนัก,นับว่าเป็นความอัปยศของข้า ...ผู้อื่นแสนดีและมีจิตเมตตาถึงเพียงนี้ แต่ทว่าข้ากลับนินทามันและคิดอคติด้วยจิตใจคับแคบ อาข้าเสียใจยิ่งนัก"
"ขอบคุณสหายที่นำความนี้มาบอกกล่าว หากไม่ได้สหายพวกเราคงต้องโง่งม ใส่ร้ายป้ายสีอาจารย์แสนประเสริฐคนนี้ จนต้องตกนรกแน่นอน"
เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นด้วยและตระหนักถึงหนทางที่ควรเดินและเชื่อถือเรื่องราวของมันแล้ว มันก็กล่าวออกมาอย่างสบายๆอีกว่า "ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ...แม้ตัวข้าเองก็เคยผิดพลาด แต่ว่าเมื่อข้าได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้ว ข้าก็ไม่อยากให้ผู้อื่นหลงผิดด้วยเท่านั้นเอง ข้าย่อมเข้าใจหัวอกพวกท่านดีว่ารู้สึกอย่างไร เพราะข้าก็เคยเป็นมาก่อน จากนี้ไปหวังว่าเวลาพวกท่านพบคนร่ำลือถึงมันเสียๆหายๆ พวกท่านก็ช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดด้วยแล้วกัน เพราะข้านับถือคนดีเช่นมันอย่างแท้จริง มันนั้นนับได้ว่าเป็น ผู้มีคุณธรรม มีความ เสียสละ และมี ความรัก เพื่อนมนุษย์ในหัวใจ อย่างท่วมท้น "
"แน่นอน สหายกล่าวได้ดียิ่ง หากข้าพบผู้ใดหลงผิดกล่าวถึงมันเสียๆหายๆ ข้าย่อมเร่งรีบไปบ่งบอกความจริง ไม่ให้พวกมันต้องเสียใจอย่างเช่นพวกเรา...ลึกซึ้งนัก คุณธรรม เสียสละ ความรัก ประเสริฐมาก ประเสริฐๆๆ" บางคนที่เดินผ่านมาแล้วได้ฟังเรื่องราว รีบกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ
"เอาล่ะข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องไปกระทำ ข้าขอตัวก่อน..อันที่จริงข้าจะไปไหว้พระขอขมา เรื่องที่ข้าพลั้งเผลอด่าทอและเข้าใจอาจารย์ผู้นั้นผิดนั่นล่ะ " หลินฟ่านที่ปฏิบัติการตอแหลแถสดได้สำเร็จ มันรู้สึกฟินในอารมณ์อย่างมากที่สามารถทำให้ผู้คนหันมานับถือมันได้ มันจะยอมให้ตัวมันเองดูไม่ดีได้อย่างไรเล่า...
‘คุณธรรม เสียสละ ความรัก .. อาคำขวัญของโบสถ์ที่เราเคยไปยืมเงินโดยไม่ได้บอก ได้ใช้ซะที เฮ้ย!!จะว่าไปเรายังไม่ได้คืนตังหลวงพ่อเขาเลยนี่หว่า ช่างเถอะ เราเผยแพร่ คุณธรรม เสียสละ ความรัก ไปแล้ว ถือซะว่าเป็นค่าจ้างแล้วกัน’
...
...เปาบุ้นจิ้นชอบกินไข่เต่า ส่วนจั่นเจาชอบอมโอเล่ เซเลอร์มูนตาเหล่ ตกส้วมตาย ...
หลินฟ่านตอนนี้กำลังอารมณ์ดี มันเดินฮัมเพลงมาจนถึงห้องเรียน และเมื่อมันเข้ามายืนกลางห้องเรียนหน้ากระดาน แต่มันพบว่าเหล่าลูกศิษย์ทั้งหมด ไม่มีใครสนใจมันเลย ทำให้มันรู้สึกสับสนเล็กน้อย เหล่าเด็กน้อยที่เชื่อฟังมันอย่างมากเมื่อวานหายไปไหนหมดแล้ว?
"อะแฮ่ม แฮ่มๆ ... " หลินฟ่านแกล้งกระแอมออกมาสองสามครั้ง
ทันที่ที่เขาส่งเสียงออกมา เหล่าลูกศิษย์ทั้งหมดถึงกับตกตะลึง พวกมันรีบหันมามองหลินฟ่านก่อนที่จะยืนขึ้น ทำความเคารพพร้อมกล่าวออกมาด้วยเสียงดังสนั่นด้วยความเคารพอย่างสูง
"สวัสดีตอนเช้าท่านอาจารย์"
"อ่าสวัสดี พวกเจ้านั่งลงเถอะ" หลินฟ่านพยักหน้าก่อน แล้วกล่าวออกมาอีกว่า "พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ เมื่อครู่ข้าเดินเข้ามาพวกเจ้าไม่เห็นกันหรือ"
"อาจารย์ท่านเดินเข้ามาเมื่อไหร่กัน ข้านั่งมองไปที่ประตูอยู่ตลอดเวลา ข้ากลับไม่เห็นท่านเดินเข้ามาสักนิด รู้ตัวอีกทีเพราะเสียงไอของท่าน ข้าก็เห็นท่านอยู่ตรงนี้แล้ว" หลิวจุ๋ยจุ๋ยที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวของห้องกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงน่ารักและจริงใจ
"ใช่ท่านอาจารย์ พวกข้าไม่เห็นท่านเดินเข้ามาเลยครับ" เก๋าตีนจังก็รีบกล่าวออกมา มันเองก็เฝ้าดูอยู่เช่นกัน มันจึงประหลาดใจอย่างมาก
จากนั้นนักเรียนคนอื่นๆ ก็รีบกล่าวออกมาทำนองเดียวกัน
หลินฟ่านก็สับสนเล็กน้อย 'อะไรวะ สุดหล่ออย่างข้าเดินมาแต่พวกเจ้ากลับไม่เห็น ข้าเองก็ไม่เล็กนะเฟ้ย สูงก็สูง มองข้ามได้ไง โหลวววว? รึพวกเอ็งสายตาสั้นวะ ชิหายละ โลกนี้มีร้านตัดแว่นป่ะฟะเนรี่ย?’
หลินฟ่านนึกสัปดนไปเรื่อยแต่ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นได้ว่า เขากำลังเก็บ EXP วิชา "ไร้ลักษณ์" อยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะเปิดใช้งานมันอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อคืน นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ เหล่าศิษย์มองไม่เห็นเขา กว่าจะเห็นก็ตอนที่เขาแสดงตัวออกมานั่นเอง...เมื่อเขาคิดได้เขาก็กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีทันที "เอาล่ะ ช่างมันเถอะ สวัสดีตอนเช้าพวกเจ้าทุกคนด้วยแล้วกัน วันนี้ข้าจะเพิ่มความสามารถให้แก่พวกเจ้าทุกคน"
"อาจารย์เพิ่มความสามารถของท่าน คืออันใดหรือ?" ชูตี้เอียงศีรษะด้วยความสงสัยก่อนที่จะกล่าวถามออกมา
"อืม เพิ่มความสามารถนี่ก็ประมาณว่า ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้พวกเจ้าน่ะ แต่พวกเจ้าสามารถฝึกฝนมันได้เลยโดยข้ามขั้นตอนแรก..เอ อธิบายยากอยู่ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจ้าจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองหลังผ่านการเพิ่มความสามารถโดยข้าแล้ว เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้ามานี่เลย ชี้จู๋ ข้าจะเพิ่มความสามารถให้เจ้าเป็นคนแรก แล้วเจ้าค่อยไปอธิบายความรู้สึกให้เพื่อนเจ้าแล้วกัน" หลินฟ่านขี้เกียจอธิบาย เอาเป็นว่าลงมือทำเลยแล้วให้คนที่โดนเพิ่มความสามารถไปเล่าเพื่อนง่ายกว่า
"อาจารย์ ข้าชื่อชูตี้ ไม่ใช่ชี้จู๋" ชูตี้กล่าวออกมา ราวกับจะร้องไห้
"หืม?" หลินฟ่านขมวดคิ้วเล็กน้อยและจ้องไปยังชี้จู๋พร้อมกับสงสายตาดุราวกับจะกล่าวว่า "ชี้จู๋ เจ้ากล้าต่อต้านข้าเรอะ!!?"
ชูตี้จึงได้แต่จนใจยอมรับ ชี้จู๋ก็ชี้จู๋ "อาจารย์ท่านเรียกชื่อข้าเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าขอโทษ"
"ดีมาก นี่สิศิษย์ที่น่ารักของข้า มาๆ " หลินฟ่านพยักหน้าด้วยความพอใจ ไอเด็กคนนี้ช่างไม่เสียแรงที่เขาจะสั่งสอน
...
หลินฟ่านตัดสินใจจะเพิ่มความสามารถพวกมันด้วยการถ่ายทอดวิชา "กายปีศาจอมตะ " ของเขาให้พวกมัน...
ที่หลินฟ่านไม่ถ่ายทอดกายปีศาจนิรันดร์ให้เพราะว่าตอนเลือกวิชาที่จะถ่ายทอดมันมีเพียงวิชากายปีศาจอมตะที่ยังไม่ได้พัฒนามาเป็นวิชากายปีศาจนิรันดร์เท่านั้น
กายปีศาจอมตะนี่ก็ถือว่าเป็นวิชาบ่มเพาะร่างกายที่ค่อนข้างดีมาก หากฝึกฝนถึงขั้น 3 แล้วอาวุธระดับสามัญจะไม่สามารถทำอะไรร่างกายพวกมันได้เลย และหากฝึกฝนถึงระดับ 6 ผู้บ่มเพาะระดับเดียวกันกับพวกมันจะไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้แม้แต่น้อย จากที่หลินฟ่านทดสอบมาด้วยประสบการณ์ มันพบว่าวิชานี้นับว่าเป็นวิชาบ่มเพาะร่างกายที่สุดยอดอย่างมาก...หลังจากเด็กพวกนี้ฝึกฝนถึงขั้น 6 เจอคนระดับเดียวกันต่อยคงรู้สึกเหมือนมดไต่...
...